webnovel

0037 เปิดม่าน

ตอนที่ 37 เปิดม่าน

“ฉันจะใช้มัน”

กู่ฉิงซานกล่าว เขาจับจ้องธนูยาวในมืออย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าหลังจากลองลูบไล้ไปตามคันธนูเขาก็พบกับคำสองตัวอักษรเล็กๆ ซึ่งเป็นชื่อของมัน ‘เย่หยู…พิรุณยามค่ำ’

กู่ฉิงซายรวบรวมพลังวิญญาณในตันเถียนและถ่ายเทมันลงไปยังเย่หยู

คันธนูจู่ๆ ก็พร่ามัวและหายไปจากสายตาของกู่ฉิงซาน

ทว่ากู่ฉิงซานก็ยังสามารถรู้สึกได้ว่ามือของเขายังคงถือธนูยาวอยู่ เพียงแต่ไม่อาจมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่า แม้กระทั่งจิตสัมผัสเทวะก็ยังไม่อาจตรวจจับ

แต่กระบวนการของมันยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ไม่นาน กลิ่นอายรอบตัวของกู่ฉิงซานก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมตั้งแต่ต้น แต่ดูเหมือนกับว่าทั้งร่างของเขาจะถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ และหากไม่ได้เห็นตัวเขากับตาก็จะไม่อาจรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขาได้เลย

“ธนูที่ดี!” กู่ฉิงซานกล่าวสรรเสริญ

ในเวลานี้รามสูรไร้พักตร์ใกล้เข้ามาแล้ว แถมในป่าที่ห่างไกลออกไปก็ปรากฏปีศาจนาคาเพลิงลักซ่อน และมารกระหายเลือดที่นั่งอยู่บนหลังของมันกำลังเลื้อยตรงมาอย่างรวดเร็ว

หนิงเยว่ฉานชักกระบี่ยาวที่เปล่งประกายราวหิมะออกมา สายตาจับจ้องไปยังรามสูรไร้พักตร์ “ในเมื่อค่ายกลธาตุทั้งห้าไม่อาจมีผลต่อมัน ถ้าอย่างนั้นก็ให้ฉันจัดการเอง”

กงซุนซีพยักหน้าและกล่าว “ฉันจะไม่โจมตีมัน แต่เผ่ามารตัวอื่นๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”

“อ้อใช่สิ ฝากคุณช่วยปกป้องเขาด้วยล่ะ” หนิงเยว่ฉานวาดกระบี่ยาวลงไปเบื้องล่าง ก่อนจะพุ่งออกไปและไม่หันกลับมาอีกเลย

กงซุนซีจ้องมองกู่ฉิงซานด้วยรอยยิ้ม เขาเชิดหน้าขึ้นพลางกล่าว “นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว”

หนิงเยว่ฉานใช้กระบี่? จิตใต้สำนึกทำให้กู่ฉิงซานหันมองไปยังกระบี่ยาวโดยไม่รู้ตัว

จากที่มองเห็น มันเป็นกระบี่ที่มีความยาวมากกว่ากระบี่ธรรมดาเพียงสองชุ่น ใบมีดแคบและยาวเป็นเส้นตรงตั้งแต่ด้ามจับไปจนถึงปลายแหลม

นี่เป็นกระบี่สำหรับผู้ฝึกยุทธหญิง มันเรียวบางกว่า และดูคล่องแคล่วกว่า หากเทียบกับดาบที่ผู้ฝึกยุทธชายใช้

“เฟิงหมังฉานหยิง! วาตะพร่างพราว”

“เฟิงหมิงฉีเก่อ! สะบั้นครวญ”

หนิงเยว่ฉานตะโกนเสียงแผ่ว

กระบี่ในมือเธอพลันปะทุออกด้วยชั้นหมอกสีฟ้า ก่อนที่มันจะห่อหุ้มทั่วทั้งตัวกระบี่

บริเวณโดยรอบเปล่งประกายแสงสีฟ้า เส้นแสงสีทองบางเบาปรากฏขึ้นในอากาศก่อนจะสลายหายไปและสลับไปมาเช่นนี้เรื่อยๆ

พร้อมกับส่งเสียงหึ่งๆ ออกมาเป็นครั้งคราว

ขณะนี้ ทั่วทั้งร่างของเธอฟุ้งไปด้วยจิตสังหาร กระบี่ยาวสะท้อนประกายเย็นเยียบ

กู่ฉิงซานมองฉากนี้ด้วยความตกใจ

ทวิธาตุจากธาตุทั้งห้า! ใช้ได้สองธาตุ

แถมยังเป็นธาตุอันแสนหายากอย่างลมและทอง!

ธาตจำเพาะพลังวิญญาณลม ในขอบเขตระดับสูงจะถูกแบ่งออกจากต่ำไปสูง ดังนี้ “รวดเร็วต่อเนื่อง” “ผสานว่องไว” “วาตะพร่างพราว” “ไต้ฝุ่นปั่นปวน” “วาโยล้างโลก” ฯลฯ

หนิงเยว่ฉานกลับสามารถปลดผนึกธาตุลมและพัฒนาจนไปถึงขั้นสาม หากดูตามอายุของเธอแล้ว นี่นับว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก

มีเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นสูงระดับก่อกำเนิดไม่กี่คนเท่านั้นที่ปลดผนึกพลังวิญญาณลมได้ และบางทีนั่นอาจจำเป็นที่ต้องใช้เวลาถึงชั่วชีวิตของพวกเขา

นี่ยังไม่นับธาตุทองของหนิงเยว่ฉานที่ยังสามารถปลดผนึกไปจนถึงขั้นสาม “สะบั้นครวญ” ได้อีกด้วย

น้อยคนนักที่จะสามารถปลดผนึกแบบทวิธาตุในเวลาเดียวกันได้ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถปลดผนึกมันได้ก็ตาม แต่ก็คงทำได้เพียงมุ่งพัฒนาไปในทางธาตุใดธาตุหนึ่งเท่านั้น เนื่องเพราะมันเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งที่จะบรรลุแจ้งในทั้งสองธาตุอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้เวลาใช้มันออกมาพร้อมกันยังกลืนกินพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอีกด้วย

หนิงเยว่ฉานทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน จากที่มองดูปราณของเธอยังคงสงบ และดูเหมือนพลังงานจะไม่สูญเสียออกไปมากเกินไป

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจอย่างลับๆ

ผู้หญิงคนนี้มันปีศาจชัดๆ เธอครอบครองสุดยอดพรสวรรค์อันไม่ธรรมดา ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้คนทั่วโลกต่างกล่าวยกย่องว่าหากเธอยังคงมีชีวิตอยู่ ขอแค่เพียงไม่กี่ปี ก็จะมีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับราชันมารได้

ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวในโลกนี้ก็คือ เทคนิคลับของอาวุธกระบี่ในโลกใบนี้มีไม่ค่อยมากนัก นั่นจึงทำให้ความสำเร็จของผู้ฝึกกระบี่ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร

แทนที่จะใช้กระบี่ มันควรจะดีกว่าถ้าเธอไปใช้อาวุธชนิดอื่น อย่างเช่นดาบ

หนิงเยว่ฉานยกกระบี่ยาวขึ้น สายตาจับจ้องไปยังรามสูรไร้พักตร์ที่กำลังใกล้เข้ามา แรงกดดันที่แผ่ออกจากร่างเธอยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สายตาของกู่ฉิงซานตกลงบนกระบี่ยาว เขาอดไม่ได้จริงๆ ที่จะถามออกไป “ทำไมคุณถึงเลือกกระบี่เป็นอาวุธประจำตัว”

“อาวุธพวกหอกหรือทวนน่ะมันยาวเกินไปเวลาใช้ก็ดูงุ่มง่าม ส่วนดาบรูปทรงมันก็โค้งงอเป็นเสี้ยวดูเจ้าเล่ห์จะตาย กระบี่นี่สิถึงจะเหมาะสมที่จะใช้ตัดสินเป็นตาย รูปทรงของมันเที่ยงตรงเสมอต้นเสมอปลาย” หนิงเยว่ฉานตอบกลับอย่างจริงจัง

“เรื่องหอกและทวนมันดูงุ่มง่ามน่ะฉันเข้าใจ แต่ดาบเล่า ทำไมมันถึงดูเจ้าเล่ห์?” กู่ฉิงซานสงสัย

หนิงเยว่ฉานหันไปมองเขาและกล่าว “ จากนี้ไปคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ดาบต่อหน้าฉัน”

กล่าวจบ เธอก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมทั้งประกายแสงสีฟ้าสาดลึกไปทั่วทั้งบริเวณ

ตามมาด้วยเสียงคำรามที่สามารถสั่นสะเทือนได้ทั้งโลกของรามสูรไร้พักตร์ดังออกมาจากชั้นเมฆ

“ไม่ต้องเก็บมาคิดมากหรอก” กงซุนซีตบบ่ากู่ฉิงซาน “ครั้งหนึ่งเธอเคยใช้ดาบมาก่อนน่ะ”

“แล้วทำไมเธอถึงเปลี่ยนมาใช้กระบี่ล่ะ?”

“มีศิษย์พี่คนหนึ่งใกล้ชิดสนิทสนมกับเธอมาก เขาเป็นผู้ฝึกดาบ ทุกๆ วันเขาจะมาฝึกฝนดาบกับเธอ และแนะนำเทคนิคดาบต่างๆ ทว่าวันหนึ่งเขากลับทรยศเธอ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็เกลียดดาบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกดาบจะยิ่งเกลียดเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ว่าเห็นแล้วจะต้องออกไปทุบตีเลยทีเดียว”

กู่ฉิงซานกล่าว “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมไม่มีถึงไม่มีใครออกมาจัดการเธอ?”

กงซุนซีฝืนยิ้ม “พวกเราไม่เพียงเป็นผู้อาวุโส แต่ยังต้องตัดสินอย่างเป็นธรรมอีกด้วย แต่เธอคนนั้นคือใคร? เธอคือหนิงเยว่ฉาน เวลาอยู่ต่อหน้าเธอ พวกผู้ฝึกดาบน่ะมักจะชอบทำตัวสะดุดตา อยู่ไม่นิ่ง อยากขยับไม้ขยับมือ มันเลยช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะถูกทุบตีจนพ่ายแพ้”

“แค่เห็นก็ออกไปทุบตี…แล้วมีกี่คนกันนี่ที่ตายลงด้วยน้ำมือของเธอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเกิดการปะทะ และอีกฝ่ายคุกเข่าร้องขอความเมตตา เธอก็จะหยุดไปเอง”

กู่ฉิงซานนึกภาพว่าเขาต้องคุกเข่าขอความเมตตาต่อหน้าหนิงเยว่ฉาน และรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว

มองไปยังท่าทีสยองขวัญของกู่ฉิงซาน กงซุนซีก็กล่าวปลอบใจ “ไม่ต้องหวาดกลัวไป คุณไม่ใช่ผู้ฝึกดาบนี่นา เรื่องแบบนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นหรอก”

ไม่…ฉันนี่แหละผู้ฝึกดาบ ตัวพ่อเลยด้วย กู่ฉิงซานคร่ำครวญอยู่ในจิตใจ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาถูกส่งมาจุติใหม่ และยังไม่อาจสัมผัสได้แม้กระทั่งร่องรอยของดาบ ทำให้อย่างน้อยในเวลานี้ เขาก็ไม่ควรจะทำอะไรให้หญิงสาวผู้น่าหวาดหวั่นคนนี้รู้สึกผิดใจเด็ดขาด

ฉันเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอไว้นะเฮ้ย ฉันจะไม่ยอมคุกเข่าร้องขอความเมตตาแน่ๆ

อันที่จริงแบบนี้ก็ไม่แย่สักเท่าไหร่ ฉันก็แค่ไปซ่อนตัวให้ไกล รอให้ฟื้นฟูความแข็งแกร่งของวิถีดาบกลับมาให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยมาว่าเรื่องนี้กันอีกครั้ง

กู่ฉิงซานคิดถึงจุดนี้ ฉับพลันนั้นก็เกิดเสียงคำรามลั่นจากบนท้องฟ้า

ปัง!

เงาดำร่วงตกลงมาจากชั้นเมฆ และกระแทกกับพื้นอย่างแรง

“เฮ้ เป็นอะไรรึเปล่า” กู่ฉิงซานรีบวิ่งไปถามอย่างกังวล

หนิงเยว่ฉานลุกขึ้น และกล่าวอย่างสงบ “ฉันไม่เป็นไร อย่ามาขวางทาง ห่วงตัวเองเถอะ รีบไปซ่อนตัวซะ”

วินาทีต่อมา

ประกายกระบี่ก็ห่อหุ้มรอบตัวหนิงเยว่ฉาน เสื้อคลุมสีหิมะของเธอสะบัดไปตามสายลม

เกราะทองที่เธอสวมใส่ส่งเสียงคำรามลั่น ก่อนที่เจ้าของร่างจะทะยานขึ้นจากพื้นดิน พยายามที่จะพุ่งตรงขึ้นไปต่อสู้เหนือชั้นเมฆ

“เจ้าปีศาจ จงตายอย่างทุกข์ทรมานเสีย!”

ท่ามกลางชั้นเมฆ ปรากฏเสียงของเธอดังก้องลงมาจากฟากฟ้า

ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันแสนเจ็บ สะท้านออกมาจากส่วนลึกของชั้นเมฆ

มันคือเสียงครวญด้วยความทรมานของรามสูรไร้พักตร์!

เพียงแค่ฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับมาได้ไม่นาน หนิงเยว่ฉานกลับสามารถเผชิญหน้ากับรามสูรไร้พักตร์ได้!

นี่มันจะเกินไปหน่อยแล้วนะ

สักพัก เสียงครวญก็เงียบลง และการต่อสู้อันน่าตื่นตะลึงบนท้องฟ้าก็ยังคงดำเนินต่อไป

กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาบ่นงึมงำ “ดูเหมือนว่ามันจะสงบลงแล้ว ก็นั่นแหละนะ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ใช้กระบี่แต่กลับคิดจะเอาชนะรามสูรไร้พักตร์ หมดหวังแล้ว”

“หมดหวังปู่แกสิ!”

เสียงที่ฟังดูโกรธขึงดังสะท้อนเข้ามาถึงในจิตใจของเขา

นั่นคือเสียงของหนิงเยว่ฉาน

กู่ฉิงซานสะดุ้ง และเหลือบมองด้วยความสำนึกเสียใจเล็กน้อย

เขาเงยหน้าขึ้นไป แม้ชั้นเมฆหนาจะบดบังวิสัยทัศน์ของเขา แต่เขากลับสามารถรู้สึกได้ว่าหนิงเยว่ฉานกำลังสาดสายตามองมาที่เขาจากในส่วนลึก

บ้าจริง ฉันลืมไปเสียสนิทเลย ว่าเธอสามารถต้านทานรามสูรไร้พักตร์ได้โดยตรง พื้นฐานวรยุทธของเธอต้องอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นกลางเป็นอย่างน้อย หรือไม่ก็สูงยิ่งกว่า

ด้วยพื้นฐานวรยุทธอันลึกซึ้งถึงขั้นนั้น แน่นอนว่าขอบเขตของจิตสัมผัสเทวะจะต้องกว้างขวางมาก เธอจึงได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาได้อย่างชัดเจน

กู่ฉิงซานเลือกที่จะหุบปากลงอย่างชาญฉลาด

เวลานี้ หนิงเยว่ฉานไม่ได้ทนทุกข์ทรมานจากพิษร้ายอีกต่อไป ร่างกายของเธอกำลังค่อยๆ ฟื้นฟู สันนิษฐานว่าชะตากรรมของเธอ คงต้องแตกต่างไปจากประวัติศาสตร์เดิมเสียแล้ว

ระหว่างที่คิด จู่ๆ บริเวณป่าเบื้องหน้าเขา ก็ปรากฏร่างของจ่าฝูงมารกระหายเลือดขึ้น

เบื้องล่างของมัน คือมอนสเตอร์สามารถปลดผนึกธาตุไฟได้ตั้งแต่แรกเกิด ปีศาจนาคาเพลิงลักซ่อน!

กองทัพเผ่ามารไล่ตามมาทันแล้ว!

พวกมันปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้สรรพเสียง เลื่อยครืดๆ อย่างรวดเร็ว มุ่งตรงมายังกู่ฉิงซานและกงซุนซีเพื่อหมายจะโจมตี

การปิดล้อมที่ผู้คนมักจะกล่าวขานกันในประวัติศาสตร์ ได้เปิดม่านขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในเวลานี้

กงซุนซีสวมใส่หน้ากากน้ำแข็ง มือล้วงเข้าไปในถุงสัมภาระ ก่อนจะหยิบดิสก์ค่ายกลขึ้นมา

“ถึงตาแก่ผู้นี้จะฆ่ารามสูรไร้พักตร์ไม่ได้ แต่การจะทำให้พวกแกกลายเป็นศพน่ะไม่นับว่าเป็นปัญหา”

กู่ฉิงซานก็เริ่มลงมือเช่นกัน ทว่าขณะที่กำลังจะยกคันธนูขึ้น จู่ๆ ร่างของเขาก็พลันแข็งทื่อ ทั้งร่างหยุดนิ่ง ไม่อาจขยับเขยื้อนใดๆ ได้

กระแสข้อมูลนับไม่ถ้วนราวธารน้ำ หลั่งไหลข้ามสู่สายตาของเขา พร้อมกับน้ำเสียงของระบบอันแสนเย็นชาประกาศออกมา

“ตรวจพบว่าผู้เล่นได้สร้างเรื่องราวประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่เป็นพิเศษ”

“สถานการณ์ในปัจจุบัน สอดคล้องกับเงื่อนไขในการเริ่มภารกิจ”

“เริ่มภารกิจ : สงครามแห่งโชคชะตา”

........................................