ตอนที่ 122 คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์
ครึ่งวันต่อมา
ผู้คนของนิกายร้อยบุปผากำลังร่วมนั่งรับประทานอาหารกันอยู่รอบโต๊ะ
“ท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่าในวันนี้ศิษย์พี่สามจะไม่ได้ฝึกฝนล่ะ” ซิวซิววิ่งเข้ามาหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยและเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
ในหลายวันที่ผ่านมา ยามว่าง เธอมักจะกึ่งเดินกึ่งกระโดดไปยังวังหลานเฉา เพื่อเฝ้าดูและให้กำลังใจกู่ฉิงซานอยู่ข้างๆ
“ยังไม่ได้ฝึกฝนกระนั้นหรือ? เช่นนั้นเขากำลังทำสิ่งใด?” ห่านขาวถาม
“เขากำลังไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ซิวซิวย่นจมูกและกล่าวด้วยใบหน้ายู่ยี่ “ตั้งแต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เหงื่อของศิษย์พี่ไหลหยดย้อยอยู่เต็มเสื้อ ดังนั้นเวลาข้าไปถึง ข้าจึงมักจะขอให้เขาไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เสมอๆ ทว่าวันนี้ เมื่อข้าไปถึงกลับพบว่าเขาเลือกที่จะไปอาบน้ำด้วยตัวเองก่อนแล้ว”
ห่านขาวนิ่งคิดก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็คงจะทำมันสำเร็จแล้วล่ะนะ”
กู่ฉิงซานลงไปแช่ในน้ำพุร้อน ขณะเดียวกันก็ดูคำฉลองชัยชนะบนหน้าต่างสถานะ หลังจากที่ตนได้ทำการฝึกฝนเก็บเกี่ยวมันมานาน
“ระบำผันผวนขั้นกลา สกิลวิวัฒ สามารถยิงลูกศรสิบดอกได้ในระยะเวลาอันสั้น ด้วยการโจมตีดังกล่าวนี้ ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถคาดเดาทิศทาง”
“ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วขั้นกลาง สกิลเทวะ ทำลายข้อจำกัดในด้านพื้นที่ สามารถเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่ระบุหรือเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งกลิ่นอายของศัตรูที่ถูกล็อกเป้าเอาไว้ได้โดยตรง”
“ระยะการแสดงผล สามสิบเมตร”
สามสิบเมตร นับว่าสามารถนำมาใช้ในการต่อสู้จริงได้!
ในเวลานั้นเอง เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ก็บินตรงเข้ามา
ยันต์สื่อสารปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน เขาถ่ายเทพลังวิญญาณออกไปและพบกับน้ำเสียงอันแผ่วเบาของซิวซิว
“ศิษย์พี่! ศิษย์พี่!! ท่านอาจารย์กล่าวว่ากำลังจะเลือกเทคนิคฝึกฝนระดับก่อตั้งให้แก่ท่าน”
กู่ฉิงซานยิ้ม และเอื้อมมือไปเก็บยันต์สื่อสาร
เขาเปิดหน้าต่างสถานะและมองไปยังนาฬิกาทรายอีกครั้ง
ปรากฏว่าเม็ดทรายที่อยู่ส่วนบน หลงเหลืออยู่แค่เพียงเจ็ดเม็ดเท่านั้น
มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องกลับไป
ปรากฏม่านแสงสว่างวาบ ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานหายวับไปจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ
ณ จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์โอลันก้า
ภายในพระราชวัง
“พูดว่าอะไรนะ ยังไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ อีกรึ?”
“ทำไมถึงยังไม่ได้รับข่าวใดๆ!? เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ข้าจะกุดหัวเจ้าซะ!”
ราชาแห่งจักรวรรดิเอ่ยถามด้วยความขุ่นเคือง เขาเป็นชายชราที่มีผมหงอกสีเทา ขณะนี้กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์แห่งราชวงศ์
เหล่านายทหารชั้นผู้น้อยสั่นสะท้าน พวกเขาคุกเข่าลงบนพื้น “องค์หญิงกล่าวว่าเธอจะกลับมาในเร็วๆ นี้ ทว่าเรากลับไม่พบเห็นรถเหินเวหาสะเก็ดไฟของเธอปรากฏขึ้นที่เขตชายแดนเลย”
“เหอะ เจ้าตัวไร้ประโยชน์ ข้าจะสั่งฆ่า...”
ทันใดนั้นชายชราก็ชะงักไป เขาสังเกตเห็นถึงหญิงคนหนึ่งที่ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายเรืองรองของความศักดิ์สิทธิ์ ขณะนี้สองมือของเธอยกขึ้นมากุมขนานกับหน้าอกตนเอง
ชายชราดูเหมือนจะเข้าใจถึงสัญญาณมือนั้นได้ทันที
เขาโบกมือพร้อมตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ออกไปให้พ้นหน้าข้า! แล้วอย่าบังอาจเสนอหน้ามาให้ข้าได้เห็นอีก!”
ปรากฏชั้นเหงื่อเย็นเยียบขึ้นบนแผ่นหลังของเหล่านายทหารชั้นผู้น้อย ก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆ คลานออกไป
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว ชายชราก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง สีหน้าของเขาค่อยๆ บรรเทาลง
“พระสันตะปาปาที่เคารพ เราราชาร้องขอให้ท่านเป็นคนจัดการ เวลานี้ได้ข่าวคราวว่าเช่นไรบ้าง?”
“อยู่ในระหว่างกระบวนการ ฝ่าบาทโปรดทรงวางพระทัย ทุกอย่างจะเสร็จสิ้นลงในไม่ช้า”
หญิงที่แต่งชุดคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ ทั่วทั้งร่างแลดูเปล่งประกายด้วยแสงเรืองรองเล็กน้อย เอ่ยตอบอย่างอ่อนโยน
ด้วยลักษณะท่าทีดังกล่าวนี้ หากเธอปรากฏตัวขึ้นเบื้องนอกพระราชวัง คงไม่อาจตอบกล่าวได้เลยว่าจะมีสักกี่คนกันที่คุกเข่าลง โค้งนมัสการให้แก่เธอ
ทว่าน่าเสียดายที่เธอสวมผ้าคลุมหน้าซ้อนทับกันเอาไว้หลายชั้น ทำให้ไม่มีใครได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเธอได้
“ออกไปให้หมด ข้าจะพูดคุยกับพระสันตะปาปาเป็นการส่วนตัว” ชายชราเอ่ยบัญชา
และทุกคนก็เร่งถอยออกไปทันที
ในห้องโถงยามนี้สงบเงียบราวกับสรรพเสียงได้ตายลงไปแล้ว
“เอาล่ะ มาเถอะ” ชายชราบนบัลลังก์กล่าว
พระสันตะปาปามิได้เอ่ยกล่าวสิ่งใด
“มาเถอะ ได้โปรดข้าร้องขอท่าน”
น้ำเสียงของชายชราแลดูคล้ายอ้อนวอนเล็กน้อย
พระสันตะปาปาถอนหายใจ ก่อนจะยกชายเสื้อคลุมเบื้องล่างขึ้นด้วยสองมือ และค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น ทีละขั้นขึ้นสู่บัลลังก์
แต่ละก้าวของเธอดูงุ่มง่าม ฉะนั้นทุกย่างก้าวจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทว่าชายชราที่กำลังเฝ้ามองกลับปรากฏซึ่งร่องรอยของความสุขอย่างเห็นได้ชัด
พระสันตะปาปาก้าวขึ้นไปบนบัลลังก์และหยุดอยู่เบื้องหน้าชายชรา
เธอยื่นฝ่ามือออกไปลูบหัวของเขาและกล่าวกระซิบ “ไม่ต้องกังวล แม้ว่าบางคนจะยังไม่ตกตายลง แต่วาระสุดท้ายของพวกเขาก็ไม่พ้นวันนี้อยู่ดี”
ชายชราเริ่มที่จะร่ำไห้ “ท่านก็รู้ว่านี่มิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ”
พระสันตะปาปานิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “อีกไม่นานหรอก จงอดทนแบกรับมันอีกครั้ง ทุกอย่างจะต้องจบลงในเร็วๆ นี้”
“ข้าไม่อาจทนแบกรับได้ ข้าไม่อยากจะทำมัน ข้าเพียงต้องการ...”
เสียงของชายชราขาดห้วงไปอย่างฉับพลัน
หัวของเขาค่อยๆ ตกลง ร่างบนบัลลังก์เริ่มอ่อนยวบคล้ายกับว่าจู่ๆ เขาก็ได้สูญเสียจิตวิญญาณไปอย่างกะทันหัน
บนหน้าอกของชายชราปรากฏมือคู่หนึ่ง
มือคู่นั้นถูกปกคลุมด้วยเล็บแหลม ที่จ้วงทะลุและค่อยๆ ยื่นออกมาจากร่างของชายชรา
สองมือถูกแหวกออกไปด้านข้าง และหน้าอกของชายชราก็เปิดออก
ปรากฏว่าแท้จริงแล้วบนหน้าอกของชายชรากลับไม่มีอวัยวะใดๆ หลงเหลืออยู่เลย มีแค่เพียงชายร่างเล็กที่ซ่อนอยู่
มันเป็นชายร่างเล็กที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผล บนศีรษะปรากฏเส้นผมประปราย ส่วนบนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยับย่น
อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงที่เขาเปล่งออกมากลับยังฟังดูคมชัด
ชายตัวเล็กคร่ำครวญโหยหวน “ท่านแม่ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ มันช่างโดดเดี่ยว ข้าเหงาเหลือเกิน”
“เจ้าสมบัติล้ำค่าของแม่” พระสันตะปาปายกตัวเขาขึ้นมาไว้ในอ้อมอกและกล่าวกระซิบ “ให้เวลาแม่เจ้าอีกสักสองวันเถอะ เมื่อประเทศนี้ตกเป็นของพวกเรา หลังจากนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเล่นละครอีกต่อไป”
ชายร่างเล็กคว้าคอพระสันตะปาปาและกล่าวอย่างคลุ้มคลั่ง “ทำไมท่านถึงไม่เข้าใจ ข้าเพียงต้องการแอนนา ต้องการแอนนา ต้องการให้แอนนากลายเป็นเจ้าสาวของข้า!”
“แอนนาจะเป็นของเจ้า และไม่มีใครสามารถเอาตัวเธอจากไปได้ ลูกชายที่น่ารักของฉัน” พระสันตะปาปาเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม
ทันใดนั้นเธอก็เปิดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นถึงใบหน้าที่ปราศจากซึ่งเนื้อหนัง คู่ดวงตาทั้งสองปรากฏเพียงหลุมดำที่ว่างเปล่า
เธอยื่นหน้าเข้าไปคลอเคลียกับลูกชายและเอ่ยกล่าว “เจ้าจะได้แอนนามาครอบครองหากเชื่อฟังคำสั่งของแม่”
“นางเป็นถึงกุหลาบหนามของจักรวรรดิ ถ้าเจ้าไม่พยายามอย่างหนัก แล้วเจ้าจะได้นางมาครอบครองได้อย่างไร?”
ชายตัวเล็กคร่ำครวญ “จริงๆ หรือ?”
“จริงๆ สิ” สันตะปาปาอุ้มชายร่างเล็กไกวไปมา และเอ่ยกระตุ้นต่ออย่างรวดเร็ว “ตราบใดที่เจ้าเพียรพยายามอย่างหนักอีกเพียงแค่สองวัน แม่จะมอบแอนนาให้แต่งงานกับเจ้า”
“งั้นก็ตกลง ข้าจะเพียรพยายามอย่างหนัก พยายามอย่างหนักเพราะข้าอยากจะได้แอนนามาครอบครอง” ชายร่างเล็กกล่าว และปีนกลับลงไปในร่างของชายชรา จากนั้นก็ใช้สองมือที่เต็มไปด้วยเล็บแหลมปิดหน้าอกกลับคืนจากภายใน
ชายชราเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พร้อมเริ่มเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงชราทว่ากลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “ข้าต้องการแอนนา ต้องการเธอ เธอคือเจ้าสาวของข้า”
ทันใดนั้นเอง ภายนอกพระราชวังก็ปรากฏเสียงดังกึกก้อง
“นั่นใครน่ะ!” ชายชราโกรธขึง เอ่ยตะโกนไปยังทิศทางดังกล่าว
ขณะเดียวกันกับที่น้ำเสียงของชายชราเปล่งออกมา พระสันตะปาปาก็ได้เดินลงบันไดกลับไปยังเบื้องล่าง พร้อมกับผ้าคลุมหน้าที่ถูกปิดลงอีกครั้ง
มองไปยังท่วงท่าสง่างามและทรงเกียรติของเธอ ราวกับว่าเธอมิอาจเคลื่อนกายออกจากจุดเดิมเลยนับตั้งแต่ที่เหล่าผู้คนโดยรอบได้ทยอยออกไป
เบื้องนอกห้องโถง ปรากฏเสียงรายงานด้วยความตื่นตระหนก
“ฝ่าบาท องค์หญิงแอนนาส่งข้อความมา ว่าต้องการจะสนทนากับท่านโดยตรง”
“แอนนา!”
ชายชราเอ่ยออกมาคำหนึ่งด้วยความสุข สองมือของเขาวางลงบนขอบบัลลังก์และเตรียมที่จะลุกขึ้นยืน
ทว่าเมื่อสายตาเบนไปเห็นพระสันตะปาปา ที่แม้ใบหน้าจะถูกปกคลุมด้วยชั้นผ้า ทว่ากลับยังสามารถรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของเธอ
ชายชราหดตัวกลับ กระแอมไอเบาๆ และกล่าว “เปิดอุปกรณ์สื่อสาร แล้วเริ่มทำการเชื่อมต่อได้”
หลังจากนั้นไม่นาน อุปกรณ์สื่อสารลับก็ถูกติดตั้งและทำการเชื่อมต่อ
ม่านแสงปรากฏขึ้น
อุปกรณ์สื่อสารเชื่อมต่อข้ามชั้นป้องกันเข้ามา ส่งตรงมาจากรัฐบาลกลางที่อยู่ห่างไกลออกไป
ชายชราและพระสันตะปาปามองไปยังม่านแสงด้วยสีหน้าที่แปลกไปเล็กน้อย
“เจ้าเป็นใครกัน?”
น้ำเสียงของชายชราเต็มไปด้วยความโกรธขึงคลุกเคล้าไปด้วยเจตนาฆ่าแห่งความหึงหวง
เห็นเพียงแค่บนม่านแสง แอนนากับวอนฟอร์ดยืนอยู่ห่างไกลออกไป ทั้งสองกำลังปะทะอยู่กับฝูงชนที่บ้าคลั่ง โถมโจมตีออกไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ได้
และบนจอม่านแสง ปรากฏแค่เพียงชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหล่า
“ถวายบังคม องค์ราชาแห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ อันดับแรกกระหม่อมขอกล่าวแนะนำตนเองก่อน กระหม่อมมีนามว่ากู่ฉิงซาน”
........................................