ตอนที่ 121 ระดับ
ซิวซิวไม่ลังเลเลยที่จะหยิบยันต์สื่อสารออกมา ปากเอ่ยกล่าวไม่กี่คำอย่างเร็ว พร้อมกับยันต์สื่อสารที่ลุกไหม้และลอยขึ้นสู่ฟ้า ทะยานหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
ภายในวังร้อยบุปผา
เส้นแสงเปลวเพลิงปรี่เข้ามา และยันต์ที่ลุกไหม้ตกลงเบื้องหน้านางเซียนไป่ฮั่ว
“เกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับฉิงซาน!”
นางเซียนไป่ฮั่วเมื่อได้รับข้อความ สีหน้าท่าทีของเธอก็แปรเปลี่ยนไป ทั้งคนทั้งร่างหายวับไปจากในห้องโถง
“อะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเซี่ยวโหลวที่กำลังกินอาหาร เงยหน้าขึ้นเอ่ยปากถาม ทว่าเขากลับเห็นเพียงแผ่นหลังของห่านขาวที่สยายปีกบินออกไปเท่านั้น
เขาเลยรีบวางตะเกียบลงทันที และวิ่งตามออกไปติดๆ
ณ ภายในวังหลานเฉา อาจารย์และลูกศิษย์ทั้งหมดรายล้อมอยู่รอบกายของกู่ฉิงซาน
นางเซียนไป่คว้าจับมือของกู่ฉิงซาน พลิกจับชีพจร ถ่ายเทพลังวิญญาณไหลผ่านเส้นเอ็นและชั้นกระดูกเข้าสู่ตันเถียนของเขา จากนั้นก็ใช้มันเวียนว่ายอยู่ในทะเลแห่งห้วงสติ ไม่นานจึงเรียกพลังวิญญาณกลับคืน
“เขาสบายดี ซิวซิว เจ้ามิต้องกังวลหรอก” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
“ตะ...แต่ แต่ข้าเห็นว่าศิษย์พี่สาม”
“มิใช่เรื่องราวใหญ่โตอะไรหรอกซิวซิว ข้าเพียงมุ่งมั่นที่จะบรรลุมันอย่างรวดเร็วเกินไปหน่อย ทว่ากลับไร้ซึ่งความก้าวหน้า ฉะนั้นสีหน้าจึงซีดเซียว เลยทำให้เจ้าเข้าใจผิดไป” กู่ฉิงซานรีบเอ่ย
เมื่อได้พบเห็นด้วยตาตัวเอง ว่าที่กังวลนั้นแท้จริงแล้วเป็นเรื่องเข้าใจผิด หลายคนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เช่นนั้นก็ไปกินมื้อเช้ากันเถิด” ห่านขาวกล่าวเชื้อเชิญทุกคน
ทั้งหมดจึงเดินทางออกจากวังหลานเฉาไปด้วยกัน
ทว่าเดินไปได้เพียงครึ่ง พวกเขากลับเห็นว่ากู่ฉิงซานยังคงนั่งอยู่บนพื้น
หืม?
เจ้าเด็กนี่ คราวนี้เป็นอะไรอีกล่ะ?
“ฉิงซาน แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่?” นางเซียนไป่ถาม
เมื่ออาจารย์ที่เคารพเอ่ยถาม กู่ฉิงซานก็จำต้องเอ่ยตอบ
เขาถอนหายใจยาวและกล่าว “เมื่อวาน ข้าได้ฝึกฝนท่าร่างตลอดทั้งค่ำคืน”
“อ่าฮะ”
“ยามแรกมันก็ค่อนข้างยาก แล้วต่อมามันก็ค่อยๆ เริ่มจะดีขึ้น”
“อืม”
“นั่นทำให้ข้าได้ฝึกฝนเก็บเกี่ยวท่าร่างขั้นพื้นฐานมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
“โอ้”
“แต่…”
“หืม?”
“แต่ด้วยพื้นฐานท่าร่างที่ก้าวไปยังเบื้องหน้า ทว่ากลับถอยมายังเบื้องหลัง นั่นทำให้เช้านี้ ข้าไม่ทราบแล้วว่าวิธีการเดินที่ถูกต้องนั้นมันต้องทำเช่นไร…”
หลายคนในฉากพลันกลับกลายเป็นนิ่งงัน
พวกเขามองไปยังกู่ฉิงซาน ราวกับว่ากำลังมองสิ่งมีชีวิตที่มิเคยได้พบได้เจอมาก่อน
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดตั้งแต่ที่ซิวซิวมาพบเจอจนกระทั่งถึงตอนนี้เขาจึงได้แต่ทำหน้าสลดและไม่ลุกก้าวเดินออกไปไหน
ท่ามกลางความเงียบอันแปลกประหลาดนั้นเอง
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ!”
ฉินเซี่ยวโหลวเริ่มหัวเราะออกมาก่อนเป็นคนแรก
ตามมาด้วยห่านขาวที่หัวเราะจนหงายท้อง สองขาส่ายไปมาอย่างมิอาจควบคุมได้
ซิวซิวกล่าวด้วยความเห็นอกเห็นใจ “ศิษย์พี่ ไม่เป็นไรหรอก ข้าเชื่อว่าไม่นานท่านก็จะสามารถ อุ...ฮะๆๆ”
“เอ้า พวกเจ้าหัวเราะกันเข้าไป! เขาเพียงฝึกฝนหนักเกินไปก็เท่านั้นเอง!” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวเตือนทุกคน แต่ดูเหมือนแววตาของเธอนั่นแหละที่ขบขันมากที่สุด
แม้กระทั่งท่านอาจารย์ยังหัวเราะ กู่ฉิงซานจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นในจิตใจ
“อืม...ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าการฝึกฝนท่าร่างพื้นฐานนี้ ระหว่างกระบวนการฝึกฝน ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้เช่นกัน”
“วันนี้ข้าจะให้ซิวซิวนำอาหารมาให้เจ้า ตอนนี้เจ้าก็ลองไตร่ตรองเกี่ยวกับมัน เมื่อสามารถทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งแล้วเดี๋ยวเจ้าก็สามารถกลับมาเดินเหินได้อย่างปกติเอง”
‘นั่นคงเป็นทั้งหมดที่ฉันจะสามารถทำได้อย่างงั้นสินะ’ กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ศิษย์อาจารย์ทั้งหลายพยายามอดกลั้นยิ้ม และเดินจากไป
เหลือทิ้งไว้เพียงกู่ฉิงซานที่อยู่ในวังหลานเฉาเพียงลำพัง
เขาเอ่ยงึมงำ “นี่นับว่าเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ แต่ก็มาดูกันว่าฉันได้ทำความเข้าใจมันไปถึงขนาดไหนแล้ว”
ทันใดนั้น จู่ๆ แสงสลัวๆ จากหน้าต่างระบบเทพสงครามก็สาดออกมา มันได้กระตุ้นความสนใจของเขา
กู่ฉิงซานสังเกตเห็นถึงมัน และเบนสายตาไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม
เส้นแสงหิ่งห้อยสองสามบรรทัดปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง
“เนื่องจากผู้เล่นพยายามอย่างหนักในการฝึกฝนย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ดังนั้นค่าใช้จ่ายในส่วนของแต้มพลังวิญญาณที่จะใช้เพื่อเรียนรู้สกิลนี้จึงลดน้อยลง”
“เรียนรู้สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ต้องการแต้มพลังวิญญาณ เก้าร้อยเก้าสิบแปดแต้ม”
“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบันของคุณคือ ห้าร้อยสามสิบส่วนยี่สิบ”
มันลดลงไปแค่สองแต้ม…
กู่ฉิงซานรู้สึกว่าทั้งร่างของเขาอ่อนระทวย
ทว่าในวินาทีต่อมานั้นเอง เขากลับปรากฏความคิดบางอย่างขึ้นในจิตใจ
ตอนนี้โลกจริงจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แถมเขาก็ไม่ทราบว่าแอนนาจะจากเขาไปแล้วหรือเปล่า แล้วนี่เขาจะมัวมาท้อถอยและหยุดฝึกฝนเอาตอนนี้ได้อย่างไร?
เขาพยายามลุกขึ้นและเริ่มฝึกฝนต่อไป
ยามเที่ยงวัน นางเซียนไป่ฮั่วและซิวซิวก็มาเยี่ยมเยือนเขาด้วยกัน
นางเซียนไป่มองไปยังความคืบหน้าของกู่ฉิงซาน และกล่าวให้คำแนะนำเป็นการส่วนตัวอย่างละเอียด
ด้วยคำสอนของอาจารย์ กู่ฉิงซานจึงสามารถลดหลั่นช่วงเวลาที่จำต้องฝึกฝนและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสกิลเทวะลงได้ไปกว่าครึ่ง และสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียว ทั้งวันก็ล่วงเลยผ่านไป
และไม่กี่พริบตา วันเวลาก็ล่วงเลยมาแล้วถึงห้าวัน
ณ ยามเที่ยง กู่ฉิงซานสามารถกลับมาเดินเหินได้ตามปกติแล้ว เขาตรงเข้ามายังวังร้อยบุปผา และเพื่อรับประทานมื้อกลางวัน
ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร นี่มันไม่ถูกต้อง ท่านอาจารย์กล่าวว่ายามที่นางฝึกฝนท่าร่างนี้ในครั้งอดีต จำต้องจ่าย...”
เผี๊ยะ!
บังเกิดเสียงบางอย่างขึ้น พร้อมกับฉินเซี่ยวโหลวที่ถูกส่งลอยกระเด็นไปติดกำแพง ค้างอยู่สักพักจึงค่อยๆ รูดไถลลงมา
ทว่าเมื่อมองมายังนางเซียนไป่ฮั่ว กลับพบว่านางมิได้เคลื่อนไหวใดๆ เลย หรือสมควรกล่าวว่ามันรวดเร็วจนมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเสียมากกว่า “ฉิงซาน เจ้าทำได้ดีแล้ว จงอย่าได้ถูกคำครหาของผู้อื่นรบกวนความก้าวหน้าของตน”
“ศิษย์ทราบแล้ว” กู่ฉิงซานตอบ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ กู่ฉิงซานก็กลับมายังวังหลานเฉา และเริ่มฝึกฝนต่อ
สองชั่วยามต่อมา บนหน้าต่างสถานะก็กะพริบไหวขึ้นอีกครั้ง
กู่ฉิงซานชะงักงัน ก่อนจะหันมามองบนหน้าต่างเทพสงคราม
“เนื่องจากผู้เล่นพยายามอย่างหนักในการฝึกฝนย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ดังนั้นค่าใช้จ่ายในส่วนของแต้มพลังวิญญาณที่จะใช้เพื่อเรียนรู้สกิลนี้จึงลดน้อยลง”
“เรียนรู้สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ต้องการแต้มพลังวิญญาณห้าร้อยสามสิบแต้ม”
“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบันของคุณคือห้าร้อยสามสิบส่วนยี่สิบ”
“ผู้เล่นได้มาถึงเงื่อนไขที่จะสามารถเรียนรู้ได้แล้ว ท่านต้องการจะเรียนรู้ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วหรือไม่”
มองไปยังบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยเล็กๆ เหล่านี้ กู่ฉิงซานค่อยบรรเทาลมหายใจออกมา
ในที่สุดฉันก็จะสามารถเรียนรู้มันได้เสียที
บางทีหากเขายังคงเลือกที่จะฝึกฝนอย่างหนักหน่วงต่อไป มันอาจจะลดหลั่นค่าใช้จ่ายแต้มพลังวิญญาณให้น้อยลงยิ่งกว่าเดิมได้ก็ตาม ทว่าหลังจากที่ฝึกฝนมาอย่างหนัก กู่ฉิงซานก็ไม่เต็มใจที่จะยืดเวลาออกไปอีกแม้เพียงเสี้ยวนาทีเดียว
“เรียนรู้” น้ำเสียงที่เอ่ยหนักแน่น ไร้ซึ่งความลังเลใด
“ค่าใช้จ่ายห้าร้อยสามสิบแต้มพลังวิญญาณ แต้มพลังวิญญาณที่เหลือ ศูนย์ส่วนยี่สิบ”
“สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ได้ทำการเรียนรู้แล้ว ระดับสกิลปัจจุบัน ขั้นต้น”
“ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วขั้นต้น เป็นท่าร่างที่ทำลายข้อจำกัดในด้านพื้นที่ สามารถปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งที่ระบุเอาไว้ได้โดยตรง”
“ระยะการแสดงผล สามเมตร”
กู่ฉิงซานเผยท่าทีเหนื่อยหน่ายออกมา “ระยะการแสดงผลของมันเพียงแค่สามเมตร ดูเหมือนว่าระดับขั้นต้น นี่จะยังคงอ่อนแอเกินไป ฉันคงต้องฝึกฝนให้หนักกว่านี้ เพื่อที่จะยกระดับของมันให้ได้อย่างรวดเร็ว”
และเขาก็จำได้ว่าตนมีสกิลวิวัฒอยู่อีกหนึ่งเช่นกัน นั่นก็คือ ระบำผันผวน
สองสกิลเหล่านี้ ผู้เล่นจำต้องใช้มัน และฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถดึงพลังที่แท้จริงของพวกมันออกมาได้
กู่ฉิงซานเบนสายตามองไปยังนาฬิกาทรายอีกครั้ง
เม็ดทรายแต่ละเม็ดร่วงหล่นลงมาอย่างเชื่องช้า
บางทีในโลกจริง มันอาจจะผ่านพ้นไปแล้วหลายชั่วโมงก็เป็นได้
“เอาเถอะ ถ้ายังกลับไปไม่ได้อีกสักพัก ตอนนี้ก็สมควรเร่งฝึกซ้อมให้หนักเข้าไว้!”
กู่ฉิงซานคำรามต่ำ
วินาทีต่อมา เขาก็หยิบธนูเย่หยูขึ้น และเริ่มที่จะยิงออกไปเพื่อฝึกฝน
เขาจะใช้วิธีการ เริ่มจากฝึกฝนยิงธนูจนเหน็ดเหนื่อย จากนั้นก็สลับไปฝึกฝนท่าร่าง พอเหน็ดเหนื่อยจากท่าร่าง เขาก็กลับมาฝึกฝนยิงธนูอีกครั้ง
ทุกๆ วันตลอดทั้งสามมื้ออาหาร กู่ฉิงซานมิได้ไปยังพระราชวังร้อยบุปผาเลย
เมื่อเขาหิว ก็เลือกที่จะเคี้ยวเม็ดยาโดยตรง พออ่อนล้าก็จะใช้เม็ดยารักษาวิญญาณเพื่อบรรเทามัน
เขากระทำเช่นนี้ราวกับคนบ้า กลายเป็นปีศาจที่เอาแต่ฝึกฝนมาจนครบสิบวันแล้ว
ในช่วงเวลาดังกล่าว นางเซียนไป่ฮั่วและบรรดาศิษย์คนอื่นๆ ก็ได้มาเยี่ยมเยือนเขาอยู่หลายครั้ง
หลังจากที่เฝ้าดู ทั้งหมดก็จะกลับไปยังโต๊ะอาหาร
นางเซียนไป่ฮั่วจ้องมองฉินเซี่ยวโหลวพลางครุ่นคิดและเอ่ยงึมงำกับตนเอง “มันจะเป็นการดีกว่าไหมนะ ที่จะให้ฉิงซานกลายเป็นศิษย์พี่สองแทน…”
ฉินเซี่ยวโหลวตะลึงงัน เขารีบกล่าว “ท่านอาจารย์ เรื่องการจัดอันดับอาวุโสเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจกระทำการสับเปลี่ยนใดๆ เช่นนั้นจะเกิดความสับสนขึ้น”
“พื้นฐานวรยุทธเจ้ามิได้สูงส่ง นอกจากนี้ยังมิได้เป็นผู้ฝึกดาบเฉกเช่นเดียวกับฉิงซาน” นางเซียนไป่กล่าว “หากวันใดเจ้าออกไปยังภายนอก แล้วเกิดโดนกลั่นแกล้งขึ้นมา จนท้ายที่สุดแล้วจำต้องร้องขอให้ศิษย์น้องช่วยเหลือ เรื่องศักดิ์ศรีคงไม่ต้องกล่าวถึง”
ฉินเซี่ยวโหลวชะงัก
“โดนรังแกและไม่อาจโต้กลับได้ จำต้องร้องขอศิษย์น้องช่วยเหลือ เช่นนี้เจ้าจะกลายเป็นตัวตลก” นางเซียนไป่ฮั่วสอนสั่งอย่างอดทน “ทว่าหากสลับตำแหน่งกัน เจ้าเป็นน้อง เขาเป็นพี่ และเป็นเจ้าที่ร้องขอให้ศิษย์พี่ช่วยเช่นนั้นก็จะมิมีผู้ใดติฉินนินทาใดๆ”
“นั่นมันฟังดู…ก็เหมือนจะเป็นความจริงเล็กน้อย” ฉินเซี่ยวโหลวยกมือขึ้นกอดอก ในหัวขบคิดว้าวุ่น ไตร่ตรองถึงข้อดูข้อเสียของเรื่องดังกล่าวอย่างยากลำบาก
........................................