ตอนที่ 9 เดิมพัน
เนื่องจากบริเวณนี้เป็นพื้นที่เขตสลัม ดังนั้นไม่เพียงไม่มีกล้องวงจรปิดตลอดทั้งเส้นทาง กระทั่งคนเดินเท้าก็ยังมีไม่มากนัก
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อีกฝ่ายเลือกสถานที่ได้ดีทีเดียว และจังหวะเวลาก็เหมาะสมที่จะลอบฆ่า
ในทางกลับกันสิ่งนี้ก็ช่วยลบความกังวลของกู่ฉิงซานไปด้วยในตัว
ไกลออกไป จู่ๆ หูของกู่ฉิงซานก็ได้ยินเสียงไซเรนดังใกล้เข้ามา
เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นรถเหินเวหาขนาดเล็กของตำรวจหลายคันกำลังลอยอยู่บนฟ้า
ไม่มีใครอยู่รอบๆ ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนโทรแจ้งตำรวจ อีกฝ่ายคำนวณแม้กระทั่งช่วงเวลาที่ตำรวจจะมา ดูเหมือนว่าการลอบสังหารในครั้งนี้จะเตรียมการมานานแล้ว
หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน กู่ฉิงซานจะต้องถูกแทงตายในจุดนี้ และจากนั้นตำรวจก็จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อทำการเก็บศพ และเก็บมีดในที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน
เมื่อซูเซี่ยเอ๋อได้รับข่าว ต่อให้เธอส่งคนมาตรวจสอบ แต่ก็จะไม่พบหลักฐานใดๆ
และในวันรุ่งขึ้น ก็จะมีแพะไปมอบตัว โดยให้เหตุผลว่าตนดื่มมากเกินไปและบังเอิญเกิดการวิวาทกันและเผลอลงมือหนักเกินไป
คนก็ตายไปแล้ว คนร้ายก็ยอมมอบตัว แล้วซูเซี่ยเอ๋อจะทำอะไรได้อีกเล่า?
เรื่องราวทุกอย่างก็จะสิ้นสุดลง
กู่ฉิงซานเหลือบมองรถตำรวจอย่างเย็นชา ขณะที่อีกฝ่ายกำลังมาถึงที่เกิดเหตุ เขาก็คว้าร่างของชายคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ลากเข้าไปในความมืด ก่อนที่ทั้งสองจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ณ บ่อนคาสิโน
เนี่ยหยุนมองไพ่ในมือก่อนจะกล่าว “ส่งมาอีกใบ”
พนักงานหญิงอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของเธอ ก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วส่งไพ่ไปให้ผู้เล่นทั้งสองคน
“นายน้อยเนี่ย ไม่เห็นจะจำเป็นต้องเล่นหนักขนาดนี้เลยก็ได้” ชายร่างบึกไว้ผมยาวสวมแว่นกันแดดที่นั่งอยู่ตรงข้ามกล่าวออกมา
เบื้องหลังชายสวมแว่นกันแดด มีร่างเพรียวบางกำลังซ่อนตัวอยู่หลังเก้าอี้ ไม่กล้าโผล่มาแม้แต่หัว
ทว่าเนี่ยหยุนดูจะไม่ใส่ใจและกล่าว “แค่ยี่สิบล้านเท่านั้นเอง ถ้าคุณไม่กล้าเล่นก็หมอบไพ่เสีย”
“ยี่สิบล้านน่ะมันไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ถ้านายน้อยยังต้องการสาวน้อยหงไป๋ของฉัน เรื่องนี้ฉันคงไม่อาจทนไหว” ชายสวมแว่นกันแดดกล่าว
“ฉันไม่คิดจะทำอะไรเธอซะหน่อย…ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่น่ะนะ” เนี่ยหยุนกล่าว
ร่างเพรียวบางที่หลบอยู่สั่นเล็กน้อย ชายสวมแว่นฝืนยิ้มและกล่าวอย่างขมขื่น “ฉันจะไม่ขายหงไป๋ นายน้อยปล่อยเธอไปเถอะ แล้วฉันจะมอบของคุณภาพดีที่สุดสองชิ้นให้แก่คุณ คิดว่าอย่างไร?”
เนี่ยหยุนกล่าว “ผู้หญิงคนนี้กล้าที่จะสาดไวน์ใส่หน้าฉัน ฉันจะซื้อเธอ จับโยนไปทำงานในซ่อง แล้วปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อให้ตระหนักถึงความจริงว่าบางสิ่งบางอย่างไม่สมควรกระทำ!”
ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกโบกระต่ายสีดำเดินออกมา ก่อนจะกระซิบข้างหูเนี่ยหยุน
และเนี่ยหยุนก็วาดฝ่ามือเข้าใส่หน้าของอีกฝ่ายอย่างจังและกล่าว “ไหนแกบอกว่ามันจะไม่เป็นปัญหาไม่ใช่รึไง?”
ชายวัยกลางคนก้มหัวลงและกล่าว “ขออภัยนายน้อย โปรดให้เวลาฉันซักหนึ่งชั่วโมง ฉันจะไปจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเอง”
เนี่ยหยุนกล่าว “ให้แค่ครึ่งชั่วโมง ถ้าแกยังทำภารกิจไม่สำเร็จ ฉันจะกลับไปบอกทางตระกูลด้วยตัวเองว่า ให้ส่งแกกลับไป และเอาคนที่เป็นงานกว่านี้มาแทน”
ชายวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
“เกิดปัญหาอะไรขึ้นงั้นหรือนายน้อยเนี่ย ให้ฉันช่วยจัดการไหม” ชายสวมแว่นกันแดดกล่าว
เนี่ยหยุนส่งเสียงหึในลำคอและกล่าว “ไม่ได้ทำให้ฟรีๆ หรอกใช่ไหม คุณต้องการอะไร?”
ชายแว่นกันแดดผายมือออก “ง่ายมาก ถ้าฉันจัดการปัญหาให้นายน้อยได้ นายน้อยจะต้องปล่อยหงไป๋ของฉันไป”
เนี่ยหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จู่ๆ จะยิ้มออกมา “น่าเบื่อจริง มันจะดีกว่าไหมถ้าเราจะทำให้มันดูน่าตื่นเต้นกว่านี้”
ชายแว่นกันแดดแอบบ่นในใจ แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความสุขและกล่าว “นายน้อยมีอะไรจะแนะนำ โปรดกล่าว”
ถ้าเจ้าหนูนี่เป็นแค่เพลย์บอยธรรมดาๆ ทั่วไป เขาคงไม่จำเป็นต้องปั้นยิ้มแบบนี้ แต่คนตรงหน้าคือเนี่ยหยุน ลูกหลานสายตรงของตระกูลชั้นสูงที่มีอิทธิพลกว่าสามส่วนในมณฑลฉางหนิง หากไม่นับตระกูลซู ตระกูลเนี่ยก็คงจะเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลมากที่สุด
ชายสวมแว่นกันแดดอยู่มานานจนรู้ว่าหากยังเหยียบอยู่บนอาณาเขตนี้ ตาแก่อย่างเขาจะต้องไม่ทำอะไรให้ชายหนุ่มเบื้องหน้าขุ่นเคือง
เนี่ยหยุนเล่นกับอุปกรณ์สื่อสารสมองควอนตัมของตนเอง ก่อนจะฉายภาพลงบนผนังที่มีสีขาวราวหิมะ
“นี่คือลูกน้องของฉัน และทุกๆ ภารกิจที่เขาลงมือ ฉันก็มักจะบอกเขาว่าให้เปิดภาพฉายแบบถ่ายทอดสด เราจะได้เห็นว่าเขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแค่ไหน”
ชายสวมแว่นพยักหน้าและกล่าว “เข้าใจแล้ว”
เนี่ยหยุน “เขากำลังจะไปฆ่าคนๆ หนึ่ง พวกเรามาเดิมพันกัน ว่าเขาจะใช้ไปกี่กระบวนท่า ถึงจะสังหารอีกฝ่ายลงได้”
ชายสวมแว่นกล่าวอย่างลังเล “แล้วอีกฝ่ายคือใคร?”
“นักเรียนยากจนธรรมดาๆ ฉันพนันว่าเขาจะตายอย่างโหดร้ายในหนึ่งกระบวนท่า”เนี่ยหยุนกล่าว แล้วโยนอุปกรณ์สื่อสารออกไปอีกทางหนึ่ง
ชายสวมแว่นยิ้มอย่างขมขื่น “มือสังหารของนายน้อยเป็นถึงหวูเต๋าระดับปรมาจารย์นักสู้ เขาสามารถฆ่านักสู้ระดับห้าดาวได้ในกระบวนท่าเดียว”
ต้องเป็นนักสู้ที่ไต่เต้าขึ้นมาถึงระดับเก้าดาว จึงจะพอมีโอกาสโจมตีคนระดับปรมาจารย์นักสู้ได้
เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์นักสู้ ก็กล่าวได้ว่าคนผู้นั้นได้บอกลาขอบเขตระดับมนุษย์ไปแล้ว แม้กระทั่งกองทัพก็ไม่อาจจัดการกับการดำรงอยู่ของตัวตนเช่นนี้ได้ จำต้องอาศัยกองหุ่นรบเท่านั้น จึงจะชนะอีกฝ่ายได้
หวูเต๋าระดับปรมาจารย์นักสู้ นับได้ว่ามีสถานะอยู่ในระดับเดียวกันกับพวกชนชั้นสูง พวกเขาเป็นที่เคารพนับถือของทุกผู้คน เป็นสถานะที่คนธรรมดาทำได้เพียงแค่แหงนมอง
“คุณจะไม่ลองเดิมพันหน่อยหรือ ถ้าไม่เดิมฉันอาจจะโกรธ แล้วถึงเวลานั้นจะตำหนิฉันว่าไม่ไว้หน้าคุณไม่ได้นะ” เนี่ยหยุนกล่าวอย่างอดทน
“ก็ได้” ชายสวมแว่นสูดหายใจลึก “ถ้าอย่างนั้นฉันสามารถเดิมพันว่าเขาไม่อาจสังหารนักเรียนยากจนคนนั้นได้ในหนึ่งกระบวนท่าจะได้ไหม”
“แน่นอนว่าได้ ถ้าคุณชนะ ฉันจะปล่อยหงไป๋ของคุณไป”เนี่ยหยุนกล่าวด้วยสีหน้าเปล่งประกายแห่งความภาคภูมิ
“แล้วถ้าฉันแพ้ล่ะ?”
เนี่ยหยุน “หนึ่งร้อยล้านกับหงไป๋ในสภาพศพ”
ใบหน้าของชายสวมแว่นกระตุก ขณะที่กำลังจะกล่าวปฏิเสธนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงจากด้านหลัง “เดิมพันกับเขา”
ชายสวมแว่นกล่าวเสียงเบา “แล้วจะทำอย่างไรเล่าถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา”
ร่างเพรียวบางหยุดสั่นและกล่าวเสียงกระซิบ “ถ้าแพ้ คุณก็ฆ่าทุกคนในตระกูลเนี่ย จากนั้นก็ถลกหนังเขาแล้วเอาไปจี่ไฟเป็นเวลาสามวันสามคืน”
ในหัวใจของชายสวมแว่นเย็นเยียบ นี่เขากำลังตั้งใจที่จะหาทางออกให้เธออยู่นะ!
เขามองไปยังเนี่ยหยุนผู้ซึ่งอยู่ตรงข้าม ก่อนจะถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างมืดมน “ตกลง ฉันเดิมพัน”
เนี่ยหยุนดีดนิ้ว ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องแบบนั้นสิถึงจะดี เอาล่ะ พวกเรามาเพลิดเพลินไปกับการล่าสังหารของสงหู่ที่เป็นหวูเต๋าระดับปรมาจารย์นักสู้กันเถอะ”
ทางด้านหวูเต๋าระดับปรมาจารย์นักสู้ที่ได้รับคำสั่งให้สังหารคนก็กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
ยามค่ำคืน ช่วงเวลาที่ผู้คนในเมืองจมลงสู่ห้วงนิทรา แสงไฟตามทางสลัว ได้สาดกระทบกับร่างๆหนึ่งเคลื่อนไหวว่องไวและแผ่วเบา แผ่วเบาจนมิเกิดเสียงรบกวนใดๆ แก่ทุกผู้คนที่กำลังพักผ่อน
ชายผู้นี้ที่อุทิศตัวให้กับตระกูลเนี่ย มิเพียงเป็นผู้ที่มีอารมณ์รุนแรงและดุร้ายเท่านั้น แต่นานมาแล้วในช่วงต้นชีวิต เขาได้ฆ่าสังหารผู้คนไปแล้วมากมาย และยังเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างมากในบรรดาหวูเต๋า จนถูกขนานนามว่า ‘สงหู่’ ล่าพยัคฆ์
เด็กยากจนที่เป็นเป้าหมาย อาศัยอยู่ในอาคารพื้นที่สลัมบนตึกชั้นยี่สิบสองห้องที่สามนับจากทางซ้าย
สงหู่ตระหนักดีถึงรายละเอียดของภารกิจ
เพียงแค่ประตูถูกเปิดออก เขาก็จะพุ่งเข้าไปและสังหารฝ่ายตรงข้ามทันที เรื่องก็ง่ายดายเพียงเท่านี้
ทว่าเขาจะไม่ประมาท เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ ไม่มีข้อมูลใดๆ เลยจากพวกนักฆ่ากลุ่มก่อนหน้า ทั้งหมดหายตัวไปและไม่อาจติดต่อได้
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเรื่องนี้
ขณะที่คิด จู่ๆ อุปกรณ์สื่อสารก็ส่งเสียงดังขึ้น
“สงหู่ เป้าหมายอยู่ในมือของฉัน”
สงหู่ประหลาดใจเล็กน้อยและกล่าว “แกไม่ได้ฆ่ามันไปแล้วหรอกหรือ?”
“ไม่ๆ ฉันคิดว่าเราควรจะต่อรองราคาให้สูงขึ้นอีกสักนิด”
บ้าจริง ทุกคนมันก็เป็นซะอย่างนี้ สงหู่บ่นงึมงำ
เจ้าพวกขยะในโลกใต้ดินกล้าที่จะอัปราคาค่าจ้างเพิ่มขึ้น หรือว่าชื่อเสียงของฉันสงหู่จะไม่มากพอที่จะทำให้พวกมันหวาดกลัว?
สงหู่หัวเราะและพยายามเอ่ยด้วยเสียงสงบ “ถ้ายังอยู่ในราคาที่สมเหตุสมผล ก็ยังพอจะพูดคุยกันได้ ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน?”
“ฉันกำลังรอคุณอยู่ในห้องของเจ้าเด็กนั่น เชื่อว่าคุณคงรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน”
และสายก็ถูกตัดไป
สงหู่คำรามด้วยความโกรธ ก่อนจะระเบิดหมัดเข้าใส่ป้ายข้างถนน
กล้าที่จะต่อรองเพิ่มราคากับฉันงั้นหรือ รอก่อนเถอะ ชื่อสงหู่ของฉันไม่ได้ถูกเรียกกันพล่อยๆ!
เขาเร่งความเร็วขึ้นมากกว่าเดิม จนร่างทั้งร่างพุ่งทะลวงราวกับดาวตกสีเทาที่ร่วงจากฟากฟ้าในยามค่ำคืน
หลังจากนั้นห้านาที สงหู่ก็ยืนอยู่ภายในตึกชั้นที่ยี่สิบสองก่อนจะระบุห้องของเป้าหมายให้แน่ชัด และเตะกระแทกประตูเข้าไป!
........................................