webnovel

0113 เริ่มต้น

ตอนที่ 113 เริ่มต้น 

“นับจากนี้ไปในอนาคตเจ้าจะมุ่งเน้นตั้งใจฝึกฝนแต่เพียงวิธีดาบอย่างนั้นหรือ?” หนิงเยว่ฉานเอ่ยถาม 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยน เขากล่าวด้วยความลังเล “ไม่หรอก ข้าคิดว่าช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการฝึกซ้อมดาบ อาจจะยังคงสามารถหันมาฝึกฝนกระบี่ได้เป็นครั้งคราว” 

“เช่นนั้นไม่ได้” หนิงเยว่ฉานกล่าวเตือน “ไม่ว่าจะเป็นดาบหรือกระบี่ สมควรทุ่มความสนใจอย่างแท้จริงไปเพียงหนึ่งเดียว มิอาจแบ่งใจไปได้” 

“เช่นนั้นก็ได้” กู่ฉิงซานพยายามทำท่าลำบากใจ “ข้าจะเลือกฝึกฝนดาบก็แล้วกัน” 

“อืม นั่นสิจึงจะถูกต้อง” หนิงเยว่ฉานกล่าวด้วยความพึงใจ 

เหล่าผู้ฝึกยุทธชายในฉากทำได้เพียงก้มหน้างุด ไม่อาจเอ่ยคำในหัวออกจากปากได้ 

นักบุญหญิงนับตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมานี่ไม่ใช่วิถีของท่านนี่ มันไม่ใช่แบบนี้! 

แก๊ง...

แก๊ง...

แก๊ง...

เสียงระฆังดังกังวาน

การทดสอบประจำปีในรอบที่สาม กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า 

หนิงเยว่ฉานเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ข้าคงต้องไปแล้ว การทดสอบประจำปีรอบที่สาม อยู่ในความรับผิดชอบของข้า” 

“ข้าเข้าใจ” กู่ฉิงซานพยักหน้า ก่อนจะหยิบยันต์สื่อสารมอบให้แก่เธอ 

นี่คือยันต์สื่อสารของเขา 

หนิงเยว่ฉานรับมันไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะหยิบยันต์สื่อสารของตนเองออกมา ก้มหน้างุด และยื่นมันให้แก่กู่ฉิงซาน 

บรรดาผู้ฝึกยุทธหญิงยกมือขึ้นปิดปาก ทว่ากลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นแทนที่ในสายตา 

หนิงเยว่ฉานดูจะหน้าบางเป็นพิเศษ เธอหันหัวกลับและกล่าว “ศิษย์น้องหญิง พวกเราไปกันเถอะ” 

“ศิษย์พี่ พวกเราขอตัวก่อน หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้ง” 

“ลาก่อน” 

“ลาก่อนนะพี่สาว” 

“น้องสาวตัวน้อยที่รัก อย่าลืมเชื่อฟังคำของศิษย์พี่ชายของเจ้า และจงจำไว้ว่าว่างยามใดขอให้แวะเวียนมาเที่ยวเล่นที่นิกายเทียนจีได้ทุกเมื่อ” 

“อื้อ ข้าจะต้องไปอย่างแน่นอน” 

หลังจากที่กล่าวร่ำลาอยู่ไม่กี่คำ สีหน้าของหนิงเยว่ฉานก็เต็มไปด้วยความสุข เธอนำเหล่าศิษย์น้องกลับไปยังนิกายเทียนจี 

“คิดว่าชายผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้ฝึกยุทธหญิงคนอื่นๆ เอ่ยถามเสียงกระซิบ 

บรรดาศิษย์น้องหยิบแผ่นหยกที่บรรจุไว้ซึ่งศาสตร์ลับขึ้นมาและกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “เอาคะแนนเต็มไปเลย!” 

...

จากนั้น การทดสอบประจำปีรอบที่สามก็ได้เริ่มต้นขึ้น 

ในระหว่างการทดสอบครั้งนี้ ผู้นำนิกาย อาวุโสใหญ่ ต่างก็เริ่มมีท่าทีจริงจัง 

แม้กระทั่งเหล่าสาวกชั้นยอดที่นำพามาก็ยังเผยให้เห็นถึงความสนใจ 

การทดสอบรอบแรกของการทดสอบประจำปีนั้นเป็นอะไรที่ธรรมดายิ่ง มีแต่พวกมือใหม่ทั้งนั้น  ส่วนรอบสองก็คือการทดสอบเพื่อเข้าสำนักภายนอก ทว่าขณะเดียวกันก็ต้องคอยเฝ้าสังเกตห้วงอารมณ์และความสามารถของผู้ถูกทดสอบอีกเล็กน้อย เพื่อยืนยันว่าเขาเหมาะสมที่จะยืนอยู่ในเส้นทางแห่งการฝึกยุทธจริงๆ หรือไม่ 

นี่ก็เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมเช่นกัน หากชายคนนั้นเป็นคนขี้ขลาดราวกับกระต่ายตื่นตูม หรือไม่เต็มใจที่จะฝึกยุทธ แม้ว่าเขาจะพอมีคุณสมบัติดีเยี่ยมก็ตาม สุดท้ายก็จะไม่ถูกให้เข้าร่วมนิกาย

ในประวัติศาสตร์  นี่มิใช่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตัวอย่างเช่น 

บางคนมีคุณสมบัติที่ดี แต่ห้วงอารมณ์กลับขลาดเขลาเกินไป แม้ว่าเขาจะถูกทุ่มแน่ฝึกฝนใช้ออกด้วยทรัพยากรอันเลอค่าของนิกายแล้วก็ตาม 

ผลที่ได้ก็คือ เมื่อบุคคลดังกล่าวที่ยามนั้นอยู่ในขอบเขตแก่นทองคำได้เผชิญหน้ากับเผ่ามาร เพียงแค่มันผายลมแต่เขากลับหวาดกลัวจนหัวหด 

คนผู้นั้นขลาดเขลาชนิดที่ว่าแม้กระทั่งเหล่าสาวกในนิกายเดียวกัน ก็ยังมิกล้าต่อสู้ 

เช่นนี้จะไม่เท่ากับว่านิกายนั้นๆ ได้เพาะเลี้ยงขยะชิ้นโตขึ้นมาหรอกหรือ 

ตัวตนดังกล่าวนี้จำต้องรีบทำการปฏิเสธไปตั้งแต่ต้นๆ 

หลังจากรอบสองไปยังรอบสาม  มันคือการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเป็นทางการ 

คุณสมบัติของผู้ฝึกยุทธทั้งหมด จะถูกเผยมันออกมาในการทดสอบครั้งนี้ 

บนเวที ที่ยังหลงเหลืออยู่ ล้วนเป็นพวกมือใหม่ที่มีพรสวรรค์มากเป็นพิเศษ เป็นพวกนักรบที่มีความโดดเด่น หรือพวกผู้ฝึกยุทธเร่ร่อนที่แม้จะฝึกเพียงลำพังทว่ากลับพัฒนาขึ้นมาได้ถึงปราณปรับแต่งและขั้นก่อตั้งได้ 

ในรอบนี้จะไม่มีผู้คนธรรมดาอีกต่อไป 

คนธรรมดาทั่วไป แม้จะผ่านรอบแรกมาได้ แต่ก็จะถูกโล๊ะออกไปในรอบสอง ส่งต่อไปให้นิกายภายนอกช่วยฝึกฝนและขัดเกลาจิตวิญญาณและห้วงอารมณ์ ช่วยให้พวกเขาตระหนักถึงกระบวนการต่างๆ ที่สำคัญในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ นี่เป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ 

ดิสก์ทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดความสูงเท่าครึ่งตัวคน ถูกยกขึ้นโดยสองผู้ฝึกยุทธ และวางลงบนกลางเวทีจัตุรัส 

หนิงเยว่ฉานกระโจนขึ้นไปยังเวทีจัตุรัสอย่างนุ่มนวล ยืนอยู่เหนือดิสก์ทองสัมฤทธิ์ 

เพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่น ทว่าฉากนี้กลับดูราวกับภาพอันงดงามของนางฟ้าที่จุติลงมาบนโลก 

สายตาของผู้ฝึกยุทธชายทั้งหมดสาดไปยังหนิงเยว่ฉานโดยพร้อมเพรียง และไม่อาจเบนไปยังทิศทางอื่นได้อีกเลย 

หนิงเยว่ฉานรับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลการทดสอบประจำปีรอบที่สาม 

เธอประกาศก้อง “การทดสอบประจำปีในรอบที่สาม เริ่มต้น ณ บัดนี้!” 

“พวกหน้าใหม่ที่ผ่านการทดสอบในรอบที่สอง จงวางมือลงบนดิสก์ทองสัมฤทธิ์” 

“นอกจากนั้น นิกายต่างๆ ที่ได้นำพาสาวกขึ้นมาในที่แห่งนี้ โปรดขึ้นมาทำการทดสอบในรอบที่สามด้วย” 

ภายใต้ประโยคดังกล่าว ไม่ได้เกิดความวุ่นวายใดๆ และไม่มีใครคิดประท้วง 

นิกายใหญ่แต่ละนิกายหันไปมองหน้ากันและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ 

ในช่วงเวลานี้ของปี มักจะเกิดเสียงประท้วงวุ่นวายดังขึ้นเสมอ 

พวกมือใหม่ส่วนหนึ่งไม่เต็มใจที่จะขึ้นไปสัมผัสมือลงบนดิสก์ทองสัมฤทธิ์ เพราะเกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยความสามารถหรือรากวิญญาณของตนเอง 

อย่างที่ทุกคนรู้ อาจเป็นเพราะเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขา ไม่เคยได้ถูกแสดงให้ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ เห็นมาก่อน และพวกเขาไม่เต็มใจที่จะให้ใครล่วงรู้ถึงมัน 

ทว่าครั้งนี้ได้เปลี่ยนให้หนิงเยว่ฉานมาเป็นผู้รับผิดชอบในรอบที่สาม พวกมือใหม่ที่เป็นชายที่มักจะมีอารมณ์ร้อน หรือมีจิตใจที่ด้านชา ภาคภูมิในตนเองจนเรียกว่าหยิ่งผยอง จึงไม่ได้ลุกยืนขึ้นประท้วง 

บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาต้องการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ดีของตนต่อหน้าหญิงงามล่มเมืองอย่างหนิงเยว่ฉานกระมัง? 

หนิงเยว่ฉานคือนักบุญหยิงแห่งนิกายเทียนจี และเธอก็จะต้องขึ้นเป็นผู้นำนิกายคนต่อไป 

การที่จะสามารถได้รับการชมชอบ หรือความสนใจแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ จากเธอก็นับว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีมากแล้ว 

“ข้าว่าปีหน้า ก็คงสมควรที่จะให้นางเป็นผู้รับผิดชอบในรอบที่สาม” อาวุโสใหญ่แห่งนิกายหนึ่งเสนอ 

“นับว่าเป็นความคิดที่ดี” 

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” 

“ข้าอนุมัติ” 

เหล่าตัวตนที่ยิ่งใหญ่กล่าวกระซิบ 

มือใหม่คนแรกเดินเข้ามา ก่อนจะเอื้อมมือของเขาออกไปด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย และวางมันลงบนดิสก์ทองสัมฤทธิ์ 

แสงสีแดงเรืองรองสาดออกมาจากดิสก์ทอง มันหมุนล้อมรอบตัวของมือใหม่ ก่อนจะหายกลับเข้าไปในดิสก์อีกครั้ง 

“ยอดเยี่ยม เจ้ามีรากวิญญาณธาตุไฟ เพียงแต่มันยังไม่ถูกปลดผนึก ขอจงมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนักต่อไปในอนาคตจึงจะปลดผนึกมันได้” 

หนิงเยว่ฉานกล่าว 

เบื้องหลังเธอ ปรากฏผู้ฝึกยุทธบังคับกฎกว่าหนึ่งทิวแถว ในมือของทุกคนกำลังถือจับกระดาษหยก และเริ่มบันทึกคุณสมบัติของผู้ทดสอบลงไป 

มือใหม่คารวะด้วยความยินดี และเหลือบมองมายังหนิงเยว่ฉานอีกครั้ง ก่อนจะลงไปอย่างเงียบๆ 

มือใหม่คนที่สองขึ้นมาและวางมือลงบนดิสก์ทองสัมฤทธิ์ 

ทันใดนั้นดิสก์ทองก็พลันแปรเปลี่ยนรูปร่างของมัน กลับกลายเป็นระฆังกังวาน กักขังมือใหม่ที่กำลังทดสอบไว้ภายในนั้น 

หนิงเยว่ฉานตบลงบนดิสก์ทองและเรียกมันกลับคืน 

เธอกล่าวไปยังมือใหม่ที่กำลังสั่นสะท้านด้วยความตื่นตระหนก “เจ้าอาจมีเทคนิคเทียนซวนประเภทวางกับดักศัตรู ขอจงมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนัก และมันจะตื่นขึ้นมาในไม่ช้า” 

พอได้ยิน มือใหม่คนนั้นก็มีความสุขยิ่ง เขาคารวะ และเดินลงจากเวทีไป 

มือใหม่คนที่สามก้าวขึ้นมา แต่ทว่าดิสก์ทองสัมฤทธิ์กลับไม่ตอบสนองใดๆ เลย 

มือใหม่คนนี้เริ่มที่จะรู้สึกเสียหน้า ทว่าหนิงเยว่ฉานกลับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา และกระตุ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าแค่ไม่ได้ครอบครองธาตุทั้งห้าหรือเทคนิคเทียนซวน ทว่าก็ยังคงสามารถเข้าร่วมกับนิกายผู้ฝึกยุทธ และทำการฝึกฝนต่อไปได้ในอนาคตมิแตกต่างอันใดกับคนอื่นๆ” 

มือใหม่รายนี้เมื่อได้รับคำแนะนำ ทั้งคนทั้งร่างราวกับกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง 

เขาจ้องมองไปยังหนิงเยว่ฉาน หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือโค้งคารวะ “ขอบคุณท่านนักบุญหญิงที่สอนสั่ง” 

และฉากนี้จะกลายเป็นภาพความทรงจำที่เขาจะจดจำมันไปชั่วนิรันดร์ 

ผู้ฝึกยุทธรายนี้ได้ผ่านพ้นช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความคับข้องใจต่างๆ มากมาย และเขาจะไม่มีทางยอมลืมเด็ดขาดว่าในการทดสอบประจำปีในวันนี้ ได้มีหญิงที่งดงามชนิดที่เรียกได้ว่าหาตัวจับยาก เอ่ยให้กำลังใจเขา 

เวลาค่อยๆ ผ่านพ้นไป การทดสอบประจำปีรอบที่สามได้ล่วงเลยไปกว่าครึ่งทางแล้ว 

ผู้ฝึกยุทธหลายคนที่ได้เข้าร่วมกับนิกายอยู่ก่อนแล้ว เพื่อที่จะได้เห็นหนิงเยว่ฉานที่ยืนอยู่บนเวทีอย่างใกล้ชิด บางคนจึงอดไม่ได้ที่จะกระโดดขึ้นไปเพื่อขอวางฝ่ามือลงบนดิสก์ทองสัมฤทธิ์ 

ผู้ฝึกยุทธคนนั้นตบมือลงบนดิสก์ทองสัมฤทธิ์ และบนดิสก์ก็ปรากฏร่างเงาของสรรพาวุธมากมายนับไม่ถ้วน  ก่อนที่สุดท้ายจะหยุดนิ่งอยู่ที่อาวุธดาบยาว 

ผู้ฝึกยุทธดาบที่ยืนอยู่ด้านล่างเวทีต่างเผยสีหน้าบ้างวิตก บ้างสะใจออกมา พวกเขารอลุ้นว่านักบุญหญิงจะไม่เลือกปฏิเสธผู้ฝึกดาบเฉกเช่นเดียวกับเจ้าหนุ่มคนก่อนหน้าแล้วหรือไม่? 

หากเป็นอย่างในกรณีของเจ้าเด็กนั่นก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี 

อย่างไรก็ตาม เมื่อหนิงเยว่ฉานจ้องมองไปยังภาพเงาของดาบยาว เธอก็ส่งเสียงฮึฮะออกมาอย่างเย็นชา “มีประสบการณ์ในการฝึกฝนดาบ? ตัวตนเช่นนี้ต่อมาก็จะกลายเป็นผู้ฝึกดาบ ดีมาก ข้าจะช่วยหักมือเจ้าจะได้ไม่ต้องฝึกฝนมันอีก!” 

ชายคนนั้นหวาดกลัวจนพูดไม่ออก ได้แต่ชักมือกลับและส่ายหน้ารัวๆ ไปทางหนิงเยว่ฉานที่กำลังปลดปล่อยแรงดันวิญญาณออกมา 

ในฝูงชน เหล่ามือใหม่ที่ฝึกฝนอาวุธต่างพากันหดคอ 

ส่วนผู้ฝึกยุทธดาบ พวกเขาทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเงียบๆ และกลับมาหมดหวังดังเดิม 

ซิวซิวเห็นว่ามันน่าสนุกดีจึงยืนเขย่งเท้าเพื่อที่จะได้มองมัน 

กู่ฉิงซานวางมือลงบนศีรษะของซิวซิวและเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “เป็นอะไรไป เจ้ายังกังวลอยู่หรือ?” 

ซิวซิวเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างมีความสุข “ข้ามิได้กังวล ข้าเพียงรู้สึกสนใจ! ทว่าผู้คนมากมายเกินไปบดบังวิสัยทัศน์ข้า จนไม่อาจมองเห็นบนเวทีได้” 

กู่ฉิงซานขบคิดก่อนจะอุ้มซิวซิวและวางเธอลงบนไหล่ของตนเอง 

“แบบนี้เป็นไง?” เขาถาม 

“เห็นชัดแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่” ซิวซิวเอ่ยอย่างมีความสุข 

ผู้ฝึกยุทธรอบๆ ต่างกลอกตามองบน ‘นี่เจ้าคิดจะมาละเล่นหรือจะมาทดสอบประจำปีกันแน่’ 

ณ ขณะนี้บนเวทีจัตุรัส ปรากฏเด็กสาวผู้หนึ่งวางมือลงบนดิสก์ ส่งผลให้แผ่นดิสก์ระเบิดเปลวเพลิงออกมา ก่อนที่มันจะแตกกระจายร่วงหล่นลงบนพื้น 

เด็กสาวกรีดร้องเสียงหลง ในปากเอ่ยกล่าว “มันมิใช่ความผิดข้า มิใช่ความผิดข้า!” 

หนิงเยว่ฉานไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอตบลงบนดิสก์ทองสัมฤทธิ์ที่แตกสลายเบาๆ ก่อนที่มันจะกลับคืนสู่สภาพเดิม 

“เจ้ามีรากวิญญาณธาตุไฟที่ยังไม่ปลดผนึก นอกจากนี้ยังมีเทคนิคเทียนซวนประเภทฉีกสับที่ยังไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น นับว่าเป็นพรสวรรค์โดยธรรมชาติอันหาได้ยากยิ่ง หวังว่าเจ้าจะมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนัก และพลังของเจ้าก็จะตื่นขึ้นในไม่ช้า” เธอเอ่ยกล่าวอย่างอ่อนโยน 

เด็กสาวตอบสนองหูผึ่ง ที่แท้ก็ปรากฏว่าเธอมีทั้งรากวิญญาณและเทคนิคเทียนซวนอยู่ในร่างกาย จึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาทันที 

พริบตาที่เด็กสาวคนนั้นเดินลงมา อาวุโสจากหลากหลายนิกายก็ยืนขึ้น และตรงเข้าไปรุมล้อมเพื่อต่อสู้แย่งชิงนาง 

มือใหม่คนต่อมาขึ้นมาบนเวที และวางมือลงบนดิสก์ 

บนดิสก์ปรากฏร่างเงาของนักสู้ขึ้น ร่างเงาใช้ออกด้วยเพลงหมัดหนึ่งชุดและเพลงหมัดก็ลอยออกจากกำปั้นของเขา 

“อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าจะได้รับพลังฝ่ามือหรือกำปั้นของหวนคืนไร้ลักษณ์ เจ้าสมควรจะต้องฝึกฝนมุ่งเน้นไปยังนักสู้หวูเต๋า” หนิงเยว่ฉานพยักหน้ากล่าว 

“ปรากฏต้นกล้าที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะมากมายจริงๆ” กู่ฉิงซานพึมพำ 

ซิวซิวที่นั่งอยู่บนไหล่ของเขา จู่ๆ ก็เอ่ยกล่าวขึ้นมา “ศิษย์พี่ทำไมพวกเราไม่ขึ้นไปบ้างล่ะ?” 

“อย่าไปเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว 

“อ๊า แต่ข้าอยากจะรู้บ้างนี่นา” 

กู่ฉิงซาน “เจ้าจะอยากรู้อยากเห็นสิ่งใดล่ะ” 

ซิวซิว “ข้าอยากจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากข้าสัมผัสลงบนดิสก์แผ่นนั้น” 

“จะปรากฏเงาสีเทาเวียนว่ายล้อมรอบตัวเจ้า” 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ทว่ามันไม่จำเป็นจะต้องเป็นเงาสีเทาเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของรากวิญญาณของเจ้า ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าใด สีของเงาก็จะยิ่งเข้มข้นและสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น” 

เขาเอ่ยเสริม “เจ้าสิ่งนี้ ที่นิกายของพวกเราก็มีมันเช่นกัน หากเจ้าอยากรู้อยากเห็นเป็นพิเศษ ไว้กลับไป ข้าจะให้ศิษย์พี่สองสร้างมันขึ้นมาไว้ให้เจ้าเล่น” 

ซิวซิวบังเกิดความพอใจขึ้นในทันที เธอเอ่ยถาม “แล้วหากท่านอาจารย์สัมผัสลงบนแผ่นดิสก์เล่า จะเกิดอะไรขึ้น” 

กู่ฉิงซานขบคิดก่อนกล่าว “หากเป็นดิสก์ทั่วๆ ไปก็คงจะเกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่องสามวันสามคืนไม่มีหยุด และเต็มไปด้วยรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน...เหมือนกับอารมณ์ของท่านนั่นแหละนะ” 

ซิวซิวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา 

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุย ก็พบเห็นชายคนหนึ่งที่อายุราวๆ ยี่สิบปีกำลังเดินเข้ามา 

“หืม? สหายเต๋าผู้นี้ มีเรื่องอันใดหรือ” 

กู่ฉิงซานหันไปมองหน้าอีกฝ่ายและเอ่ยถาม 

ทว่าอีกฝ่ายกลับคุกเข่าลงต่อหน้ากู่ฉิงซาน ทั้งสองตกใจจนเผลอกระโดดตัวลอย 

ทำได้เพียงรับฟังที่เขาพูด “ผู้น้อยรู้สึกหลงใหลในนิกายร้อยบุปผามาเป็นเวลาเนิ่นนาน โปรดรับผู้น้อยก้าวเข้าสู่ธรณีนิกายด้วยเถอะ...แล้วผู้น้อยจะขอบคุณอย่างสุดซึ้ง” 

กู่ฉิงซานกับซิวซิวหันมามองหน้ากัน ก่อนที่ซิวซิวจะเอ่ย “ศิษย์พี่ ..?” 

กู่ฉิงซานมองไปยังคนคนนั้นและกล่าว “หากคิดจะเข้าสู่นิกายร้อยบุปผา จงไปยังอาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์ และทำการเลือกเฟ้นรายการทดสอบร้อยบุปผา หากเจ้าสามารถผ่านมันไปได้ ท่านนักปราชญ์ก็จะเป็นคนตัดสินเองว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่นิกายหรือไม่” 

คนคนนั้นกล่าว “ผู้น้อยมิได้ต้องการร้องขอให้ท่านนักปราชญ์ยอมรับเป็นศิษย์” 

กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เช่นนั้นแล้วเจ้ามาคุกเข่าเพื่อสิ่งใด” 

ในแววตาของคนคนนั้นปรากฏประกายสว่างวาบ เขาเอ่ยเสียงดังลั่น “ได้โปรดยอมรับข้าเป็นศิษย์ของท่านด้วย!” 

กู่ฉิงซานเกือบจะกระอักเลือดออกมา 

“นี่สหายเต๋า เจ้าเห็นหรือไม่ว่าข้ายังไม่แก่เฒ่า นั่นหมายถึงว่าข้ายังไม่มีประสบการณ์และคงไม่เหมาะสมที่จะเป็นอาจารย์ใคร” เขากล่าว 

“ไม่จริง ท่านเหมาะสมแล้ว จะไม่เหมาะสมได้อย่างไร ข้าเชื่อมั่นว่าท่านมีพรสวรรค์ที่แสนจะโดดเด่นเป็นอย่างมาก ชาญฉลาดและแข็งแกร่ง และในอนาคตอันใกล้ ท่านจะต้องกลายเป็นนักปราชญ์แห่งมวลมนุษยชาติอย่างแน่นอน ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!” คนผู้นี้กล่าวออกมาอย่างแน่วแน่ 

มือใหม่ที่อยู่รอบๆ ต่างพากันหันมามอง คนผู้นี้นับว่าเด็ดเดี่ยวไม่น้อยทีเดียว 

นับว่าการกระทำเช่นนี้ก็เป็นการกระทำที่ฉลาดไม่เลว ชายผู้นี้คือใคร? เขาคือคนของนิกายร้อยบุปผา หากกลายเป็นศิษย์เขา นี่ไม่เท่ากับว่าคนที่กำลังคุกเข่าก็จะได้กลายเป็นหนึ่งในกองกำลังของนิกายร้อยบุปผาเช่นกันหรอกหรือ?

.........................................