webnovel

0112 สหายร่วมศึก

ตอนที่ 112 สหายร่วมศึก

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ปรากฏคนคนหนึ่งกำลังย่างกรายเข้ามาอย่างช้าๆ ฉากนี้ดูราวกับดวงจันทร์อันงดงามกำลังเคลื่อนผ่านหมู่ดาวเคราะห์น้อยใหญ่ 

ทุกสถานที่ที่เธอก้าวผ่านเหล่าผู้ฝึกยุทธที่ใช้อาวุธดาบก็ราวกับว่าเคยได้ทำข้อตกลงร่วมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ทั้งหมดเลือกที่จะเก็บซ่อนดาบของพวกเขาไว้ยังเบื้องหลังอย่างเงียบๆ 

เหล่าผู้ฝึกยุทธดาบเกรงว่าจะถูกทุบตี มือของพวกเขาวูบไหวอย่างว่องไว ว่องไวเป็นพิเศษจนบรรดาผู้ฝึกยุทธหญิงที่ติดตามมาด้วยพากันยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ 

ทว่าเธอก็ทำราวกับเป็นคนตาบอด ไม่ใส่ใจการกระทำเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับมันดีแล้ว 

เธอตรงมายังกู่ฉิงซานกับซิวซิว 

“เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่นับตั้งแต่ที่เข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผา?” เธอเอ่ยถาม 

กู่ฉิงซานมองไปยังเธอ 

และพบว่าหนิงเยว่ฉานกำลังส่งยิ้มมาให้ คู่ดวงตาที่แลคล้ายเม็ดอัลมอนด์เปล่งประกายสดใสราวกับสายน้ำ 

เธอเพียงแค่ยืนอยู่ที่นี่อย่างสงบ แต่ทว่ากลับทำให้จิตเทวะของเหล่าผู้ฝึกยุทธนับไม่ถ้วนเกิดความหลงใหลจนปั่นป่วน 

ในระยะไกลออกไป หลี่ฉางอันหันศีรษะมา เขาจ้องมองไปยังฉากนี้ด้วยฟันที่ขบแน่น ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ 

ณ ขณะนี้ ตัวเขาก็ไม่แตกต่างอันใดกับผู้ฝึกยุทธชายคนอื่น 

กู่ฉิงซานกล่าวตอบ “ท่านอาจารย์และศิษย์พี่ช่างดีต่อข้ายิ่ง โอ้จริงสิ ศิษย์น้องหญิงของข้าก็ดีต่อข้ามากเช่นกัน” 

เขาดึงซิวซิวออกมา และกล่าวต่อ “นี่คือศิษย์น้องหญิงของข้า เอาล่ะซิวซิว เร่งทักทายท่านนักบุญเร็วเข้า” 

ดวงตาของหนิงเยว่ฉานเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เธอสัมผัสหัวของซิวซิวและกล่าว “นักบงนักบุญอะไร คำเรียกช่างฟังดูเหินห่าง เจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวจะดีกว่านะ” 

ซิวซิวมองไปยังศิษย์พี่สาม ก่อนจะสลับมามองหนิงเยว่ฉานอีกครั้งและกล่าวอย่างเหนียมอาย “พี่สาว” 

หนิงเยว่ฉานเผยให้เห็นถึงความสุข เธอคว้าจับมือของซิวซิวและหยิบถุงใบเล็กๆ ออกมา และวางมันลงในมือของซิวซิว “นี่เป็นของขวัญในฐานะที่ได้พบเจอกันครั้งแรก น้องสาวจงใช้มันให้ดี” 

“ถุงอสูรวิญญาณ? มีอสูรใดอยู่ภายในกัน?” กู่ฉิงซานถาม 

หนิงเยว่ฉาน “กระเรียนขาวคอแดง” 

ซิวซิวร้องอุทานออกมา ก่อนจะถลาเข้ากอดหนิงเยว่ฉาน “ขอบคุณพี่สาว!” 

เธอมิใช่คนที่จะสามารถเก็บกักอารมณ์ความรู้สึกได้ และมักจะเผยความรู้สึกจริงๆ ออกมาเสมอ ทว่านั่นกลับกลายเป็นสิ่งที่หนิงเยว่ฉานชมชอบไปเสียนี่ 

หนิงเยว่ฉานอดไม่ได้ที่จะหยิบถุงสัมภาระใบเล็กๆ ออกมาและวางลงในมือของซิวซิวอีกครั้ง  

“สิ่งนี้ข้าทำขึ้นมาเอง หวังว่าเจ้าจะใช้มันและรักษาอย่างดี” เธอกล่าว 

“มันช่างงดงามนัก” ซิวซิวยกถุงสัมภาระในมือขึ้นมาจ้องมองอย่างใกล้ชิด กลิ่นละมุนของมันโชยแตะเข้าไปในจมูก เธอยิ้มด้วยความดีใจและกล่าว “กลิ่นของมันหอมหวนยิ่ง” 

หนิงเยว่ฉานจับมือซิวซิวเบนตัวไปด้านข้าง เผยให้เห็นถึงผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งห้าที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ก่อนจะกล่าวแนะนำพวกเธอแก่กู่ฉิงซาน 

“หลิวฉิงหยาน หวังหนิงเซี่ยง ดงซู จ้าวต๋าน และสุดท้ายซางฉุ่ยเหวย นี่คือเหล่าศิษย์น้องของข้า 

เหล่าศิษย์น้องหญิง เดินตรงเข้ามา และคารวะทักทายอย่างพร้อมเพรียงไปยังกู่ฉิงซาน 

“ยินดีที่ได้พบศิษย์พี่” 

เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงมองไปยังกู่ฉิงซานด้วยแววตาที่เปล่งประกาย 

นักบุญหญิงมิเคยเป็นผู้ริเริ่มพูดคุยกับผู้ฝึกยุทธชายด้วยตนเองดังเช่นในครั้งนี้มาก่อน ไม่เพียงเท่านั้น นางยังพาเขามาแนะนำกับคนอื่นๆ อีกด้วย 

สิทธิพิเศษนี้ ปัจจุบันเคยปรากฏขึ้นกับชายเบื้องหน้าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น 

เขามีดีตรงไหนกันนะ?

เอ่ยถามออกไปโต้งๆ คงไม่ดี คอยจับตาดูเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน 

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็คิดเห็นเช่นนั้น 

กู่ฉิงซานยิ้ม หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือและกล่าว “ยินดีที่ได้พบกับเหล่าศิษย์น้องหญิง ผู้น้อยเรียกว่ากู่ฉิงซาน เป็นศิษย์อันดับสามแห่งนิกายร้อยบุปผา” 

บรรดาผู้ฝึกยุทธหญิงได้ฟังก็แอบพยักหน้าอย่างลับๆ 

ผู้ฝึกยุทธจากนิกายร้อยบุปผา กับนักบุญหญิงจากนิกายของพวกเรา กล่าวได้ว่ามีค่าคู่ควร 

กู่ฉิงซานขบคิดเล็กน้อยและกล่าว “ขอเรียนถามศิษย์น้องหญิงทั้งหลาย ถึงรากวิญญาณของพวกเจ้าจะได้หรือไม่” 

แม้ว่าบรรดาผู้ฝึกยุทธหญิงจะแปลกใจ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติในทุกๆ วัน และพวกนางก็ให้คำตอบแก่เขาในทันที 

กู่ฉิงซานได้ฟัง ก็ล้วงลงไปในถุงสัมภาระ และหยิบแผ่นหยกห้าแผ่นออกมา 

หนิงเยว่ฉานกล่าวด้วยความสงสัย “นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?” 

กู่ฉิงซาน “ศิษย์น้องของข้าได้รับของขวัญจากเจ้าในฐานะที่ได้พบกันครั้งแรก ดังนั้นข้าในฐานะศิษย์พี่ก็สมควรจะต้องกระทำเฉกเช่นเดียวกันกับศิษย์น้องของเจ้า” 

หนิงเยว่ฉานยิ้มและกล่าว “แล้วสิ่งใดกันที่เจ้าจะมอบมันให้แก่พวกนาง?” 

กู่ฉิงซาน “ศาสตร์ลับของธาตุทั้งห้า” 

เมื่อคำเหล่านี้หลุดออกมา ผู้ฝึกยุทธที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างหูกระดิก ทว่าพวกเขาก็เลือกที่จะเฝ้าดูอย่างเงียบๆ 

ศาสตร์ลับของธาตุทั้งห้า นั่นนับได้ว่าเป็นเทคนิคมนตราที่เป็นมรดกสืบทอดต่อๆ กันมาในนิกาย มิใช่สิ่งที่จะส่งผ่านกันได้ง่ายๆ! 

แม้กระทั่งในห้องประมูล หากคิดจะครอบครองมัน อาจต้องจ่ายออกหลายร้อยหลายพันล้านศิลาวิญญาณ! 

แล้วเขาจะมอบของขวัญระดับนั้นให้จริงๆ น่ะหรือ 

มอบมันให้ในฐานะที่ได้พบกันครั้งแรก? 

นิกายร้อยบุปผา...โถ่ให้ตายเถอะ! เมื่อครู่ก็ขี่นักปราชญ์ คราวนี้ก็แจกจ่ายศาสตร์ลับ นี่มันนิกายพิสดารอันใดกันนี่!?

ไกลห่างออกไป อาวุโสใหญ่แห่งนิกายเทียนจีแม้แท้จริงแล้วจะดูปิดปากเงียบมาโดยตลอด แต่ตอนนี้มุมปากของเขากำลังขยุกขยิก ห้วงอารมณ์แปรเปลี่ยนเป็นสุขสันต์อย่างมิอาจกล่าวบรรยายได้ 

อาวุโสใหญ่จากนิกายอื่นๆ ต่างหันมาสบสายตากัน และถอนหายใจอย่างลับๆ 

อีกฝ่ายนั้นคือใคร? นิกายของพวกเขามิได้มีหญิงงามดั่งเช่นหนิงเยว่ฉาน ฉะนั้นการได้รับของขวัญเลอค่าเช่นนี้ย่อมมิมีทางเป็นไปได้ 

เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงสั่นสะท้าน เมื่อได้รับแผ่นหยกมา พวกนางก็กรีดร้องด้วยความตื่นเต้น 

“นี่มันเลอค่าเกินไป เจ้ากำลังทำให้คนอื่นๆ กลายเป็นบ้านะ” หนิงเยว่ฉานคร่ำครวญ 

“ที่ไหนมีศาสตร์ลับ ที่นั่นย่อมทำให้ทุกผู้คนมีความสุข” กู่ฉิงซานกล่าว 

“ขอบพระคุณศิษย์พี่!” ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งโค้งคารวะอย่างพร้อมเพรียง 

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพ คนฝั่งเจ้าก็เหมือนกับคนฝั่งข้า” กู่ฉิงซานกล่าว 

คนฝั่งเจ้าก็เหมือนกับคนฝั่งข้า? เมื่อได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าของหนิงเยว่ฉานก็เริ่มปรากฏริ้วแดงเล็กน้อย ทว่าทันใดนั้นสายตาของเธอก็กวาดไปยังดาบพิภพจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังฝึกฝนดาบอยู่สินะ?” 

เมื่อคำเหล่านี้หลุดออกมา เหล่าผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่กำลังหดหู่ในความไร้ทุนทรัพย์ก็พลันบังเกิดความสุขสมขึ้นในทันที 

ทุบตีมัน! ตีมัน!ๆ

เจ้าเด็กเหลือขอนี่ สมควรจะได้รับบทเรียนจากการกระทำอันใจป้ำของมันเมื่อครู่ ใครใช้ให้เจ้าโอ้อวดกัน นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับ! ว่าแต่เหตุใดข้าจึงมิมีศาสตร์ลับไว้ใช้เกี้ยวสตรีบ้าง! 

หากนักบุญหญิงเริ่มลงมือทุบตีเจ้าเด็กนี่อย่างหนักเช่นเดียวกันกับที่ผู้ฝึกยุทธดาบคนอื่นๆ เคยโดน ทุบตีจนมันต้องคุกเข่าและร้องขอความเมตตา ณ ที่แห่งนี้จะเป็นการดีที่สุด! 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานหนักอึ้ง แค่คิดว่าต้องเผชิญหน้าคมกระบี่ที่กำลังจ่อคอหอย สุดท้ายจึงเอ่ยออกไปตามตรง 

“ไม่มีทางเลือกอื่น สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ค่อนข้างวิกฤต ข้าจำต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย หากวิถีดาบจะช่วยให้ข้าแกร่งรวดเร็วขึ้นยิ่งกว่าแต่เก่าก่อน ข้าก็ยินดีที่จะฝึกฝนมัน” 

“หากไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง ในอนาคตอันใกล้จะออกไปบุกตะลุยสะบั้นศีรษะอสูร ล่าสังหารเผ่ามารได้อย่างไร มันจะกลับกลายเป็นอีกฝ่ายที่ทำเช่นนั้นเสียมากกว่า” 

“ดังนั้นข้าจึงต้องแข็งแกร่งขึ้น นี่คือเรื่องจริงที่ไม่มีทางเลือก” 

หนิงเยว่ฉานรับฟัง แต่ไม่ได้เอ่ยอันใด บนใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของเธอค่อยหม่นลงทีละน้อย 

ซิวซิวพบว่าบรรยากาศมันเริ่มจะไม่ถูกต้องจึงเอ่ยขัด “พี่สาว ท่านอาจารย์ได้ตั้งข้อกำหนดอันเข้มงวดมากสำหรับศิษย์พี่สาม คืนก่อนท่านเอ่ยปากว่าจะสอนสั่งวิถีดาบให้แก่ศิษย์พี่ และฝึกฝนกันจนดึกดื่น” 

สีหน้าของหนิงเยว่ฉานเปลี่ยนไปทันที 

ซิวซิวมีอายุแค่เพียงแปดปีเท่านั้น วาจาของเด็กน้อยที่อายุเพียงเท่านี้ย่อมไม่มีทางที่จะโกหก 

ประเด็นสำคัญก็คือ นักปราชญ์ถึงกับมาสอนสั่งและช่วยฝึกฝนดาบให้เขาเป็นการส่วนตัว การกระทำเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง! 

ในโลกใบนี้ต่างรับรู้กันว่าสายตาของนางเซียนไป่ฮั่วนั้นแหลมคมอยู่ในอันดับต้นๆ  บ่อยครั้งที่นางขี้เกียจเกินไปจะเผชิญหน้ากับศัตรูและปล่อยให้ผู้อื่นเป็นคนลงมือแทนโดยให้เหตุผลว่ากลัวมือของตนเองจะสกปรก 

ทว่านางเซียนไป่ฮั่วที่มีสายตาอันหลักแหลม กลับเลือกที่จะมาช่วยสอนสั่งและฝึกปรือเพลงดาบให้แก่เขาเป็นการส่วนตัว จนกระทั่งเวลาร่วงโรยถึงค่ำคืน 

จะมีสักกี่คนกันเชียวในโลกใบนี้ ที่ได้รับการสอนสั่งโดนตรงจากนักปราชญ์? 

เมื่อหนิงเยว่ฉานคิดถึงจุดนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความอิจฉา 

หากแม้กระทั่งหนิงเยว่ฉานยังคิดเช่นนั้น คงไม่ต้องกล่าวถึงความริษยาและเกลียดชังในจิตใจของผู้อื่นที่ได้รับฟังในตอนนี้ 

เมื่ออาวุโสใหญ่แห่งนิกายเทียนจีได้รับฟัง เขาที่ไม่ขยับเขยื้อนมาโดยตลอดก็ถึงกับหันหน้ามามองตรงไปยังกู่ฉิงซานเป็นครั้งแรก 

หนิงเยว่ฉานคิดเกี่ยวกับมันอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างยากลำบาก “ท่านนักปราชญ์...ได้บีบบังคับเจ้าให้เข้าสู่วิถีแห่งผู้ฝึกดาบใช่หรือไม่?” 

กู่ฉิงซานราวกับได้รับพรจากฟ้า เขาชะงักงันไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว และแสร้งทำสีหน้าบอกไม่ถูกพลางเอ่ย “เดิมทีข้าปรารถนาที่จะฝึกปรือเป็นผู้ใช้กระบี่ ทว่าท่านอาจารย์กลับบังคับข้าให้ฝึกฝนดาบ เมื่อท่านขอ ข้าก็ไม่สมควรขัด กล่าวได้ว่าจนกระทั่งบัดนี้ข้ายังไม่มีโอกาสที่จะได้จับกระบี่เลย” 

หนิงเยว่ฉานเมื่อคิดถึงคำกล่าวของซิวซิวเธอก็เอ่ยพึมพำ “ที่แท้เขาก็ไม่คิดฝึกฝนดาบอย่างแท้จริง แต่เป็นเพราะวิสัยทัศน์ของท่านนักปราชญ์...” 

เธอส่ายหัว และมองกู่ฉิงซานด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ “โถ่ แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ เจ้าคงทรมานมากเลยสินะ” 

‘บัดซบ! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?’ เหล่าผู้ฝึกยุทธชายในฉากต่างร่ำไห้และร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในจิตใจ 

นักบุญหญิง เขาโกหก ท่านกำลังหลงกลมันอยู่นะ! 

ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ซิวซิวก็ดึงชายเสื้อหนิงเยว่ฉานและกล่าวอย่างมีความสุข “มิใช่เช่นนั้นนะพี่สาว ท่านอาจารย์บอกข้าว่าให้เก็บเป็นความลับ ว่าท่านเคยกล่าวว่าหากศิษย์พี่สามฝึกฝนเพลงดาบ เขาจะต้องมีอนาคตอันสดใส” 

พรวด! 

เจอดอกนี้เข้าไปนางคงจบสิ้นแล้ว! 

หนิงเยว่ฉานเมื่อได้ยินประโยคนี้ หัวใจที่ยังคงลังเลในที่สุดก็คลายลง 

เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีอนาคตอันสดใส? ดีมาก ข้าแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะให้เจ้าก้าวขึ้นไปถึงจุดนั้น” 

“ใช่ขนาดนั้นซะที่ไหน ซิวซิวเจ้ากล่าวเกินจริงไปแล้วนะ” กู่ฉิงซานโบกมือพลางกล่าว 

มองไปยังรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนิงเยว่ฉาน กู่ฉิงซานก็ผ่อนคลายลงในที่สุด และเกิดความกระจ่างชัดบางอย่างขึ้นในจิตใจ 

ในช่วงเวลาวิกฤตแห่งความเป็นความตาย การมีสหายร่วมศึกคอยช่วยเหลือนับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่ง 

“ซิวซิว ยืนอยู่เฉยๆ คงเหนื่อยสินะ มาให้ศิษย์พี่อุ้มเจ้าหน่อยเร็ว” 

........................................