webnovel

The Holy Land บทนำ

"โรเจอร์ โรเจอร์ โรเจอร์" เสียงคนนับร้อยตามโถงทางเดินโรงเรียน ต่างพากันร้องเรียกชื่อโรเจอร์เป็นจังหวะ อย่างปลุกเร้าอารมณ์ หลังจากชายหนุ่มที่ชื่อโรเจอร์ สามารถนำทีมโรงเรียนระดับมัธยมปลายคว้าแชมป์ฟุตบอลระดับประเทศมาได้สำเร็จเมื่อคืนที่ผ่านมา

วาเนสซ่าหันมองไปหากลุ่มเด็กนักกีฬา ที่เดินเรียงแถวกันเข้ามาในตึก เธอหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็นึกหมั่นไส้ชายร่างสูงที่อยู่ตรงกลางไม่ได้ เด็กผู้ชายหลายคนพยายามที่จะเบียดและผลักดันเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเขา ขอจับมือ หรือแม้แต่พยายามให้เขาเซ็นชื่อลงบนเสื้อก็มี บางคนที่อยู่ด้านหลังก็พากันกระโดดตัวลอยเพื่อให้ได้เห็นเขาเช่นกัน

เธอเห็นเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังตั้งอกตั้งใจกับการเขียนชื่อ วาดรูปหัวใจพร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ลงกระดาษ บางคนถึงกับรีบทาลิปติกให้หนาๆ ประทับจูบลงไปในกระดาษด้วย แล้วเมื่อชายหนุ่มที่ชื่อโรเจอร์เดินผ่าน ก็ยื่นให้กับเขา เขาไม่ปฏิเสธกระดาษใบเล็กใบน้อยสักใบ แต่กลับทำท่าทางติดหล่อหน่อยๆ แล้วยัดกระดาษลงในกระเป๋าด้วยความภูมิใจด้วยซ้ำไป

เธอหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างเสียมารยาท เพราะเธอลืมตัวว่าเธอนั้นกำลังอยู่ต่อหน้าครูใหญ่ และวันนี้ก็เป็นวันแรกของเธอกับโรงเรียนนี้

"ขอโทษค่ะ คือหนูไม่ได้ตั้งใจ" เธอรีบขอโทษ แต่เอาจริงๆ แล้ว เธอยังพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วยอยู่เลย ครูใหญ่ขึงขังใส่เธอเล็กน้อย ก่อนจะพาเธอเข้าไปในห้องทำงานเพื่อความเป็นส่วนตัว เพราะที่โถงทางเดินนี้ไม่มีทีท่าว่าเสียงจะเบาลงได้เลย

"เสียงดังหน่อยนะ ปกติไม่เป็นแบบนี้ เรามีระเบียบที่เคร่งครัดพอสมควร แต่เพราะเมื่อคืนเราเพิ่งได้แชมป์มา" ครูใหญ่บอกกับเธอ เธอพยักหน้าแทนการพูด กลัวว่าจะหัวเราะออกไปอีก เพราะเธอยังนึกถึงท่าแอคๆ นั้นอยู่เลย

"เอาล่ะ มาที่เรื่องของเรา ผมแค่อยากจะบอกกับคุณสั้นๆ ปกติผมไม่รับนักเรียนที่ย้ายเรียนกลางคัน" เขาเว้นวรรคนิดนึง ทำท่าทางเข้มงวดแบบกวนๆ เธอจึงรีบตัดภาพนั้นออกไปจากหัว แล้วหันมาสนใจกับสิ่งที่ครูใหญ่กำลังพูดทันที "แต่ผมได้รับอีเมลฉบับนี้ ที่เชิญชวนให้โรงเรียนส่งนักเรียนเข้าแข่งขันเปียโน แล้วดูเงินรางวัลสิ ผมนี่คาดหวังเปียโนตัวใหม่เลย บอกผมสิ ว่าคุณจะชนะ"

"เอ่อ หนูไม่แน่ใจ" เธอตอบ ไม่คิดว่าจะเจอความคาดหวังตั้งแต่วันแรกแบบนี้

"ผมจะบอกอะไรให้นะ โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เด็กที่จะมาเรีนที่นี่ได้ ไม่ใช่ว่าจะมีเงินได้อย่างเดียว ทุกคนที่นี่จะต้องมีความเป็นเลิศ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ถ้าเธอไม่แน่ใจเรื่องการแข่งขันเปียโนครั้งนี้ งั้นบอกฉันหน่อยสิ ว่าเธอมีความเป็นเลิศด้านไหนอีก"

"หนูถนัดเปียโนมากที่สุด แต่ก็เล่นไวโอลินได้ดีด้วยค่ะ ส่วนเครื่องดนตรีอื่นๆ ก็พอลองเล่นได้ค่ะ" เธอตอบด้วยรอยยิ้ม หวังได้รับความเห็นใจจากครูใหญ่

"ถ้าเธอมีเงินพอจ่ายค่าเทอมตลอดสามปี ฉันก็ไม่มีปัญหาที่จะให้เธอได้ลอง แต่นี่เธอมาแบบเป็นนักเรียนทุน โอกาสลองของเธอไม่มีแล้ว โอกาสเดียวที่เธอจะได้อยู่ต่อกับเราคือชนะรางวัลนี้เท่านั้น คุณสมบัติเดียวที่ผมตัดสินใจรับคุณเข้ามาคือเปียโน เพราะฉะนั้นเอารางวัลนี้มาให้ได้"

เธอหุบยิ้มลงทันที นึกภาวนาให้เสียงกริ่งดังขึ้นสักทีเถอะ ไม่งั้นเออาจจะอาเจียนใส่หน้าครูใหญ่ แล้วเดินออกไปหาเสิร์ฟอาหารแทนที่จะได้เรียนโรงเรียนเอกชนสุดหรูแห่งนี้ แล้วเสียงกริ่งก็ดังขึ้นในทันที ครูใหญ่เดินนำหน้าเธอออกไปหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รออยู่หน้าห้องอยู่แล้ว

"นี่จูเลีย ผู้เป็นเลิศทางด้านสติปัญญา เป็นคณะกรรมการนักเรียนที่นี่ จะพาเธอไปเที่ยวชมโรงเรียน ขอให้สนุกกับการเรียนนะ" เขาพูดแบบแฝงนัยยะ แล้วก็เดินกลับเข้าห้องไป

"สวัสดีฉันจูเลีย"

"วาเนสซ่า" เธอตอบ แล้วพูดต่อ "ถามอะไรหน่อยสิ"

"ไม่ต้องถามหรอก เขาเป็นแบบนี้แหละ หน้าที่หลักของเขาคือพยายามทำให้ทุกคนเกลียดเขาตั้งแต่วันแรกน่ะ" ทั้งคู่พากันหัวเราะแล้วเดินจากไป

จูเลียขอวาเนสซ่าดูตารางเรียน แล้วก็หัวเราะออกมาดังลั่น "นี่ครูใหญ่เกลียดเธอขนาดนี้เลยเหรอ"

"ทำไมล่ะ" วาเนสซ่าถามอย่างสงสัย

"ตารางเรียนเธอแทบจะตรงกับพวกนักกีฬาทั้งหมดเลย"

"อะไรนะ อย่าบอกนะว่ากลุ่มเมื่อเช้า โอ๊ยไม่นะ" เธอร้องเสียงหลง ทำเอาจูเลียยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก ก่อนจะพาเดินไปหาห้องต่างๆ จนมาถึงห้องสุดท้ายที่เธอจะต้องเข้าเรียนวันนี้ "พักกลางวันฉันจะมารับเธอที่นี่นะ วันแรกเธอต้องมีเพื่อนกินข้าวใช่ไหม" จูเลียบอกพร้อมรอยยิ้ม ทำให้วาเนสซ่าซาบซึ้งเป็นอย่างมาก

"ขอบใจมากนะ"

"ไม่เป็นไร พร้อมไหม" จูเลียบอก พร้อมกับทำท่าจะเปิดประตูห้องเรียน ที่มีเสียงดังอึกทึกครึกโครมไม่ขาดสาย วาเนสซ่าถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนพยักหน้า ทันทีที่เปิดประตู เสียงในห้องเงียบสนิทลงทันที เธอกวาดตามองไปรอบๆ ห้องเรียน แล้วก็ต้องสะดุดกับหนุ่มฮอตคนนั้น ที่ตอนนี้โดนสาวๆ รุมล้อมอยู่ไม่ห่าง

เมื่อจูเลียเดินนำหน้าเธอเข้าไป ยืนที่หน้าห้อง "สวัสดีทุกคน ฉันอยากแนะนำให้เธอรู้จักกับนักเรียนใหม่ของเรา" แล้วจูเลียก็หันมาหาเธอ "เด็กใหม่ เด็กใหม่ เด็กใหม่" ก่อนที่เธอจะทันได้แนะนำตัวเอง หนึ่งในกลุ่มนักกีฬาก็ตบโต๊ะ พร้อมกับทำท่าทางให้ทุกคนในห้องพูดตามเป็นจังหวะ เธอกัดปากเบาๆ พยายามควบคุมอารมณ์ภายใน ชายหนุ่มที่ชื่อโรเจอร์ก็พอสังเกตุได้ เขายิ้มมุมปาก แต่ไม่พูดอะไร นานอยู่พอสมควรที่ในห้องจะเลิกคำรามคำว่า "เด็กใหม่" แล้วปรบมือกันเกรียวกราว

"ไฮ ฉันชื่อ วาเนสซ่า" เธอโบกไม้โบกมือเล็กน้อย พยายามไม่แสดงอาการไม่พอใจออกมา แล้วกวาดสายตาไปหาทุกคน พลันเธอก็เห็นหนุ่มฮอตคนนั้นนั่งกอดอกและมองเธออย่างสนใจ เธอรีบหันมองไปทางอื่นทันที

"วาเนสซ่า วาเนสซ่า วาเนสซ่า" เจ้าหนุ่มคนเดิมเอาอีกแล้ว คราวนี้เธอเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว จูเลียก็พอสังเกตุได้ เธอจึงยกมือห้ามทุกคน "เฮ้ พวกเธอควรจะต้อนรับวาเนสซ่าดีๆ หน่อยนะ"

"อะไรกัน ต้อนรับไม่ดีตรงไหน นี่เราให้เกียรติเธอมากเลยนะ" เจ้าหนุ่มคนเดิมเถียง จูเลียจึงหันมองไปที่โรเจอร์ เพราะเธอรู้ดีว่าหนุ่มๆ พวกนี้ไม่มีทางฟังเธอแน่นอน และมีเพียงคนเดียวที่กำราบพวกนี้ได้ "โรเจอร์ เธอควรปรามพวกเขาบ้างนะ วาเนสซ่ายังใหม่ที่นี่ ยังใหม่กับเมืองนี้อยู่ด้วย" จูเลียบอก

"มาจากไหนเหรอ" เขาถาม

"โปรตุเกส" เธอตอบสั้นๆ จ้องไปที่โรเจอร์อย่างโกรธๆ ที่ไม่ยอมห้ามเพื่อนๆ ตัวเอง

"เมืองอะไร"

"ปอร์โต" เธอตอบสั้นๆ เริ่มรู้สึกว่าเขาเริ่มกวนเธอแล้ว

"ตอนนี้พักอยู่ไหน" เขาถามอีกแต่เธอไม่ตอบ แล้วถามเขากลับ "โทษที นายชื่ออะไร"

"โรเจอร์" เขาบอก แต่เธอยิ้มแล้วถาม "อะไรนะ"

"โรเจอร์" เขาบอกอีกครั้ง "อะไรนะ พอดีเสียงพวกนายทำเอาหูฉันอื้อไปน่ะ นายชื่อลูซเซอร์เหรอ" พลันเสียงในห้องก็เงียบลงทันที แม้แต่จูเลียก็อ้าปากแล้วรีบเอามือปิดไว้อย่างรวดเร็ว ไม่มีใครเลยจริงๆ ที่กล้าเรียกตัวท็อปของโรงเรียนแบบนี้ กว่าจูเลียจะตั้งสติได้ ก็เป็นตอนที่อาจารย์ประจำวิชาเดินมาแล้ว เธอพูดแนะนำวาเนสซ่ากับอาจารย์อีกเล็กน้อยแล้วเดินออกไป วาเนสซ่าเดินไปหาที่ว่างนั่งลง พร้อมกับรอยยิ้ม ยกแรกเธอชนะใสๆ เลย

"ว้าว นั่นเป็นครั้งแรกที่พ่อกับแม่เจอกันเหรอ โรแมนติกจังเลย" แองเจลิกา กระโดดตัวลอยไปรอบๆ ห้อง หลังจากฟังเรื่องราวของพ่อแม่เธอ "อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นเครื่องแล้วล่ะคลาร่า" แล้วเธอก็กระโดดขึ้นมาบนที่นอน แล้วพับเสื้อผ้าใส่ลงกระเป๋าเดินทางอย่างตื่นเต้น

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเรื่องเล่าของพ่อกับแม่เธอ จากคลาร่า ผู้หญิงที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เธอจำความได้ แม่ของเธอได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังไม่ได้หกเดือนเต็มด้วยซ้ำ แล้วเธอก็ได้ป้าคลาร่าคอยดูแลเธอมาตลอด เธอเกิดและโตที่โบสถ์แห่งนี้ในเมืองปอร์โต ประเทศโปรตุเกส

เธอเกิดและเติบโตมากับโบสถ์ที่นอกจากจะใช้สำหรับศึกษาศาสนา ประกอบพิธีกรรมแล้ว ยังเป็นสถานที่พึ่งพาให้กับเด็กกำพร้ามากมายอีกด้วย ทำให้เธอไม่ได้รู้สึกเสียใจที่ได้ขาดแม่ไป เพราะเด็กเหล่านี้ไม่ได้แตกต่างจากเธอและพวกเขาก็ยังมีความสุขดีในทุกๆ วัน แต่เธอดีกว่าเด็กเหล่านี้ตรงที่เธอยังมีพ่อ พ่อที่มาหาเธอทุกวันเกิด และวันที่ครบรอบการเสียชีวิตของแม่เธอ ทุกปีเมื่อพ่อมาหา พ่อเธอจะมีหน้าที่รับฟัง และเธอจะเป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียว เธอเคยถามถึงเรื่องแม่ครั้งหนึ่ง พ่อมีอาการเครียด แล้วทำให้บรรยากาศเสียไปทันที ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่เคยถามถึงแม่อีกเลย

เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ เครื่องมือสื่อสารใดๆ แม้กระทั่งอินเตอร์เน็ตเพื่อติดต่อพ่อของเธอ เธอจะใช้สิ่งเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อเรียนหนังสือเท่านั้น แน่นอนเธอได้รับการศึกษา เมื่อเธอยังเด็ก เธอได้แม่ชีและคลาร่าคอยสอนหนังสือ เธอสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตด้วยภาษาโปรตุเกส เมื่อเธอสามารถสอบวัดผลผ่านการศึกษาระดับมัธยมปลายแล้ว เธอจึงต้องเรียนต่อระดับวิทยาลัย เธอจึงต้องใช้ระบบอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ทำให้ได้รู้ว่าโลกใบนี้มีอะไรรอเธออยู่อีกตั้งมากมาย เธอไม่ค่อยได้ออกไปจากโบสถ์แห่งนี้ จะออกไปก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นเกี่ยวกับราชการเท่านั้นเอง

เธอไม่มีเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันอย่างเช่นคนอื่น เธอมีเด็กกำพร้า มากหน้าหลายตาเป็นเพื่อนของเธอ และวันหนึ่งเด็กเหล่านั้นก็จะออกไปจากโบสถ์เมื่อได้รับการอุปถัมภ์จากพ่อแม่บุญธรรม แล้วนั่นทำให้เธอไม่เคยเหงาเลยแม้แต่วันเดียว

เมื่อเธอเรียนจบเธอได้รับการแจ้งข่าวจากแม่ชีว่าเธอต้องออกไปจากโบสถ์แห่งนี้ ไปอยู่กับพ่อของเธอที่เมืองริโอ เดอ จานเนโร ประเทศบราซิล แถบละตินอเมริกา แน่นอนว่าเธอรู้สึกใจหายที่จะต้องจากที่นี่ไป แต่การที่จะได้อยู่กับพ่อของเธอทุกวันก็ทำให้อดตื่นเต้นไม่ได้ด้วยเช่นกัน

หลังจากได้รับการแจ้งข่าวว่าเธอจะได้กลับไปอยู่กับพ่อ คลาร่าก็เริ่มเล่าเรื่องแม่เธอให้ฟังบ้างแล้ว นั่นยิ่งทำให้เธอตื่นเต้นเข้าไปอีก "รออีกนิดนะ ริโอ พรุ่งนี้แองเจลิกาจะไปหาแล้ว ขอให้พระเจ้าคุ้มครองพวกเราด้วยเถอะ" เธอบอกด้วยรอยยิ้ม แล้วลงมือจัดกระเป๋าเดินทางต่อไป

"วู้ ปิดจ็อบสักที สองอาทิตย์เต็มๆ กว่าจะจัดการได้ วันนี้ฉันต้องไปฉลองสักหน่อย" โรแบโตโยนกุญแจรถให้ดิเอโกแล้วรีบออกจากตึกอย่างรวดเร็ว

"ดึกแล้ว นายยังจะไปอีกเหรอ" ดิเอโกถามคนนั่งข้างๆ เมื่อเข้ามานั่งในรถและติดเครื่องยนต์ เสียงคำรามของเครื่องยนต์ซุปเปอร์คาร์ดังอย่างเร้าใจ แล้วก็แล่นไปตามถนน มุ่งสู่เมืองหลวงด้วยความเร็ว

"เครียดมาหลายวันแล้ว ขอไปคลายเครียดหน่อยเถอะ" โรแบโตตอบ คลายเนคไทออก แล้วถูมืออย่างตื่นเต้น

"พรุ่งนี้ต้องเข้าโบสถ์แต่เช้านะ" ดิเอโกเตือน

"ใช่ไง คืนนี้ถ้าฉันทำบาป พรุ่งนี้ก็พร้อมจะสารภาพทันทีเลย" แล้วเขาก็หัวเราะออกมาดังลั่น ทำเอาคนขับก็หัวเราะตามไปด้วย "นายจะไปแถวไหน ให้ฉันไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า"

"แถวชายหาดโคปาคาบาน่า ไม่ต้องห่วง ฉันเดินกลับห้องถูกน่า" ผู้โดยสารย้ำอีกครั้ง แล้วก็ตัดบนสนทนาด้วยการเปิดเพลงเสียงดังลั่น แล้วปรับเบาะพร้อมนอนทันที คนขับได้แต่ส่ายหัว

ดิเอโกเริ่มชะลอรถลงเมื่อเข้าใกล้เขตเมืองหลวงมากขึ้น เขาเอื้อมมือไปปิดเครื่องเสียง "ฉันกำลังฟังอยู่" โรแบโตงัวเงียพูด ทั้งๆ ที่ตัวเองหลับไปแล้วแท้ๆ

"ถึงด่านตรวจแล้ว" ดิเอโกพูด เขาลดกระจกทั้งสองด้านลง ทำเอาคนข้างๆ เด้งตัวลุกขึ้นมาทันที "โธ่ ไม่เอาน่า นู่นนายเห็นทางนู้นไหม ทางที่ใช้สำหรับบุคคลสำคัญน่ะ นายหัดใช้ทะเบียนรถที่มีคำว่า 'อัลเวส' ให้เป็นประโยชน์หน่อยไม่ได้หรือไง นายนี่มันเป็นคนดีจริงๆ" โรแบโตโวยวาย โดยไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้มีตำรวจยืนอยู่ฝั่งที่เขานั่งแล้ว "ใช่ แล้วนายก็ควรจะเอาเยี่ยงอย่างด้วย" ตำรวจผู้นั้นตอบเสียงเข้ม โรแบโตชะงักไปทันที เขาค่อยๆ หันไปหาตำรวจที่อยู่ด้านข้าง ที่กระดิกนิ้วรอเป็นการส่งสัญญาณให้เขาส่งเอกสารแสดงตัวกลับไป

"โรแบโต อัลเวส" ตำรวจหนุ่มอ่านชื่อตามบัตร อันที่จริงเขาอ่านชื่อนี้ซ้ำมาสองอาทิตย์แล้ว "ดื่มมาหรือเปล่า"

"เปล่า" โรแบโตตอบห้วนๆ

"ฉันเห็นนายหลับมา" ตำรวจพูด

"ไม่เอาน่าจ่าแดเนียล ผมเลิกงานห้าทุ่มเที่ยงคืนมาสองอาทิตย์แล้ว และผมกลับทางนี้ทุกวันนะ จ่าแดเนียลก็เห็น ผมไม่ได้เมาเลยสักวันเดียว" โรแบโตโวยวาย

"แล้วไง ถ้านายใช้ทางนี้อีกหนึ่งเดือน ฉันก็ต้องเรียกตรวจนายอีกหนึ่งเดือนเหมือนกัน" ตำรวจบอก โรแบโตทำท่าจะเถียงอีกครั้ง "นายอยากลงมาสูดอากาศจากบนถนนหน่อยไหม" ตำรวจถาม ทำเอาโรแบโตหุบปากลงทันที เมื่อเขาเงียบเสียงลง ตำรวจจึงส่งกระเป๋าสตางค์กลับมาให้

"บางทีถ้านายเรียกลองเรียกเขาว่านักสืบแดเนียล นายอาจจะไม่โดนเรียกอีกเลยก็ได้นะ" ดิเอโกบอก เมื่อรู้ๆ กันอยู่ว่านายตำรวจคนนี้พยายามสอบเข้าหน่วยสืบสวนอยู่

"ไม่เอา แบบนี้แหละสนุกดี" แล้วสองหนุ่มก็พากันหัวเราะพร้อมกันอีกครั้ง

"นายจะกลับห้องเลยไหม" โรแบโตถาม เมื่อรถจอดลงที่ชายหาด

"ยัง ว่าจะขึ้นไปทิชูกาก่อน" ดิเอโกบอก แล้วขับออกไปทันที เขาลัดเลาะไปตามรอบเมืองใหญ่ ลดกระจกลง เปิดหลังคา เขาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด เมื่อรถเริ่มเลี้ยวเข้าสู่บริเวณเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เขาแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ เป็นอีกหนึ่งแห่งที่มีชื่อเสียง แต่อาจจะไม่โด่งดังอย่างชูการ์ลอฟเมาน์เทน หรือภูเขากอร์โกวาดู เพราะที่นี่แม้ว่าจะมีวิวที่สวย มีน้ำตก มีมุมภูเขาสูงที่สามารถมองเห็นเมืองริโอ แต่ก็ต้องแลกด้วยเหงื่อและต้องทนกับความร้อนของอากาศด้วย แต่เขาชอบมาที่นี่ เพราะผู้คนไม่พลุกพล่าน และภูเขาแห่งนี้ยังสามารถมองเห็นทุกโซนของเมืองได้อีกด้วย

เมื่อเขามาถึงประตูก็ปิดไปแล้ว เพราะที่นี่จะเปิดแปดโมงเช้าและปิดห้าโมงเย็น และต้องจอดรถแค่บริเวณประตูนี้เท่านั้น และหลังจากนั้นนักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นไปเอง แต่สำหรับเขาแล้ว สามารถขึ้นได้เมื่อไหร่ก็ได้ตามใจต้องการ และได้รับอนุญาตให้ขับรถขึ้นไปด้านบนได้ เพราะเขาคืออัลเวสนั่นเอง

มีเจ้าหน้าที่มาเปิดประตูให้ "ขอโทษที่รบกวนตอนดึกนะครับ" ดิเอโกบอก แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึงอะไร แต่ยิ้มให้อย่างใจดีอีกด้วย เขาขับรถขึ้นไปจนสุดทาง เปลี่ยนรองเท้า และหยิบไฟฉายอันใหญ่ติดตัวไป เพราะด้านบนมืดสนิทมากแล้ว เขาเดินมาจนถึงหน้าผาหิน จุดนี้เป็นจุดที่เขาชอบมากที่สุด เขามองดูเมืองใหญ่แห่งนี้ ริโอ เดอ จานเนโร เมืองที่เขาเกิดและเติบโต เมืองแห่งนี้สวยงามสำหรับเขาเสมอ ยิ่งเป็นกลางคืน แสงไฟนีออนหลายสี สาดส่องไปทั่วเมือง ไม่ว่าใครก็ต้องตกหลุมรักเมืองนี้ด้วยกันทั้งนั้น

เขามองไปที่ใจกลางเมือง มีพระคริสต์องค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ที่นั่น วันนี้มีแสงไฟสีเหลืองนวลสาดส่องที่องค์ท่าน แต่ละวันก็จะสลับและเปลี่ยนสีเปลี่ยนแสงไปเรื่อยๆ ตามช่วงเทศกาล งาน หรือเหตุการณ์สำคัญของเมือง พระคริสต์องค์นี้ ถูกสร้างขึ้นมาเกือบร้อยปีแล้ว จากข้อเสนอของกลุ่มคาทอลิคกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการสร้างรูปปั้นบนภูเขาที่สูงที่สุดของเมือง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขาต้องการสันติภาพ ดังนั้นจึงมีการเลือกรูปปั้นของพระคริสต์ผู้ไถ่ขึ้นมา โดยที่พระหัตถ์ยื่นออกไปด้านข้าง ถ้ามองจากระยะไกล จะเหมือนไม้กางเขนอันหนึ่งเลยก็ว่าได้

รูปปั้นพระคริสต์นี้สร้างขึ้นบนภูเขากอร์โกวาดูด้วยเงินบริจาค ส่วนใหญ่มาจากชาวบราซิลคาทอลิค ซึ่งเป็นคนท้องถิ่น และบางส่วนมาจากนักธุรกิจหรือผู้อพยพอื่นที่ต้องการให้เมืองนี้เกินสันติภาพและความสงบสุขจากสองตระกูลใหญ่ของเมือง ดังนั้นหากจะบอกว่า รูปปั้นพระคริสต์นี้ถูกสร้างมาเพื่อคนสองตระกูลก็คงไม่ผิดอะไร คือตระกูลอัลเวสของเขา และตระกูลเปเลซ อีกหนึ่งตระกูลดังของเมือง

คนเก่าแก่เคยเล่าให้เขาฟังว่าอัลเวสกับเปเลซนั้นเป็นศัตรูกัน ทะเลาะวิวาทต่อยตีกันจนทำให้บ้านเมืองเกือบล่มสลาย บ้านเมืองถูกเผาไม่เหลือชิ้นดี ต่อยตีกันกลางเมืองเหมือนสงครามกลางเมืองไม่มีผิด เศรษฐกิจแย่ มีแต่อาชญากร ตำรวจ ทหาร นักการเมือง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันชัดเจน จนไม่มีนักลงทุนคนไหนอยากมาลงทุนที่นี่ เมื่อรูปปั้นสร้างเสร็จ บาทหลวงของยุคนั้น ได้เรียกผู้นำของสองตระกูลเข้าไปเจรจาหาข้อยุติ เมื่อได้ข้อยุติแล้ว บาทหลวงยังให้ทั้งสองตระกูลปฏิญาณตนต่อหน้าพระคริสต์ผู้ไถ่นี้ร่วมกัน ว่าจะไม่ก่อสงครามขึ้นมาอีก และจะช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองนี้ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งการปฏิญาณตนนี้จะต้องมาทำทุกวันอาทิตย์ ณ สถานที่แห่งนี้สืบไปชั่วลูกชั่วหลานอีกด้วย

สงครามระหว่างสองตระกูลจึงได้ลดลง แต่... มันก็แค่ลดลงเท่านั้น ยังคงมีเหตุการณ์ตะลุมบอนกันอยู่เรื่อยๆ สองตระกูลออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ทุกคนในเมืองก็รู้ดีว่าอย่างไรก็แล้วแต่ สองตระกูลนี้ก็มีเอี่ยวแน่นอน แต่ก็ยังดีที่ไม่เผาและทำลายสถานที่สำคัญๆ เหมือนเมื่อก่อน และเมื่อยามที่บ้านเมืองมีภัย ประสบปัญหา สองตระกูลนี้ก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มใจ และพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าอย่างที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้จริงๆ

เขารู้มาว่าปัญหาของสองตระกูลยุติลงเมื่อสามสิบปีก่อนนี้เอง ในยุคที่พ่อเขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของอัลเวส ซึ่งนับว่าเขาโชคดีมาก ที่ปัญหานี้หมดไปก่อนที่เขาจะเกิด ดีใจที่ไม่ต้องมาเห็นเมืองที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม เขาคงเสียใจมากหากว่าเมืองนี้ถูกเผาและทำลายด้วยมือของคนในท้องถิ่นกันเอง

อย่างไรก็ตาม จนทุกวันนี้สองตระกูลก็ยังไม่เคยญาติดีต่อกัน แม้แต่พ่อเขาเองก็ยังคงระแวงเปเลซอยู่เรื่อยมา และตราบใดที่อีกฝ่าย ไม่ยื่นหัวแม้เท้าล้ำเส้นของอีกฝ่าย เมืองก็ยังคงจะสงบสุขเช่นนี้ต่อไป

สองฝ่ายพยายามเลี่ยงการพบปะกันอย่างจงใจ เนื่องจากสองตระกูลต่างทำธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากว่าผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองต้องการเข้าพบเพื่อปรึกษาและพัฒนาบ้านเมือง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องนัดวันและเวลากันให้ดี จะไม่มีการนั่งร่วมโต๊ะกันเด็ดขาด จะมีเพียงแค่ภูเขากอร์โกวาดูนี้เท่านั้นที่สองตระกูลนี้ยอมใช้ร่วมกัน กระทั่งเข้าสู่ยุคผู้นำคนปัจจุบัน มีการพูดคุยกันว่านายหญิงของตระกูลเปเลซเสียชีวิตพร้อมกับลูกที่เพิ่งคลอด โรเจอร์ เปเลซ ก็ไม่เคยศรัทธาในพระเจ้า และไม่เคยเหยียบขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้อีกเลย

ตามผังเมืองของริโอ เดอ จานเนโรจะมีทั้งสิ้นสี่โซน คือโซนใต้ โซนเหนือ โซนกลาง และโซนตะวันตก

โซนตะวันตก เป็นโซนที่ใหญ่ที่สุด กินพื้นที่มากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของริโอ โซนนี้เต็มไปด้วยโบราณสถานมากมาย และยังมีธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย อุทยานแห่งชาติทิชูกาที่เขากำลังนั่งอยู่นี้ก็อยู่ในโซนตะวันตกด้วยเช่นกัน

โซนตะวันตก มีทะเลที่ค่อนข้างเงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่านเหมือนโคปาคาบาน่าหรืออิปาเนม่า เขาค่อนข้างชอบทะเลฝั่งนี้มากทีเดียว แต่เสียดายที่ฝั่งนี้เป็นย่านของเปเลซ เขาจึงไม่ได้มีโอกาสมาที่นี่ได้บ่อยนัก

โซนตะวันตกเคยถูกสร้างเป็นพื้นที่สำหรับมหกรรมกีฬาของโลกอีกด้วย เสียดายที่ตอนนี้ถูกปล่อยทิ้งร้าง ไม่ได้มีการพัฒนาต่อยอดอย่างที่ควรจะเป็น เพราะบรรดานักการเมืองทั้งหลายที่ห่วงแต่เกมการเมือง ไม่ได้สนประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่เร็วๆ นี้เขาได้ข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนพื้นที่โอลิมปิคพาร์คนี้เป็นโรงเรียน ซึ่งเขาก็ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น เพราะหากปล่อยให้ทิ้งร้างไปเรื่อยๆ มันก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหลือเกิน

โซนนี้นับว่ามีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดีมาก ต้องยกความดีนี้ให้กับครอบครัวเปเลซ ที่พัฒนาโซนนี้ สร้างโรงงานอุตสาหกรรมมากมาย สร้างงานสร้างอาชีพ จนกลายเป็นย่านที่มีประชากรมากที่สุดของเมืองไปแล้ว โดยเฉพาะโรงงานถลุงเหล็กที่เปเลซมีแผนการที่จะขยายให้ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้อีกด้วย

ถัดขึ้นมาโซนเหนือ ไกลสุดลูกหูลูกตาคือท่าเรือริโอ เดอ จานเนโร ซึ่งเป็นที่ที่เขาเพิ่งจากมานั่นเอง ท่าเรือนี้เป็นธุรกิจของครอบครัวเขา เป็นท่าเรือที่มีความพลุกพล่านเป็นอันดับที่สามของประเทศเลยทีเดียว และยังเป็นศูนย์กลางสำหรับเรือสำราญอีกด้วย

ถัดมาก็จะเป็นสนามบินนานาชาติ มีมาราคาน่าสเตเดี้ยมซึ่งเคยเป็นสนามกีฬาที่มีความจุมากที่สุดในโลก สามารถรองรับผู้คนได้เกือบสองแสนคน ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่มีรูปปั้นของเปเล่ ผู้ซึ่งเป็นตำนานของฟุตบอลทีมชาติบราซิล และยังเป็นที่ตั้งของฟาวีล่า สลัมที่โด่งดังที่สุดของโลกอีกด้วย

สลัมแห่งนี้ มีบ้านหลายหมื่นหลังคาเรือน ตั้งแต่เนินเข้าด้านล้าง จนไปถึงยอดเขาด้านบน หลังเล็ก ใหญ่ สลับกันไป แสงไฟสีขาวสีเหลืองสลับกันไปดูสวยงาม แต่ความสวยงามนี้ช่างอันตรายเหลือเกิน เมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีอาชญากรรมเยอะที่สุดในโลกก็เพราะหมู่บ้านนี้ ก่อนหน้านี้เคยมีผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปที่ชุมชนแห่งนี้ แม้แต่ครอบครัวเขาเองก็ตาม

ขึ้นไปด้านบนของโซนเหนือจะเป็นโซนกลางหรือดาวน์ทาวน์ เป็นโซนที่มีพื้นที่น้อยที่สุด ย่านนี้เป็นย่านธุรกิจ มีสถาบันการเงินมากมาย และสำนักงานต่างๆ รวมทั้งสำนักงานของครอบครัวเขาก็ตั้งอยู่ที่นี่ด้วย กลางวันจะเต็มไปด้วยนักธุรกิจ และนักลงทุนมากมาย

เขามองไปที่โซนสุดท้ายของเมือง โซนทางใต้ เขาและครอบครัวอาศัยอยู่ที่ฝั่งนี้ จุดเด่นของฝั่งนี้คือชายหาด ที่นี่มีชายหาดที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทุกปีใหม่จะมีการจัดงาน ผู้คนหลายล้านคนจะแห่แหนกันมาที่นี่

ชายหาดโคปาคาบาน่า ชายหาดอิปาเนม่าและชายหาดเลบลอน เป็นชายหาดติดกันระยะทางรวมกันมากกว่าห้าไมล์ มีเรือยอร์ชมากมายจอดอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติค เขามองโรงแรมสูงสามสิบกว่าชั้น ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างหาดโคปาคาบาน่ากับหาดอิปาเนม่า นั่นเป็นโรงแรมจากน้ำพักน้ำแรงของเขากับโรแบโต โดยที่ชั้นบนสุดของตึกทั้งชั้นถูกดัดแปลงให้เป็นที่อยู่ของพวกเขาเอง

เขามองไปที่ชายหาดเลบลอน ป่านนี้ลูกพี่ลูกน้องของเขาคงสนุกสุดเหวี่ยงอยู่นั่น เพราะที่นั่นขึ้นชื่อเรื่องชีวิตกลางคืนเป็นอย่างมาก มีแหล่งสถานบันเทิงมากมาย เหมาะกับการปาร์ตี้มากๆ

ก่อนหน้านี้สถานบันเทิงเหล่านี้เป็นของตระกูลเปเลซ แต่มันได้ถูกเปลี่ยนมือมาเป็นของตระกูลเปเรร่า ซึ่งนี่ถือเป็นอีกประเด็นที่พ่อของเขายังคงหวาดระแวงตระกูลเปเลซ เพราะความสัมพันธ์ที่สองตระกูลนี้มีให้กันนั่นเอง เปเรร่าเป็นผู้มีอิทธิพลทางด้านสื่อ เขาเป็นเจ้าของสำนักข่าวที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแห่งนี้ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการแฉ เขากระชากหน้ากาก นักการเมือง ทหาร ตำรวจ รวมถึงคนดังมานักต่อนัก แน่นอนอย่างที่ทุกคนรู้ สิ่งที่เปเรร่าได้มานั้นล้วนมาจากการเล่นใต้ดินทั้งสิ้น แต่เขาไม่เคยสนใจ ขอแค่ให้เขาขายข่าวได้ มีเงินเข้ากระเป๋าก็พอแล้ว

พ่อเขาไม่ชอบเปเรร่าเลย เพราะเปเรร่าชอบลงข่าวไปในทางแย่ๆ ให้กับครอบครัวของเขา แต่พ่อเขาก็ไม่เคยสนใจ พ่อไม่อ่านข่าว และไม่คิดจะแก้ข่าวใดๆ ทั้งสิ้นอีกด้วย เพราะไม่ต้องการให้เปเรร่าขายข่าวได้ต่อเนื่องนั่นเอง

ครอบครัวอัลเวสทำธุรกิจมากมายในโซนใต้นี้ ผู้คนจึงยกให้พ่อเขาเป็นผู้มีอิทธิพลที่สุดในโซนใต้ เขาเองก็เป็นอีกคนที่ผู้คนในเมืองให้ความสนใจไม่น้อย เพราะถ้าพ่อเขาวางมือเมื่อไหร่ เขาก็ต้องก้าวเข้ามาแทนที่เมื่อนั้น

เขามั่นใจว่าเขาสามารถนำพาเมืองนี้ไปสู่ความศิวิไลซ์ได้ ไม่แพ้ยุคพ่อของเขาแน่นอน ทุกวันนี้เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงาน เพื่อสืบสานงานต่อในอนาคต และยังเพื่อลดทอนความเหงาของตัวเองลงไปด้วย

เขาเกิดและเติบโตมาโดยที่มีคนมากมายรายล้อมตลอด เขามีพ่อที่คอยสั่งสอนและเป็นที่ปรึกษา เขามีแม่ที่คอยห่วงใย เขามีลูกพี่ลูกน้องอย่างโรแบโตที่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา และคอยทำให้เขาหัวเราะได้เสมอๆ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นมันก็ไม่ได้เติมเต็มสิ่งที่เขาต้องการเลยสักนิดเดียว

เขามีผู้หญิงมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต แต่พวกเธอเหล่านั้นก็ไม่ได้ช่วยทำให้ความรู้สึกนี้ของเขาหายไปได้เลย เขาเคยพยายามหลากหลายวิธีตามที่โรแบโตบอก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เขาพยายามมองข้ามข้อเสียของเธอเหล่านั้น แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่มีความสุขกับพวกเธออยู่ดี จนเขาล้มเลิกความพยายามไปในที่สุด

เขาลุกขึ้นยืน มองเมืองริโอยามค่ำคืนอีกครั้ง และมองกลับไปที่พระคริสต์บนยอดเขา นึกตลกขึ้นมา "พระเจ้ามีจริงไหมนะ" เขาหัวเราะเบาๆ เขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องพระเจ้าเท่าไหร่ เพราะเขาเคยเป็นทหารแนวหน้าอยู่สามปี เพื่อนร่วมรบหลายคนไม่ได้กลับบ้าน ทั้งที่สวดภาวนามากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำไป สายลมวูบหนึ่งปะทะที่ร่ายกายเขา เขาเซตามลมเล็กน้อยแต่ก็แค่วูบเดียวเท่านั้น เขาสงสัยกับสายลมนั้นนิดหน่อยก่อนจะพูดว่า

"ถ้าท่านมีจริง ส่งเธอมาให้ผมหน่อยได้ไหม ผมจะยอมเข้าโบสถ์สวดมนต์ทุกอาทิตย์ตลอดชั่วชีวิตของผมเลย" คราวนี้ลมพัดแรงต่อเนื่อง เขากางแขนคล้ายพระคริสต์ผู้ไถ่แล้วหลับตาปล่อยให้ร่างกายปะทะกับสายลมนั้น เขาจะรู้ไหมนะว่าพระเจ้าทรงรับคำท้าทายนั้นแล้ว