ตอนที่ 36 ของขวัญตอบแทน
ครึ่งชั่วโมงได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
หนิงเยว่ฉานค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เธอได้ยินเสียงของกงซุนซี
กงซุนซีกล่าว “ทันทีที่พวกเรากลับออกมาจากโลกที่ถูกทำลายล้าง พวกเราก็ส่งยันต์สื่อสารออกไปขอความช่วยเหลือทันที”
กู่ฉิงซานกล่าว “น่าแปลกจริงๆ ฉันอยู่ในค่ายทหารมาหลายวัน แต่กลับไม่พบเจอกับกองทัพของมนุษยชาติผ่านมาเลย”
กงซุนซีถอนหายใจ “มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรหรอก ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าในช่วงเวลาที่พวกเราออกมา ดันบังเอิญไปเจอกับสายลับคนทรยศที่เป็นคนระดับสูงของมนุษยชาติเข้าน่ะสิ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างฉับพลัน
มิน่าเล่า สองตัวตนระดับตำนานจึงถูกพวกกองทัพมารรุมล้อมโจมตี แต่กลับไม่มีกองกำลังมนุษยชาติเข้ามาช่วยเหลือเลย
น่ากลัวว่ายันต์สื่อสารของพวกเขาจะถูกขัดขวางไว้โดยสายลับคนทรยศ ดังนั้นจึงไม่มีใครล่วงรู้ถึงสถานการณ์ของทั้งสอง
อาจเป็นไปได้ว่ากองทัพมนุษยชาติกำลังถูกชักใยตามคำสั่งของคนทรยศเพื่อนอำนวยความสะดวกให้แก่กองทัพมาร
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ก็กล่าวได้ว่าพวกเขาทั้งสามคนได้ตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เสียแล้ว
กงซุนซีมองไปยังกู่ฉิงซาน ก่อนที่จู่ๆ ก็กล่าวออกมา “สหายน้อยผู้นี้ ไม่ทราบว่าได้เข้าร่วมกับนิกายใดแล้วหรือยัง?”
กู่ฉิงซาน “ยังหรอก แต่ถ้าสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้ ก็คงจะไปเข้าร่วมกับนิกายซานฉิว ดูเหมือนว่าจะมีการจัดให้เข้าร่วมการทดสอบประจำปีในช่วงต้นปีหน้า”
กงซุนซี “เมื่อถึงเวลาทดสอบประจำปี ขอให้คุณไปยังนิกายเฉิงเต๋าโดยตรง แล้วเอ่ยชื่อของฉัน”
หนิงเยว่ฉานหันขวับไปยังอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ
เด็กคนนี้พอจะมีฝีมือและความสามารถอยู่ก็จริง แต่ไม่คาดคิดเลยว่ากงซุนซีจะออกปากเชิญชวนด้วยตนเอง
และในเวลานั้น ทั้งสองก็สังเกตเห็นว่าหนิงเยว่ฉานฟื้นจากห้วงภวังค์แล้ว จึงหันไปมองเธอด้วยใบหน้าเชิงคำถาม
เพียงแค่เห็นสีหน้าของทั้งสอง หนิงเยว่ฉานก็เอ่ยตอบทันที “พิษได้ถูกลบออกไปแล้ว ส่วนอาการบาดเจ็บกำลังฟื้นตัว”
กงซุนซีเอ่ยด้วยความยินดี “ยอดเยี่ยม!”
ตราบใดที่ไม่มีปัญหาเรื่องพิษตกค้าง ด้วยพื้นฐานวรยุทธของหนิงเยว่ฉาน หนุนเสริมด้วยประสิทธิภาพของถุงน้ำดีงู เธอก็จะสามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์ได้อย่างรวดเร็ว
หนิงเยว่ฉานยืนขึ้นอย่างสงบ ตรงไปยังกู่ฉิงซานและกล่าวด้วยความนอบน้อม “ขอบพระคุณผู้ช่วยชีวิต!”
ในสถานการณ์ที่วิกฤติเช่นนี้ การที่สามารถขับสารพิษและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทางกายภาพได้แม้จะอย่างช้าๆ มันก็ไม่แตกต่างจากการได้ชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
กู่ฉิงซานโบกมือและกล่าว “เรื่องขอบคุณเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้พวกเราต้องรีบออกไปทันที”
“พวกเราควรพิจารณาเรื่องการใช้เรือเหาะดีหรือไม่?” กงซุนซีแนะนำ
“ไม่” หนิงเยว่ฉานกล่าว “หากเรือเหาะทะยานขึ้น กองทัพมารทั้งหมดจะสามารถมองเห็นพวกเราได้อย่างชัดเจนและมันจะสามารถคาดเดาทิศทางที่พวกเรามุ่งหน้าไปได้ ถึงตอนนั้นการเดินทางของพวกเราจะลำบากมากขึ้น”
กู่ฉิงซานเอ่ยแทรก “อาวุโสกงซุน คุณไม่เพียงเป็นหัวหน้านายพล แต่ยังเป็นถึงปรมาจารย์ค่ายกลของมนุษยชาติอีกด้วย โปรดช่วยลองคิดดูดีๆ หน่อยจะได้ไหม ว่าทำไมยันต์สื่อสารถึงใช้งานไม่ได้ผล มันอาจจะเกี่ยวข้องกับสถานที่ก็ได้ หากเราเจอต้นตอของปัญหาก็อาจจะสามารถแก้ไขและใช้งานยันต์สื่อสารได้ก็ได้”
กงซุนซีหันไปมองหนิงเยว่ฉาน ก่อนจะกล่าวอย่างลังเลว่า “พวกเรายังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น แต่แน่นอนว่าพวกเรายังพอมียันต์สื่อสารหลงเหลืออยู่ ทว่าไม่อาจใช้มันอย่างพร่ำเพรื่อได้ ท่านนักบุญหญิงเล่าคิดเห็นเช่นไร?
หนิงเยว่ฉานกำลังจะเอ่ยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทว่าในตอนนั้นเอง ทุกสิ่งอย่างก็พลันสั่นไหว
กงซุนซีเหวี่ยงแขนอย่างแรงจนแขนเสื้อคลุมหลวมโครกโบกสะบัด และฉากภายนอกก็ปรากฏสู่สายตาของทั้งสาม
สองเท้ายักษ์กำลังก้าวมาจากจุดที่ห่างไกลอย่างช้าๆ ในมุมมองสายตาของพวกเขา มันดูราวกับเชื่อมสวรรค์และโลกเข้าไว้ด้วยกัน สองเท้ากำลังก้าวตรงมาไม่หยุด ช่วงลำตัวเหนือขึ้นไปจมลึกอยู่ในชั้นเมฆโดยสมบูรณ์ ไม่สามารถเห็นใบหน้าที่แท้จริงของมันได้
รามสูรไร้พักตร์!
กลับกลายเป็นว่ามันดันปรากฏตัวขึ้นตอนนี้!
และในจังหวะเดียวกันนั้นเอง แสงสว่างวาบพลันปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน
บัดซบ! ทำไมฉันถึงโง่อย่างนี้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดมันก็ชัดเจนอยู่แล้วแท้ๆ
ณ จุดนี้ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถไขปริศนาทั้งหมด สลายหมอกที่บดบัง และค้นพบความจริงอันกระจ่างแจ้ง เขารู้แล้วว่าเหตุใด ที่ไม่ว่ากงซุนซีและหนิงเยว่ฉานจะไปที่ไหน และใช้ยันต์สื่อสารไปมากมายเท่าไหร่ แต่กลับไม่สามารถเรียกกำลังเสริมมาได้เสียที
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน เขาตะโกน “อาวุโสกงซุน รีบส่งยันต์สื่อสารขอกำลังเสริมเร็วเข้า ถ้ารามสูรไร้พักตร์มาถึง ยันต์สื่อสารจะไม่สามารถใช้ได้แล้วนะ!”
กงซุนซีกล่าว “ทำไมยันต์สื่อสารถึงจะใช้ไม่ได้ล่ะ?”
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน เท้ายักษ์ก็ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กู่ฉิงซาน “ได้โปรดเชื่อฉันสักครั้งเถอะ รีบส่งยันต์สื่อสารออกไปเร็ว”
ขณะที่กงซุนซียังคงลังเลใจ ในตอนนั้นเองหนิงเยว่ฉานก็ดึงถุงสัมภาระขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนจะควานหาจนเจอยันต์สื่อสาร จากนั้นก็หยิบมันขึ้นมาพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง
“ข้าหนิงเยว่ฉานแห่งนิกายเทียนจี ได้รับรายชื่อของสายลับคนทรยศในกองทัพพันธมิตรมนุษยชาติแล้ว และนอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จในการหาตำแหน่งของ ‘โลกเทวะ’ อีกด้วย ถ้าได้รับข้อความนี้ หวังว่าท่านนักปราชญ์จะกรุณามาช่วยเหลือพวกเรา”
จากนั้นมือที่กำแน่นพลันคลายออก ยันต์สื่อสารทะยานขึ้นจากมือของเธอ
กงซุนซีเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ถึงกับบุ่มบามไปร้องขอให้ท่านนักปราชญ์มาช่วยเหลือ เกรงว่านิกายของฉันและคุณคงจะบ่นกันระนาวล่ะทีนี้”
นักปราชญ์ เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกของผู้ฝึกยุทธ
มันจำเป็นที่จะต้องรู้นะว่าในขอบเขตของผู้ฝึกยุทธจะถูกแบ่งออกเป็น ระดับปราณปรับแต่ง ระดับก่อตั้ง ระดับแก่นทองคำ ระดับก่อกำเนิด ระดับก้าวสู่เทพ ระดับประทับเทพ ฯลฯ หลังจากที่สามารถทะลวงผ่านขอบเขตทั้งหมดนี้ลงได้ จนมาถึงขั้นสุดท้ายขอบเขตประทับเทพ พวกเขาจะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์
ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ ทั่วทั้งมนุษยชาติมีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่ไปถึงขอบเขตดังกล่าว และทุกคนต่างก็ขนานนามพวกเขาว่า ‘ไตรภาคี’
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าโดยทั่วไปแล้ว มีแค่เพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่มีสิทธิ์ติดต่อกับนักปราชญ์
แน่นอนว่ากงซุนซีและหนิงเยว่ฉานมียันต์สื่อสารที่จะใช้ติดต่อกับนักปราชญ์ ทว่าการจะได้มันมา สองนิกายที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา ถึงกับต้องจ่ายออกด้วยเงินเก็บถึงสามร้อยปี!
ประมุขของทั้งสองฝ่ายคร่ำครวญร้องเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่สมควรจะใช้มัน หากไม่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ถึงขั้นโลกต้องสั่นสะเทือน
หนิงเยว่ฉานจ้องมองไปยังกู่ฉิงซานและกล่าว “ฉันไม่มีทางเลือก เพราะแม้ฉันจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ไม่อาจทำได้”
กู่ฉิงซานยังไม่ทันได้สูดหายใจทั่วปอด สายตาของเขาก็มองไปยังยันต์สื่อสารที่กำลังทะยานสูงขึ้นไปบนอากาศ และบินตรงไปในระยะไกลออกไป
ทว่าเมื่อเห็นว่ายันต์สื่อสารลอยลึกขึ้นไปจนเหนือชั้นเมฆ จู่ๆ ก็ปรากฏเงาที่ปกคลุมทั่วทั้งผืนนภา บดบังแม้กระทั่งแสงตะวันขึ้น
วินาทีถัดมา เงาก็ร่วงตกลงมาพร้อมกับฝ่ามือตบฉาดลงบนยันต์สื่อสารที่ลอยอยู่กลางอากาศ
มันคือมือของรามสูรไร้พักตร์!
กู่ฉิงซานวิ่งไปข้างหน้าด้วยความสิ้นหวัง เขาพยายามกระโจนขึ้นคว้าจับยันต์สื่อสารกลางอากาศ
แต่กลับเห็นแค่เพียงประกายแสงสีขาวดำกะพริบวิบวับ ก่อนที่ยันต์สื่อสารจะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
มันจบแล้ว สมองของกู่ฉิงซานว่างเปล่า
เบื้องหลังเขา สีหน้าของหนิงเยว่ฉานและกงซุนซีก็เปลี่ยนไป
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร นั่นเป็นถึงยันต์สื่อสารนักปราชญ์…”กงซุนซีกล่าว
กู่ฉิงซาน “รามสูรไร้พักตร์กลืนกินทุกอย่างที่มีพลังวิญญาณ ทันทีที่ยันต์สื่อสารลอยสูงขึ้น มันก็ได้ถูกดูดกลืนพลังวิญญาณจนแห้ง จากนั้นก็กลายเป็นเพียงแค่เศษกระดาษ”
เขาสูดหายใจลึก “บางทีเกรงว่าคราวนี้พวกเราอาจจะไม่สามารถหนีรอดไปได้จริงๆ เสียแล้ว”
มิใช่แค่เพียงเรื่องที่มีมนุษยชาติระดับสูงเป็นคนทรยศ แต่ยังมีรามสูรไร้พักตร์เป็นตัวขัดขวางไม่ให้ทั้งสองร้องขอกำลังเสริมอีก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในชีวิตก่อนหน้า พวกเขาทั้งสองถึงไม่สามารถหลบหนีไปได้
ยิ่งพวกเขาต่อสู้ดิ้นรนมากเท่าไหร่ แหที่หว่านออกไปล่าสังหารพวกเขาก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น
สถานการณ์เลวร้ายลงถึงขีดสุด ชนิดที่ว่าอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย
ประวัติศาสตร์ที่เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงมันไปได้เล็กน้อย สุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่เส้นทางเดิมอย่างงั้นหรือ?
ไม่! แบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง ฉันพึ่งจะได้รับชีวิตใหม่กลับมา แม้ความแข็งแกร่งจะตกต่ำลง แต่มันต้องมีบางสิ่งที่ฉันยังพอทำได้สิ?
กู่ฉิงซานเค้นสมองอย่างหนัก
กงซุนซีตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ฉันได้ใช้ค่ายกลธาตุทั้งห้าโจมตีมัน แต่กลับไม่ส่งผลอะไรเลย”
หนิงเยว่ฉานค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ และยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับชายทั้งสองคน “คิดจะหนีตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว แต่โอกาสโจมตียังมี พวกเรามาร่วมมือกันเล่นงานมันอีกครั้งเถอะ”
จู่ๆ หนิงเยว่ฉานก็ล้วงเข้าไปในถุงสัมภาระ ก่อนจะหยิบคันธนูยาวขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นไปเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
เธอกล่าว “ธนูกองทัพของคุณมันเลวร้ายเกินไป ธนูคันนี้จะช่วยคุณได้มากกว่า”
กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ “ทำไมถึงส่งมันให้ฉัน?”
หนิงเยว่ฉานกล่าวดุดัน “คุณไม่เพียงช่วยฆ่าพลส่งสารของกองทัพมาร แต่ยังมอบถุงน้ำดีงูให้ฉันใช้รักษาตัวอีก ธนูอันนี้ถือเป็นของขวัญตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันอยากมอบให้สำหรับน้ำใจของคุณ”
กู่ฉิงซานก้มหัวลงมอง ก่อนจะเห็นว่าอาวุธธนูคันนี้ยาวยิ่งกว่าธนูกองทัพของเขากว่าครึ่งช่วงแขน ทั่วทั้งคันธนูดูเรียบง่ายไม่มีการตกแต่งใดๆ ราวกับว่ามันไม่ต้องการที่จะโอ้อวดตนเอง
กู่ฉิงซานมองดูมันด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
ธนูยาวคันนี้ แม้ไม่ได้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ทว่ามันกลับมีความสามารถในการกักเก็บจิตสังหารทั้งหมดเอาไว้ภายในได้ ทำให้มันดูราวกับเป็นน้ำนิ่งสงบที่ไร้ซึ่งหยาดน้ำตกกระทบ
เพียงมองแค่แว่บแรก ก็ไม่อาจรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของธนูยาวคันนี้ ประหนึ่งมันไม่มีตัวตนอยู่จริง
หากเขาใช้ธนูคันนี้ในการลอบจู่โจม อีกฝ่ายก็จะไม่อาจรู้ตัวได้เลย เนื่องเพราะไม่อาจสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของมัน
ธนูคันนี้ราวกับได้รับการปกปักษ์จากดินแดนแห่งความมืด หากเทียบกับธนูกองทัพของเขาที่นำมาจากค่ายทหารแล้ว เปรียบได้ดั่งเมฆบนชั้นฟ้ากับโคลนตมบนพื้นดิน
ในช่วงสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ กลับมีธนูอันยอดเยี่ยมยื่นมาถึงมือ กู่ฉิงซานย่อมไม่มีทางปฏิเสธ
หนิงเยว่ฉานเป็นคนที่รู้ว่าสมควรจะตอบแทนผู้อื่นเช่นไรจริงๆ และสิ่งที่นำออกมาตอบแทน นอกจากจะเป็นสิ่งที่ผู้รับสามารถใช้ได้แล้ว มันยังแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและมีน้ำใจของเธออีกด้วย
หญิงสาวคนนี้ บางทีอาจจะเป็นคนดีคนหนึ่งก็ได้
กู่ฉิงซานไม่เสียเวลาคิด เขารับธนูยาวมาพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “ขอบคุณ”
หนิงเยว่ฉานลอบสังเกตเขาอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้แกล้งทำเป็นปฏิเสธ แต่ก็ไม่เผยให้เห็นถึงความสุขสมใดๆ เช่นกัน แต่กลับดูสงบ ใจเย็น และเอ่ยขอบคุณอย่างสุภาพจริงใจ
หนิงเยว่ฉานแอบพยักหน้า ผลคะแนนการประเมินสำหรับตัวตนของเขาในหัวใจของเธอได้เพิ่มไปอีกหนึ่งแต้ม
เสียงของเธอกลับกลายเป็นนุ่มนวล “ธนูนี้มีชื่อว่าเย่หยู พิรุณยามค่ำ เป็นของที่ฉันได้รับมาจากท่านพ่อ หวังว่าคุณคงจะใช้มันได้ดีนะ”
.......................................