ตอนที่ 129 ค้นหา
ชายที่ดูแข็งแกร่งยืดหลังตรง ยื่นมือออกมาและกล่าว “ผมคือหัวหน้าของเหล่ามืออาชีพทีมนี้ ชื่อว่า จ้าวโหยวบาง”
กู่ฉิงซานยื่นมือไปจับมือเขา “ยินดีที่ได้พบครับ ผมกู่ฉิงซาน ได้ยินมาว่าในบรรดามณฑลทั้งหมด ผีดิบนักฆ่าที่นี่ดุร้ายมากที่สุด ผมก็เลยมาเพื่อทำการตรวจสอบมัน”
“คิกคิก” เบื้องหลังปรากฏเสียงหัวเราะเบาๆ
“ซุนหมิง!” จ้าวโหยวบางสาดสายตาดุดันไปยังชายร่างผอม
“เอาล่ะๆ นายไม่ต้องสนใจอะไรฉันหรอก เมื่อกี้ฉันแค่ได้ยินว่าเขากำลังพูดว่ามาที่นี่เพื่อแก้ปัญหาผีดิบนักฆ่าน่ะ” เสียงข้างหลังเอ่ยกล่าว
“ทั้งๆ ที่เป็นแค่นักวิทยาศาสตร์อ่อนแอเนี่ยนะ...ฮี่ฮี่”
ซุนหมิงพยายามฝืนบังคับเสียงตัวเองให้สงบ แต่มันก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความเย้ยหยันจางๆ
ความโกรธวาบผ่านมาบนสีหน้าของนายทหาร
ทว่าจ้าวโหยวบางกลับไม่ใส่ใจสายตาของนายทหาร เขามองไปยังกู่ฉิงซานและกล่าวอธิบายอย่างช่วยไม่ได้ว่า “พอดีว่าซุนหมิงน่ะเป็นถึงผู้ใช้ธาตุทั้งห้า…เป็นมืออาชีพขั้นที่สี่น่ะ เขาก็เลยมีนิสัยอย่างที่เห็น ในเรื่องนี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
ผู้ใช้ธาตุทั้งห้าที่สามารถปลดผนึกมาถึงขั้นที่สี่ได้ นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสูง นั่นส่งผลให้ไม่ว่าเขาจะแสดงอารมณ์หรือท่าทีร้ายๆ แบบใดออกมาก็ตาม ก็จะไม่มีใครสามารถตำหนิเขาได้
กู่ฉิงซานตระหนักดีว่าเหล่ามืออาชีพส่วนใหญ่น่ะมักจะมีนิสัยหยิ่งผยอง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเก็บมาใส่ใจ แต่เลือกเผยยิ้มเข้าสู้ เตรียมพร้อมที่จะทำงานร่วมกัน
แต่ใครจะรู้ ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ซุนหมิงก็หยิบสมองควอนตัมของเขาขึ้นมา
บนสมองควอนตัมของเขาสั่นและสว่างวาบ พร้อมกับปรากฏเสียงที่ส่งออกมาจากปลายสาย
“พลเมืองแห่งรัฐบาลกลาง มืออาชีพผู้ใช้ธาตุทั้งห้าซุนหมิง ฉันขอทำการสอบถามคุณว่า คุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับภารกิจนี้ หรือไม่เต็มใจที่จะร่วมดำเนินการหรือไม่” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังลอดออกมาจากสมองควอนตัม
ดวงตาของซุนหมิงเบิกกว้างอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่เขาจะบ่นงึมงำออกมา “ฉันไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับภารกิจนี้หรอก มันก็แค่การพาพวกเพลย์บอยลูกหลานชนชั้นสูง ที่ทั้งตัวชุบไปด้วยเลี่ยมทอง ออกไปทัศนศึกษาในโซนแนวหน้าใช่มั้ยล่ะ”
“มิใช่เช่นนั้น ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซานเป็นหัวหน้านักวิจัยหุ่นรบแห่งรัฐบาลกลาง นอกจากนี้เขายังเป็นนักชีววิทยาคนแรกที่เป็นคนค้นพบเชื้อไวรัสผีดิบกินคน และไวรัสผีดิบนักฆ่าอีกด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
ทั้งหมดอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง จ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “คุณอย่าทำให้พวกเขาเสียขวัญจะได้ไหม เรามาที่นี่เพื่อทำงานนะ”
เทพธิดากงเจิ้งกล่าวขออภัย “เนื่องจากมืออาชีพซุนหมิงมีอคติต่อใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซาน และอาจจะส่งผลกระทบต่อภารกิจได้ ดังนั้นจึงขอทำการตัดสิทธิ์ซุนหมิงออกจากทีม”
“เฮ้ เฮ้ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ซุนหมิงกล่าวอย่างเป็นร้อนรน
ที่เขาร้อนรนน่ะมันไม่แปลกหรอก เพราะรางวัลสำหรับภารกิจนี้มันค่อนข้างมากทีเดียว ทุกคนจะได้รับหนึ่งล้านแต้มเครดิตโดยตรง และที่สำคัญที่สุดก็คือแต้มบุญที่จะได้รับมาถึงสามล้านแต้ม!
ภารกิจที่ได้รางวัลเป็นแต้มบุญจำนวนมหาศาลขนาดนี้ แม้กระทั่งหัวหน้าทีมอย่างจ้าวโหยวบางก็ยังไม่เคยพบเจอมาก่อน
ทุกคนในทีมนี้ล้วนเป็นมืออาชีพชั้นยอด มิฉะนั้นพวกเขาคงจะไม่ได้รับการเรียกตัวมาทำภารกิจโดยเทพธิดากงเจิ้งเช่นนี้
เพื่อรางวัลภารกิจ ทุกคนยินดีจะทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง
“ทำการปรับเปลี่ยนแผน ร้องขอให้พันเอกแห่งกองทัพบก บรรพชนนักสู้หวังหยานเข้าร่วมทีม และคำสั่งอย่างเป็นทางการจะถูกส่งออกไปในภายหลัง” เมื่อกล่าวจบ เทพธิดากงเจิ้งก็ยุติการเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสาร
บนใบหน้าของนายทหารหวังหยานเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มด้วยความดีใจ
ซุนหมิงถลีงตามองไปยังกู่ฉิงซานครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
ทว่าเมื่อเขาเดินไปได้เพียงครึ่งทาง ซุนหมิงก็ไม่สามารถทนกล้ำกลืนฝืนใจได้อีกต่อไป เขาเอี้ยวตัวกลับ สบสายตากับกู่ฉิงซานพร้อมกับยกมือขึ้นทำท่าทางปาดคอ
การกระทำที่ดูคุกคามเช่นนี้ ชักนำตัวซุนหมิงไปสู่ผลพวงที่ร้ายแรงที่สุดโดยตรง!
ซุนหมิงถูกนายทหารที่อยู่ใกล้ที่สุดจับกุมตัวทันที
“ไอ้สารเลว...” เขาเพียงอ้าปากตะโกนด่ายังไม่ทันจะจบประโยค ก็จำต้องหุบปากลงเสียก่อน
กำปั้นเหล็กถูกกระทุ้งออกไปทันใด ซัดเข้าใส่แขนที่พึ่งยกขึ้นทำท่าปาดคอเมื่อครู่โดยตรง
ตามด้วยเท้าข้างหนึ่งเตะตัดขา ทั้งคนทั้งร่างร่วงลงไปกองกับพื้น
ผู้พันหวังย่ำฝ่าเท้าลงบนแผ่นหลังของซุนหมิง ใบหน้ายังคงเผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมาไม่เสื่อมคลาย
ในฐานะที่ตนเป็นถึงบรรพชนนักสู้ เขาได้อดทนกับความหยิ่งยโสของซุนหมิงมาเป็นเวลานานแล้ว
“รู้รึเปล่าที่คุณกำลังทำนี้มันหมายความว่าอย่างไร คุณคิดจะประกาศสงครามกับพวกเราใช่หรือเปล่า!?” จ้าวโหยวบางก้าวออกมาและเอ่ยถาม
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหวังโหยวบางที่ไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอย หวังหยานก็เอ่ยออกมาอย่างไม่ยี่หระว่า “ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทางการทหาร ผู้ใดก็ตามที่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่จะต้องถูกประหารโดยไม่มีละเว้น!”
ไฟแห่งความโกรธที่ปะทุอยู่ในจิตใจของจ้าวโหยวบางมอดดับลงไปทันที
เขาเบนสายตามองไปยังนายทหารของกองทัพ
ปรากฏภาพของสิบกองกำลังพิเศษที่อยู่ในขอบเขตบรรพชนนักสู้ กำลังถือสมองควอนตัมของตนเอง กวาดสายตาอ่านข้อความที่พึ่งได้รับ และเตรียมพร้อมลงมือทุกเมื่อ
เห็นได้ชัดว่าแม้กระทั่งพวกเขาก็ยังได้รับคำสั่งทางการทหารเช่นเดียวกันกับหวังหยาน
สันหลังของจ้าวโหยวบางพลันรู้สึกเย็นเยียบ
“ผมขอดูเนื้อหาของมันได้รึเปล่า” เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง
หวังหยานกดลงบนสมองควอนตัมของตน
จอม่านแสงปรากฏขึ้น
“จากการกระทำท่าทางปาดคอของซุนหมิง เขาจึงถูกตัดสินว่ามีความตั้งใจที่จะสังหารใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซาน เทพธิดากงเจิ้งจึงต้องออกมาตรการบังคับใช้ให้จับกุมเขา เพื่อให้แน่ใจว่างานวิจัยครั้งสำคัญนี้จะไม่ถูกรบกวนโดยซุนหมิง ทุกอย่างนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในอนาคตของอารยธรรมมนุษย์!”
พอเห็นแบบนี้ จ้าวโหยวบางก็ยอมแพ้ทันที
เขาเป็นคนฉลาด มิฉะนั้นมีหรือจะได้ตำแหน่งหัวหน้าทีมมาครอบครองได้
ด้วยนิสัยของซุนหมิงที่หยิ่งผยอง มันก็นานมากแล้วที่ทำให้ทุกคนเกิดความรำคาญ หายๆ ไปซะได้ก็ดี
แกน่ะจะเป็นจะตายหรืออย่างไรก็ได้ แต่อย่าให้ผลพวงลุกลามมาถึงพวกฉันก็แล้วกัน!
จ้าวโหยวบางอย่างไรเสียก็ยังเป็นหัวหน้ากลุ่ม หากเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น ย่อมแน่นอนว่าเขาต้องออกหน้าพูดแทนสมาชิกในทีม ทว่าเมื่อได้เห็นถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะเลือกปกป้องตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้นอีกครั้ง
“เริ่มต้นจัดตั้งทีมใหม่อีกครั้ง เพิ่มจำนวนผู้ที่ได้รับการเข้าร่วมภารกิจ”
“พันเอกบรรพชนนักสู้จางฟาง”
“โอ๊ส!”
“พันเอกบรรพชนนักสู้หลี่เฟย”
“โอ๊ส!”
สองทหารที่ใบหน้าแสดงออกถึงความเย็นชาก้าวเดินออกมา
“พวกคุณได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมทีม และนับจากนี้ไปโปรดจงปฏิบัติตามคำสั่งของกู่ฉิงซาน เพื่อบรรลุภารกิจให้เสร็จสมบูรณ์”
“รับทราบ!”
สองเจ้าหน้าที่ทหารในขอบเขตบรรพชนนักสู้ ตอบเสียงดังคมชัด ใบหน้าของพวกเขาเห็นได้ชัดว่ากำลังข่มกลั้นรอยยิ้มแห่งความปีติเอาไว้อยู่
ด้วยภารกิจนี้ จะส่งผลประโยชน์โดยตรงต่อการเลื่อนตำแหน่งในอนาคตของพวกเขา!
นอกจากนี้พวกเขายังเป็นคนภายในกองทัพ จึงรู้ดีพอสมควรถึงสถานะและตัวตนที่แท้จริงของกู่ฉิงซาน
“เอ๋? ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะเนี่ย”
กู่ฉิงซานฝืนยิ้มด้วยท่าทีอึดอัดใจเล็กน้อย
“เทพธิดากงเจิ้ง ภารกิจเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้คุณไม่จำเป็นจะต้องกังวลให้มันมากไปนักหรอก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงโน้มน้าว
‘ภารกิจเล็กๆ น้อยๆ!?’
พอได้ฟัง ผู้ร่วมภารกิจทุกคนย้อนระลึกถึงรายละเอียดที่ได้รับ
มีกฎเพียงหนึ่งเดียวสำหรับภารกิจทั้งหมดนี้ นั่นคือพวกเขาจะต้องทำตามคำสั่งของกู่ฉิงซาน
“ฉันเพียงทำสิ่งที่อยู่ในพื้นฐานวินัยทางสงครามก็เท่านั้นเอง…”
หลังจากที่เทพธิดากงเจิ้งกล่าวโต้แย้งออกไป แสงบนสมองควอนตัมก็ดับวูบลง
“เอาล่ะ นี่พวกเราก็เสียเวลากันมามากพอแล้ว เริ่มออกเดินทางกันเถอะ” กู่ฉิงซานปรบมือและกล่าว
เขาระบุทิศทางและชี้ไปยังทิศเหนือ “อันดับแรกพวกเราจะไปที่นั่นกัน เพื่อเริ่มทำการวิเคราะห์และทำความเข้าใจไปตลอดทั้งเส้นทาง”
“รับทราบแล้ว พวกเราจะทำตามคำสั่งของท่าน!” สามนายทหารขานรับ
เหล่ามืออาชีพหันมามองหน้ากัน ผงกหัวเอ่ยงึมงำว่าเอาก็เอา
ทีมสำรวจออกจากที่มั่น และเริ่มเดินไปตามเส้นทาง
หลังจากที่เดินออกมาได้ไม่นาน กลุ่มของพวกเขาก็มาถึงจัตุรัส
กู่ฉิงซานทำการปรับระดับเสียงสมองควอนตัมส่วนบุคคลของเขาให้อยู่ในระดับสูงสุด และวางมันลงบนพื้น
ท่ามกลางความเงียบ ทันใดนั้นเพลงร็อกที่ฟังแล้วต้องโยกหัวตาม ก็ระเบิดเสียงกังวานออกมา
“นี่ท่านคิดจะทำ...” หวังหยานกำลังจะเอ่ยถาม
“พวกผีดิบกินคนน่ะมันมักจะถูกดึงดูดด้วยเสียงและกลิ่น ส่วนผีดิบนักฆ่าน่ะจะไวต่อเสียงมากเป็นพิเศษ” เขาอธิบาย
แทบจะในทันทีที่เขาพูดจบ ผีดิบกินคนหลายตนก็เริ่มขยับกายวูบไหว
ไม่นานพวกมันก็ค้นพบกลุ่มของกู่ฉิงซาน ปากอ้าหวีดคำรามและกระโจนเข้าหาอย่างสุดแรง
กู่ฉิงซานกวาดสายตา เอ่ยออกไปคำหนึ่ง “ฆ่ามันซะ”
มันเป็นเพียงเรื่องง่ายดายสำหรับมืออาชีพที่จะจัดการกับผีดิบกินคนไม่กี่ตัว พวกเขาแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ สองสามคนเดินออกไปเผชิญหน้า และเพียงสิบวินาทีการต่อสู้ก็จบลงแล้ว
“คราวนี้ให้ทำอะไรต่อ?” จ้าวโหยวบางหักคอผีดิบกินคนจนเกิดเสียงแกร๊ก และหันกลับมาถาม
กู่ฉิงซานยิ้มเล็กน้อยและกล่าว “จัดการพวกมันต่อไป”
ตลอดทั้งช่วงเช้า ผีดิบกินคนถูกดึงดูดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เหล่ามืออาชีพแทบจะไม่มีเวลาได้พักผ่อน พวกเขาทำการฆ่าสังหารพวกมันมาตลอดทั้งสี่ชั่วโมงเต็ม
ทั่วทั้งจัตุรัส บัดนี้เต็มไปด้วยซากร่างและโครงกระดูกของพวกผีดิบวางซ้อนๆ กันเป็นชั้นๆ
กู่ฉิงซานก้มลงมองเวลาและกล่าว “ตอนเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ไปพักกินอาหารกัน”
“ในช่วงบ่อย พวกเราก็ยังต้องทำแบบนี้อีกใช่ไหม” พันเอกหวังหยานเอ่ยถาม
“อ่า ใช่แล้ว”
คนในกลุ่มกลับไปยังฐานที่มั่น ก่อนจะนั่งรับประทานอาหารกลางวันกันอย่างเงียบๆ หลังจากที่พักผ่อนอีกสักเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
เมื่อกลับมา กู่ฉิงซานก็เริ่มเปิดเพลงอึกทึกเสียงดังเพื่อดึงดูดพวกสัตว์ประหลาดอีกครั้ง
ในจัตุรัสกลับเข้าสู่โหมดล่าสังหารอีกคราว
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คราวนี้ผีดิบกินคนถึงปรากฏตัวขึ้นมากยิ่งกว่าในช่วงเวลาตอนเช้า
ตลอดทั้งบ่าย จำนวนผีดิบที่ปรากฏกายขึ้นในจัตุรัส ทวีจำนวนมากขึ้น เพิ่มแรงกดดันให้แก่เหล่ามืออาชีพ
กู่ฉิงซานยังคงยืนดูพวกเขาสังหารฝูงซอมบี้อย่างเงียบๆ
พอถึงช่วงพลบค่ำ จำนวนผีดิบกินคนก็ทวีจำนวนมากขึ้นจนถึงขีดสุด
เหล่ามืออาชีพแต่ละคนต้องรับมือกับผีดิบกินคนกว่าสิบตนในเวลาเดียวกัน แรงกดดันที่ทุกคนได้รับเริ่มมาถึงขีดจำกัดแล้ว
“แบบนี้ไม่ดีแน่ นี่มันมากเกินไป” หวังหยานกล่าว
กู่ฉิงซานมองไปยังท้องฟ้าที่สาดแสงสีเหลืองจางๆ ก่อนจะพยักหน้าและกล่าว “เอาล่ะ ถ้างั้นตอนนี้ก็ได้เวลาที่พวกเราจะกลับ...?”
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เสียงของเขาก็ขาดห้วง สองตาจดจ้องไปยังทิศทางหนึ่งอย่างจริงจัง
ฝูงชนมองไปตามสายตาของเขา และพบเห็นผีดิบกินคนที่มีสีแดงเลือดอาบไปทั่วทั้งร่างปรากฏตัวขึ้น
มันดูพิเศษและโดดเด่นเป็นอย่างมากในหมู่ผีดิบกินคนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้วยกัน ด้วยลักษณะของมันทำให้พวกเขาสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
ทันทีที่มันปรากฏตัว ผีดิบกินคนตนอื่นๆ ก็ราวกับกลายเป็นมีสตินึกคิด จากที่เดินสะเปะสะปะ พวกมันปลีกตัวออกไปด้านข้าง เปิดทางให้ผีดิบตนนั้นผ่านมาโดยง่าย
ไม่คาดคิดเลยว่า การกระทำในครั้งนี้ แม้จะไม่ได้ดึงดูดผีดิบนักฆ่าให้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ หากแต่กลับได้เก็บเกี่ยวเจ้าสิ่งนี้ที่คาดไม่ถึงแทน ถ้าสามารถนำตัวมันกลับไปได้ ที่เสียเวลาไปทั้งวันก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
“ยอดเยี่ยม นั่นล่ะเป้าหมายของพวกเราล่ะ” กู่ฉิงซานชี้ไปยังมัน
“ไม่ได้ ตำแหน่งนั้นมันอยู่ไกลเกินไป แถมซอมบี้ก็ยั้วเยี๊ยะเต็มไปหมด” จ้าวโหยวบางกล่าวเสียงดัง
หวังหยานพยักหน้าเห็นด้วย ทิศทางดังกล่าวนั้น ระหว่างทางเต็มไปด้วยผีดิบกินคนหลายร้อยหลายพันตัว หากเขาต้องการที่จะผ่านมันไป แน่นอนว่าย่อมอาจจะต้องมีบางคนถึงขั้นเสียสละ!
หวังหยานลังเล ก่อนเอ่ยเสนอแนะ “หรือว่าพวกเราจะเรียกกำลังเสริมดี?”
“กำลังเสริม?” สีหน้าของกู่ฉิงซานเผยถึงความฉงนเล็กน้อย
ในวินาทีต่อมา เขาก็เอ่ยประโยคต่อไป “ไม่จำเป็นต้องเรียกมาหรอก พวกคุณเพียงปกป้องตัวเองที่นี่ก็พอแล้ว”
ขณะกล่าว คันธนูจู่ๆก็ปรากฏขึ้นในมือของกู่ฉิงซาน
ลูกศรถูกวางแนบลง สายขึงจนตึง พริบตาเดียวมันก็ถูกผละออกไป
ลมหายใจต่อมา ปรากฏเสียงกรีดร้องแหบแห้งที่แฝงไว้ด้วยความคลุ้มคลั่งดังมาจากทิศทางของผีดิบร่างแดงเลือด
แทบจะในทันทีหลังจากนั้น คันธนูยาวก็ส่งเสียงหวีดแหลมสูง เมื่อดอกแรกเข้าเป้า ลูกศรอีกหลายสิบดอกถูกยิงออกไปจนเห็นแค่เพียงเส้นแสงเงาดำ เจาะทะลวงเข้าไปในเนื้อหนังของผีดิบอย่างไม่หยุดยั้ง
เสียงกรีดร้องของมันค่อยๆ อ่อนโทรมลง และจางหายไปในที่สุด
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงโผล่ออกมา
“ท่านได้ฆ่าผีดิบกินคนระดับสูง ได้รับค่าประสบการณ์...”
พริบตานั้นเส้นแสงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“ในมุมมองที่ว่าผู้เล่นได้ทำการเลือกเปลี่ยนแปลงเป็นแต้มพลังวิญญาณ ดังนั้นการเก็บสะสมค่าประสบการณ์ในปัจจุบันจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นระบบพลังวิญญาณ”
“ทำการนับคำนวณรางวัลจากการต่อสู้ใหม่อีกครั้ง”
“ท่านได้ฆ่าผีดิบกินคนชั้นยอด แต้มพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นสอง”
“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบันสองส่วนยี่สิบ”
มีเพียงแค่การฆ่ามอนสเตอร์ระดับสูงกว่าตนเองเท่านั้น ที่คุณจะสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณที่เกินกว่าขีดจำกัดของตนเองได้ และยังสามารถสะสมมันเป็นเท่าทวี เพิ่มจำนวนที่ได้รับมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ผีดิบกินคนชั้นยอดตัวนี้ ระดับของมันยังไม่สูงนัก ดังนั้นแต้มพลังวิญญาณของมันจึงได้รับมาเพียงเท่าที่เห็น
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ประเด็นสำคัญก็คือ หน้าต่างระบบเทพสงคราม ที่เดิมทีสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณแค่เพียงในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธเท่านั้น บัดนี้กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงไป มันสามารถเก็บเลเวลในโลกใบนี้ได้แล้วเช่นกัน!
หรือว่าเกมจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครมอย่างรุนแรง
เขาแทบจะสั่นสะท้าน และกล่าวสั่งไปยังหน้าต่างระบบเทพสงครามโดยตรง “ ร้องขอให้เริ่มต้นการค้นหาผู้เล่นคนอื่นๆ ไม่จำกัดเงื่อนไขในการค้นหาใดๆ ทั้งสิ้น!”
ติ๊ง!
“การค้นหาได้สิ้นสุดลงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่พบผู้เล่นคนอื่นๆ”
“จำนวนผู้เล่นที่ออนไลน์อยู่ในปัจจุบัน 0”
มอนสเตอร์ได้ปรากฏขึ้นในโลกจริงแล้ว ทว่าเกมกลับยังไม่เริ่มตื่นขึ้นอยู่ดี
ในชีวิตก่อนหน้าของเขา เกมจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งปีหลังจากนี้
แต่ในชีวิตจุติใหม่นี้กลับแตกต่างออกไป ในโลกที่มอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมาก่อนช่วงเวลาที่กำหนดเช่นนี้ มนุษย์ก็ยังคงต้องรออีกถึงครึ่งปีงั้นเหรอ?
มนุษย์จะสามารถยืนหยัดเฝ้ารอถึงเวลานั้นได้หรือไม่?
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรอถึงตอนนั้น! ก่อนช่วงเวลาดังกล่าวจะมาถึง โลกจริงก็คงจะจมลงสู่ความพินาศไปแล้วโดยสมบูรณ์
แล้วสิ่งที่ฉันควรจะทำคืออะไร…
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว มุ่งเน้นสมาธิไปกับการขบคิดแก้ปัญหา
ในจัตุรัส ฝูงผีดิบกินคนที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนตั้งมากมาย ปรากฏกายขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน พวกมันไม่รู้จักความกลัวของชีวิตและความตาย โถมตัวเข้าห้ำหั่นกับเหล่านายทหารและทีมมืออาชีพที่กำลังตะโกนประสานงานกันอยู่ ทั้งหมดพยายามทุ่มสุดกำลังเข่นฆ่าพวกซอมบี้ที่กำลังดาหน้าเข้ามาในจุดนี้
แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงยืนถือธนูเย่หยูอย่างเงียบๆ ราวกับว่าเขากำลังยืนเฝ้าดูฉากนี้จากในสถานที่ห่างไกล
พระอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า เงาของเขาทอดยาวไกลห่างออกไป ส่งผลให้ภาพนี้ช่างแลดูโดดเดี่ยวยิ่งกว่าเดิมมากเป็นพิเศษ…
..........................................