ตอนที่ 7 ใบหนังสือรับรองจากทางโรงเรียน
ในที่สุดจางเย่อก็เปิดปากของเขา
“มีใครบางคนจ่ายให้ผมสิบล้าน แลกกับการให้ผมวางยากู่ฉิงซานและกระตุ้นให้เขาสารภาพรักกับซูเซี่ยเอ๋อ”
ชายชรากล่าวเสียงเบาราวกระซิบ “คนๆ นั้นคือใคร?”
จางเย่อกล่าว “อีกฝ่ายใช้บัญชีไม่ระบุตัวตนในเน็ต ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร”
นั่นคือความจริง
แต่น่าเสียดายที่ปมปริศนากลับถูกตัดขาดโดยสมบูรณ์
ท่าทีของชายชราเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ไม่ว่าใครก็ตามที่วางแผนทำสิ่งนี้ มันรอบคอบ แถมยังระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง
คนๆ นั้นกล้าที่จะใช้เพื่อนของคุณหนู ใช้วิธีโจมตีทางอ้อม แถมแผนการของเขายังไม่มีความบกพร่องใดๆ เลย มาพลาดเอาก็ตรงปัจจัยที่ไม่อาจควบคุมได้อย่างกู่ฉิงซานที่บังเอิญทนพิษไหวเท่านั้นเอง เรื่องนี้ดูจะไม่ง่ายอย่างที่ตาเห็นเสียแล้ว
หลังจากทั้งหมดนี้ ที่นี่คือมณฑลฉางหนิง อาณาเขตของตระกูลซู
ชายชราชักมือกลับ และจางเย่อก็ตื่นจากภวังค์ทันที
เขากระแทกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้น้ำตาอาบหน้า “เป็นความผิดของฉันเอง ฉิงซาน ฉันคิดไม่ซื่อกับนาย ฉันขอโทษ”
กู่ฉิงซานไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
จางเย่อคลานเข่าไปหากู่ฉิงซานอย่างช้าๆ สภาพของเขาดูราวกับขอทาน “ฉิงซาน นายกับฉันเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เราคบกันมานานหลายปี ครั้งนี้ฉันผิด ได้โปรดเถอะ ยกโทษให้ฉันด้วย”
จางเย่อมิใช่คนโง่ เขารู้ว่าคนที่จะช่วยให้เขารอดตายจากอันตรายครั้งนี้มีเพียงกู่ฉิงซานเท่านั้น จึงคลานเข่าไปหาฉิงซานเพื่ออ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
กู่ฉิงซานแม้เป็นเพียงคนธรรมดา แต่เขาก็เป็นคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แถมจางเย่อยังเป็นเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวอีก นอกจากนั้นภายในที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ถ้าเขาหน้าด้านอ้อนวอนขอความเมตตา มันคงจะไม่ยากเกินไปที่จะบังคับกู่ฉิงซาน
ซูเซี่ยเอ๋อนั้นเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน ตราบใดที่กู่งฉิงซานให้อภัยเขา จางเย่อคาดว่าซูเซี่ยเอ๋อก็คงจะไม่เอาความเขาอีกต่อไป
และเรื่องราวในครั้งนี้ก็คงจะไม่เกิดผลร้ายแรงใดๆ ตามมา ตราบเท่าที่ซูเซี่ยเอ๋อไม่เอาความ ตระกูลซูก็จะไม่ลงมือกับชีวิตนักเรียนอันแสนยากจนของเขา
และก็เป็นอย่างที่คิด ซูเซี่ยเอ๋อมองฉิงซานแล้วกล่าวอย่างลังเลใจ “นายคิดว่าอย่างไร เขา…ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นเพื่อนร่วมชั้น...”
ป้าซูเอ่ยแทรกทันที “คุณหนู เรื่องนี้มิได้ง่ายได้เพียงนั้น พวกเราจะต้องทำการตรวจสอบจนกว่าจะรู้ตื้นลึกหนาบาง”
กล่าวจบก็ส่งสายตาขึงขังไปยังกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานที่เงียบไปครู่หนึ่ง และจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
“จริงๆ แล้วฉันก็คิดเหมือนกับนายนะจางเย่อ” เขากล่าวพลางเหลือบมองจางเย่อที่อยู่บนพื้น
จางเย่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเขาก็เผยความปีติ “หมายความว่า…หมายความว่านายจะยกโทษให้ฉัน?”
“เปล่า”
ท่ามกลางสายตาของทุกผผู้คน กู่ฉิงซานก้มลงและกระซิบกล่าวกับจางเย่อ “ฉันคิดเหมือนนายตรงที่ว่า ถึงเวลาแล้วที่มิตรภาพจอมปลอมบัดซบของพวกเราจะสิ้นสุดลง”
ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ยกเท้าขึ้นและถีบใส่หน้าอกของจางเย่อ
จางเย่อลอยกระเด็นออกไปหลายเมตร ก่อนที่จะกลิ้งลงกับพื้นจนไปกระแทกเข้ากับโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่ม
ขวดแชมเปญขนาดใหญ่ร่วงตกลงใส่หัวของเขา ก่อนที่ภาพตรงหน้าจางเย่อจะขาวโพลนและหมดสติไป
กู่ฉิงซานหันหลังกลับแล้วกล่าว “ป้าซู ผมหวังว่าคุณจะขุดคุ้ยคนที่อยู่เบื้องหลังเขามาได้นะครับ”
ป้าซูมองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย “เด็กดี เดิมทีฉันกังวลเรื่องที่เสี่ยวเอ๋อเป็นเพื่อนกับเธอ แม้ดูเธอจะยังควบคุมอารมณ์ได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นอีกแล้วล่ะ”
ป้าซูโบกมือ จากนั้นรถเหินเวหาก็ร่อนลงมาจากเมฆด้านบน
นี่คือรถเหินเวหาที่ผลิตโดยบริษัทกังเตี๋ย ด้านหน้ารถมีตัวอักษรสลักคำว่าซู ซึ่งเป็นตัวแทนบ่งบอกถึงสถานะอันทรงเกียรติ แตกต่างจากผู้อื่นในมณฑลฉางหนิง
ชายชราคว้าจางเย่อ ก่อนจะทะยานขึ้นรถไป
ป้าซูกล่าว “คุณหนู วันนี้สถานการณ์ไม่ปกติ เราไม่ควรจะอยู่ที่นี่นานเกินไป ขั้นแรกพวกเราควรรีบกลับกันก่อน”
ซูเซี่ยเอ๋อพยักหน้า แต่ก่อนจะไปเธอก็หันกลับมามองฉิงซานและกล่าว “คืนพรุ่งนี้ ฉันจะแวะไปกินบาร์บีคิวฝีมือนายที่ร้านแผงลอย ตกลงไหม?”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ”
เดิมทีนี่เป็นคำกล่าวอ้างไร้สาระที่ฉิงซานคิดขึ้นมาแก้เพื่อสถานการณ์เฉพาะหน้า เขาไม่คาดหวังเลยว่าซูเซี่ยเอ๋อจะตอบรับคำขอของเขาจริงๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับกู่ฉิงซานแล้วมันไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล เพราะทุกวันหลังเลิกเรียนเขามักจะตั้งร้านแผงลอยทำบาร์บีคิวขายอยู่แล้ว ซึ่งเงินที่ได้มาก็จะนำไปใช้จุนเจือชีวิต
ซูเซี่ยเอ๋อส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะตามป้าซูขึ้นรถเหินเวหาบินกลับไปยังตระกูลซู
รถเหินเวหาจากไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ตระกูลซูจากไป ตัวแทนจากหลายหน่วยงานก็จากไปทันที และงานพรอมฉลองจบการศึกษาในครั้งนี้ก็ยุติลงอย่างรวดเร็ว
นี่อาจจะเป็นงานพรอมที่กล่าวได้ว่าล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์โรงเรียนเอกชนชั้นสูงฉางหนิง
แต่สำหรับกู่ฉิงซาน กล่าวได้ว่าเขาควรจะเป็นคนที่แฮปปี้ที่สุดในงาน และนี่อาจเป็นช่วงเวลาที่สุขที่สุดในชีวิตก็ได้
ในที่สุดเขาก็หลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมที่เจ็บปวดและน่าเศร้าที่สุดลงได้ ไม่เหมือนในชีวิตก่อน ที่ต้องถูกโรงเรียนทอดทิ้ง
อีกไม่กี่วัน เขาจะได้รับสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาลกลาง
ด้วยความสำเร็จของเขา มันเป็นไปได้ว่าเขาจะผ่านการสอบ และเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่ชอบได้
ส่วนจางเย่อ ชะตากรรมของเขาต่อจากนี้ไปก็อาจจะไม่ดีนัก
เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างซูเซี่ยเอ๋อกับจางเย่อก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ดังนั้น พอจางเย่อก่อเรื่องนี้ขึ้นมาและยังมีเรื่องตัวตนของคนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังเขาอีก เห็นได้ชัดว่าเพ่งเล็งมายังกู่ฉิงซานและซูเซี่ยเอ๋อ
ไม่เพียงแต่ซูเซี่ยเอ๋อจะไม่ขอร้องไห้ยกโทษแก่จางเย่อ จากนี้ไปทางตระกูลซูจะต้องเค้นปากคำจางเย่อเพื่อหาตัวการที่อยู่เบื้องหลังเขาอย่างแน่นอน
คราวนี้ ประสบการณ์ในชีวิตก่อนหน้าอันแสนเจ็บปวดของกู่ฉิงซาน จะกลายเป็นจางเย่อที่เป็นคนรับมันเสียเอง และดูท่าว่าจะรุนแรงยิ่งกว่าซะด้วย
ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว
กู่ฉิงซานก้าวออกจากงานด้วยความสุข ก่อนจะเดินออกจากโรงเรียนไป
เขาเป็นเด็กกำพร้าในสลัม ไม่มีเงินมากพอจะใช้บริการรถรับส่งได้ ยิ่งรถเหินเวหาไม่ต้องกล่าวถึง ดังนั้นทุกๆ วันเขาจึงต้องอาศัยสองขาของตนเดินไปกลับโรงเรียน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
กู่ฉิงซานเดินออกจากพื้นที่ส่วนที่เจริญรุ่งเรืองที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เตรียมเข้าสู่ย่านสลัม แต่แล้วจู่ๆ ฝีเท้าของเขาก็หยุดลง
หน้าปากซอย มีรถเหินเวหาขนาดยาวกว่าเก้าเมตรจอดอยู่อย่างสงบ
ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกโบหูกระต่ายสีดำยืนอยู่ภายนอกรถโค้งตัวทักทายกู่ฉิงซานอย่างสุภาพ
“เพื่อนร่วมชั้นกู่ นายน้อยของฉันกำลังรอเธออยู่ในรถเหินเวหาขนาดกลางคันนี้” ชายวัยกลางคนกล่าว
กู่ฉิงซานเหลือบมองไปยังกล้องรักษาความปลอดภัยที่ติดอยู่ตรงมุมถนนอย่างเงียบๆ และเห็นว่ามันไม่มีไฟกะพริบสีแดง บ่งบอกชัดเจนว่ามันไม่ได้ทำงาน …หรืออาจมีคนจงใจปิดมันก็ได้ใครจะรู้
แม้กระทั่งบริเวณโดยรอบ ก็ไม่มีใครเดินเข้ามาแม้แต่คนเดียว
“นายน้อยของคุณคือใคร?” กู่ฉิงซานถาม
ชายวัยกลางคนไม่เอ่ยตอบ เขาเพียงยื่นมือไปเปิดประตูรถ ส่วนมืออีกข้างส่งสัญญาณเชื้อเชิญ
น่าสนใจจริงๆ กู่ฉิงซานยิ้ม และเดินเข้าไปในรถเหินเวหา
ห้องโดยสารภายในรถดูหรูหราเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟาหนังขนาดใหญ่ ปล่อยให้เด็กสาวสองคนนั่งคุกเข่าบนพื้นรถ และนวดขาของเขาคนละข้าง
ด้านข้างตัวรถเป็นบาร์ และมีสาวหูกระต่ายหน้าตาน่ารักกำลังนั่งอยู่ เธอเทไวน์ใส่แก้ว ก่อนจะยื่นมันให้แก่กู่ฉิงซาน
“ขอบใจ” กู่ฉิงซานรับแก้วไวน์มาและกล่าวขอบคุณเธอ
“ฉิงซาน นั่งลงเถอะ” ชายหนุ่มในรถกล่าว
กู่ฉิงซานนั่งลงตรงข้ามชายหนุ่ม ก่อนจะวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านประธานนักเรียนมีธุระอะไรกับฉัน ถึงได้มาดักรอกลางดึกแบบนี้?”
ชายหนุ่มส่ายหัวและกล่าว “อย่าเอะอะไป ไม่ต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ นายเรียกฉันว่านายน้อยหยุนเถอะ”
ชายหนุ่มคนนี้ เป็นประธานนักเรียนของโรงเรียนเอกชนชั้นสูงแห่งฉางหนิง เนี่ยหยุน
เนี่ยหยุนเป็นคนจากตระกูลเนี่ยซึ่งเป็นตระกูลชั้นสูง และยังเป็นหลานชายแท้ๆ ของเนี่ยเบาไป๋ ผู้นำตระกูลเนี่ยอีกด้วย
กล่าวถึงในแง่ของสถานะ หากไม่นับซูเซี่ยเอ๋อในโรงเรียนนี้คงจะไม่มีใครอีกแล้วที่จะโดดเด่นไปกว่าเขา
เนี่ยหยุนปรบมือและกล่าว “เอาล่ะ พวกเธอทั้งหมดออกไป”
สาวๆ ทั้งหลายดีดตัวขึ้น และลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว
เนี่ยหยุนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา ขณะที่จ้องมองมันเขาก็เอ่ยว่า “ฉิงซาน คะแนนสอบของนายค่อนข้างโดดเด่นจริงๆ ทุกๆ การสอบรายปีนายนับว่ากดดันฉันกับซูเซี่ยเอ๋อได้ไม่น้อยเลย”
“ดูนี่สิ วิชาหุ่นรบขั้นต้นได้คะแนนเต็ม , ประวัติศาสตร์สงครามโลกได้คะแนนเต็ม , เทคโนโลยีสมองควอนตัมได้คะแนนเต็ม , การควบคุมยานรบคะแนนเต็ม แม้กระทั่งวิชาดัดแปลงหุ่นรบนายก็ยังได้คะแนนเต็ม มีเพียงวิชากีฬาเท่านั้นที่คะแนนอยู่ในเกณฑ์พอผ่าน”
เนี่ยหยุนวางกระดาษลงแล้วกล่าวด้วยอารมณ์ “ในเวลาเดียวกันนายยังเป็นพนักงานของบริษัทวิจัยและพัฒนาเกราะรบกังเตี๋ยแห่งฉางหนิงอีกด้วย ช่างเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเสียจริง ต่อให้ปราศจากความสัมพันธ์กับซูเซี่ยเอ๋อ คนอย่างนายต้องก้าวไปได้ไกลอย่างแน่นอน ฉันเกรงว่าแม้แต่คนระดับสูงในตระกูลซูก็ยังต้องการจะคว้าตัวนายไปเป็นพวก”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ “ฉันเพียงแค่ต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีในอนาคต”
เนี่ยหยุนส่ายหัว “ทั่วทั้งมณฑลฉางหนิง นักเรียนยากจนที่สามารถเข้าไปทำงานกับบริษัทเกราะรบกังเตี๋ยของตระกูลซูได้ มีนายเป็นคนแรกและคงเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น แค่นี้ก็พอจะบอกได้แล้วว่านายมีพรสวรรค์”
“ฉันชื่นชมคนแบบนายนะ ดังนั้นฉันก็เลยจะมอบโอกาสให้นาย” เนี่ยหยุนหยิบซองจดหมายออกจากอกเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้ากู่ฉิงซาน
“นี่คือ .. ?”ฉิงซานถาม
“ลองเปิดดูสิ”
กู่ฉิงซานหยิบมันขึ้นมาและเปิดดูเนื้อหาภายใน
เขาอ่านมัน “หนังสือแนะนำจากทางโรงเรียนให้เข้ามหาวิทยาลัยหลี่เขตหนานซี?”
“ถูกต้อง” เนี่ยหยุนยิ้ม “ตราบใดที่นายต้องการ นายไม่จำเป็นจะทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย แต่นายจะสามารถเข้ามหาลัยได้ทันที”
กู่ฉิงซานวางซองจดหมายลงแล้วกล่าว “ขอบคุณสำหรับน้ำใจของนายน้อยหยุน แต่ฉันไม่ได้ต้องการที่จะเข้ามหาวิทยาลัยนี้”
มหาวิทยาลัยหลี่ ไม่เพียงเป็นมหาวิทยาลัยระดับสาม แต่มันยังตั้งอยู่สุดขอบของเขตหนานซี และแผนกวิชาหลักทั้งหมดของวิทยาลัยก็เน้นไปทางศึกษาทรัพยากรแร่จากใต้ดิน นอกจากนี้ยังเคร่งครัดในกฏระเบียบวินัยมากอีกด้วย
กู่ฉิงซานมีมหาวิทยาลัยที่เขาเล็งไว้อยู่ไม่กี่แห่ง แต่หากเทียบกับความสำเร็จของเขา การเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐบาลกลางก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา ไม่จำเป็นต้องมาสนใจมหาวิทยาลัยระดับสามที่อยู่สุดขอบทางตอนใต้ของเขตหนานซีเลย
“อย่าพึ่งรีบร้อนที่จะปฏิเสธ นายคิดว่าชีวิตของนายกับการเป็นเพื่อนกับซูเซี่ยเอ๋ออันไหนสำคัญกว่ากัน?” น้ำเสียงของเนี่ยหยุนเปลี่ยนเป็นเย็นชา
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นและกล่าว “ทำไมถึงพูดแบบนี้?”
รอยยิ้มผุดกลับมาบนใบหน้าของเนี่ยหยุน เขายืดหลังนั่งตัวตรงและกล่าว “ทั่วทั้งเขตหนานซี ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชั้นสูง หรือพวกผู้มีอำนาจจากทางรัฐบาลกลาง ก็ยังคาดหวังที่จะให้ลูกหลานของตนผูกสัมพันธ์กับตระกูลซูโดยการแต่งงานกับซูเซี่ยเอ๋อ”
เนี่ยหยุนถอนหายใจและกล่าวต่อ “นายมันเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ได้มีอำนาจ แถมยังตัวคนเดียวย่อมไม่มีทางเข้าใจอะไร บางทีวันนี้ที่นายจะสารภาพรักกับเธอ แม้สุดท้ายจะบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ก็อาจมีสายตาหนึ่งหรือสองคู่หันมาจับจ้องนายแล้วก็ได้ ”
เขาหยิบใบหนังสือแนะนำบนโต๊ะขึ้นมาและยื่นมันให้กู่ฉิงซาน
“ลองเอามันกลับไปคิดดู อยู่ให้ห่างจากซูเซี่ยเอ๋อเข้าไว้ อย่าคิดติดต่อกับเธออีก แล้วชีวิตนายจะปลอดภัย”
กู่ฉิงซานมองใบหนังสือรับรอง แต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับมัน “นายน้อยหยุน คำพูดของนายที่ว่ามีสายตาหันมาจับจ้องแล้วนั้นคงไม่ได้หมายถึงคนอื่น แต่หมายถึงตัวนายเองสินะ? เห็นแก่ที่เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาสามปี ฉันจะขอแนะนำอะไรนายอย่างหนึ่ง”
“ฮ่า ฮ่า นายจะแนะนำฉัน?” เนี่ยหยุนมองเขาราวกับเป็นตัวตลก
เจ้าหมอนี่มันฉลาดหลักแหลม พูดคุยกันเพียงเท่านี้มันก็มองความตั้งใจของเขาออกทั้งหมด แต่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันจะแนะนำอะไร?
หากเปรียบเทียบเพียงในด้านสถานะของทั้งสอง มันเป็นความต่างชั้นระหว่างเมฆบนฟ้ากับโคลนตมบนพื้นดิน หลังจบการศึกษา โลกของทั้งสองก็ไม่มีทางบรรจบกัน ของอย่างนี้มันถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดแล้ว
หรือจะปล่อยให้เจ้ายาจกนี่พูดจนจบดี
เนี่ยหยุนยิ้มไม่คล้ายยิ้มและกล่าว “ตกลง นายว่ามาฉันกำลังฟังอยู่”
“ต่อให้นายเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโตจากตระกูลชั้นสูงก็ตาม แต่อย่าคิดมาระรานฉัน” กล่าวจบ กู่ฉิงซานก็ลุกขึ้นและก้าวออกจากรถเหินเวหาไปทันที
เหลือเนี่ยหยุนที่นั่งอยู่เพียงลำพัง เขาส่ายหัว “เจ้าคนน่าสมเพช”
จากนั้นก็กดปุ่มที่อยู่บนโต๊ะ
ชายวัยกลางคนที่รออยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามา ก่อนจะก้มหัวลงและกล่าว “นายน้อย”
เนี่ยหยุน “เตรียมการไปถึงไหนแล้ว”
ชายวัยกลางคน “จัดการเรียบร้อยแล้ว”
เนี่ยหยุน “ระวังอย่าให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไป”
ชายวัยกลางคนหัวเราะ “ในบรรดาคนทั้งหมดที่จ้างมา มีหนึ่งคนเป็นมืออาชีพมากที่สุด เขารับประกันว่าจะทำให้มันดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ ต่อให้เกิดการสืบสวนขึ้นก็ตาม แต่สุดท้ายก็จะถูกสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ”
เนี่ยหยุนส่งเสียงหึในลำคอและกล่าวอย่างเย็นชา “ดีมาก ลงมือได้ทันที”
“รับทราบแล้ว” ชายวัยกลางคนก้มลงมองดูนาฬิกา “นายน้อยวางใจไว้ หลังจากนี้ภายในสิบนาที กู่ฉิงซานจะตายลงด้วย ‘อุบัติเหตุ’ ”
........................................