webnovel

The Holy Land ตอนที่ 1

แองเจลิกาตื่นเต้นกับบ้านใหม่ของเธอมาก บ้านที่อยู่บนเนินเขาสูง สามารถเห็นโซนตะวันตกของเมืองได้ทั้งหมด ด้านหลังบ้านเป็นภูเขาในอุทยานแหน่งชาติทิชูกา มองไปไกลอีกหน่อยจะเห็นทะเลสุดลูกหูลูกตา

บริเวณบ้านจะมีบ้านหลังใหญ่ด้านหน้า ซึ่งทำเป็นทั้งที่พักอาศัยและที่ทำงานส่วนตัวของพ่อ เธอไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่บ้านหลังใหญ่ ซึ่งพ่อของเธอให้เหตุผลว่าบ้านหลังใหญ่นี้ใช้เป็นที่ทำงานและเอาไว้รับแขก อาจจะไม่สะดวกสำหรับเธอ ซึ่งเธอไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยสักนิดเดียว พ่อยกบ้านหลังเล็กๆ ให้ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังบ้านหลังใหญ่ เธอหลงรักบ้านหลังนี้มาก เพราะเป็นบ้านพักที่พ่อกับแม่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

เธอเห็นข้าวของมากมายของแม่ รูปภาพของแม่มากมายเต็มฝาผนัง ตั้งแต่แม่ยังอยู่มัธยมปลาย ถึงระดับมหาวิทยาลัย รูปแม่ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือ แม่กำลังเล่นเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด แม่ใส่ชุดกีฬาสีขาวในมือถือไม้แร็กเกต รวมเป็นถึงรูปสวยๆ ของแม่ที่ถูกถ่ายโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย เธอตลบผ้าสีขาวผืนใหญ่ที่คลุมเปียโนตัวเก่าและมีไวโอลินวางไว้ด้วยกัน ซึ่งเธอก็คาดเดาว่ามันต้องเคยผ่านมือของแม่เธอมาแล้วแน่ๆ เธอจับมันเบาๆ น้ำตารื้อ หันไปมองคลาร่าที่ร้องไห้ออกมา "ฉันคิดถึงแม่ของหนูเหลือเกิน" คลาร่าบอก แล้วก็ปล่อยโฮออกมา "เธอเคยเล่นเปียโนในโบสถ์ มันไพเราะมาก เหมือนทุกคนกำลังต้องมนต์สะกดของเธอ" แองเจลิกายิ้มทั้งน้ำตา เธอหันไปมองรูปแม่เธออีกครั้ง ไม่แปลกใจเลยทำไมพ่อของเธอได้รักแม่ของเธอขนาดนี้

เธอกับพ่อไม่ได้พูดเรื่องแม่กันบ่อยนัก เพราะพ่อยังทำใจไม่ได้ที่แม่จากไปแม้ว่าจะผ่านมาได้ยี่สิบกว่าปีแล้วก็ตาม ยิ่งเธอได้มาเห็นรูปถ่ายมากมาย และเรื่องราวความรักที่พ่อมีต่อแม่ตามที่คลาร่าเล่าให้ฟัง ทำให้เธอยิ่งเข้าใจว่าทำไมพ่อของเธอถึงไม่ยอมรับผู้หญิงคนใหม่เข้ามาแทนที่แม่สักที

เธอเดินต่อไปชั้นสอง มีห้องนอนใหญ่อยู่ เธอเดินเข้าไปสำรวจ เตียงนุ่มสีขาว โต๊ะกระจกเก่า ยังคงมีของใช้ผู้หญิงวางอยู่ มันได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดี แม้ว่าจะไม่มีใครได้ใช้มันเป็นสิบๆ ปีแล้วก็ตาม เธอคว้ากระจกทรงกลมบานเล็กที่คว่ำอยู่ขึ้นมาส่องหน้า เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่ภาพสะท้อนออกมานั้นเหมือนกันกับรูปภาพของแม่เธอสมัยยังสาวไม่ผิดเพี้ยน เธอยิ้มกับกระจก หยิบหวีขึ้นมาสางผมเล็กน้อย "ฉันกลับมาบ้านแล้ว" เธอพูดกับมันเบาๆ

"พ่อคะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์แล้ว" เธอคุยกับบิดา ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน

"เร็วนะ มาอยู่นี่ได้อาทิตย์นึงแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง"

"ดีค่ะ หนูชอบที่นี่มาก ความรู้สึกเหมือนได้อยู่กับแม่เลยค่ะ" เธอพูดไปตามความจริง ทำเอาพ่อของเธอชะงักไปนิดนึง แล้วเธอก็พูดต่อ "ที่บ้านเราไม่มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าเลยเหรอคะ"

"ไม่มี อย่างที่พ่อเคยบอก พ่อเคยสาบานเอาไว้ว่าวันไหนที่พ่อกลับไปสวดมนต์อีก วันนั้นจะเป็นวันตายของพ่อ หนูอยากให้พ่อตายอย่างนั้นเหรอ" คราวนี้พ่อเธอวางช้อนลง ส่ายหน้า แล้วคำรามเสียงแหบพร่าออกมา "พ่อเลิกศรัทธาในพระเจ้าตั้งแต่แม่ของลูกตาย ถ้าเขามีจริงเขาก็ไม่ควรพรากความรักของพ่อไป"

"แต่ความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้น แม้แต่พระเจ้าเองก็ยังต้องตาย" เธอบอกกับพ่อ

"เขาสมควรแล้ว" โรเจอร์คำรามออกมา ดวงตาแดงก่ำ ทำเอาแองเจลิกาตะลึงไปทันที เธอรู้มาเสมอ ว่าพ่อของเธอไม่เคยเข้าหาพระเจ้า แต่ก็ไม่คิดว่าพ่อของเธอจะมีอารมณ์รุนแรงขนาดนี้

"พรุ่งนี้วันอาทิตย์ หนูแค่อยากมาขออนุญาตออกไปโบสถ์" เธอเสียงอ่อนลง

"ไม่ พ่อไม่อนุญาต" โรเจอร์ตอบแล้วเดินออกไปทันที แองเจลิกาได้แต่มองตามพ่อ แล้วก็ปิดหน้าร้องไห้

คลาร่าเดินตามโรเจอร์ไปถึงห้องทำงานส่วนตัว เธอผลักประตูเข้าไปโวยวายเขา "คุณใจร้ายกับเธอมากเกินไปแล้ว"

"ผมเครียดเรื่องงานพอแล้ว อย่าให้ผมต้องมาเครียดกับเรื่องไร้สาระเลย คุณกลับไปดูแลแองเจลิกาดีกว่า" โรเจอร์บอก แม้ว่าจะพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่เสียงร้องไห้ของลูกสาวยังวนเวียนอยู่ในหัว

"เธอแค่อยากไปโบสถ์" คลาร่าบอก

"นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมให้ไม่ได้ คุณกลับไปเสีย" โรเจอร์ไล่คลาร่าอีกครั้ง

"ฉันถามหน่อย คุณให้เธอมาที่นี่เพื่ออะไร"

"วาเนสซ่า" โรเจอร์ตอบ "ตามคำขอของวาเนสซ่า" เขาหันหลังให้คู่สนทนา ไม่อยากให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอ ทุกครั้งที่พูดถึงคนรักที่จากไป "วาเนสซ่าต้องการให้ลูกของเธอมีความสุข ไม่ใช่เปลี่ยนจากคุกในโบสถ์ที่โปรตุเกส มาเป็นอีกคุกในคฤหาสถ์หลังนี้" คลาร่าเว้นวรรคนิดหนึ่ง เมื่อคู่สนทนาไม่ได้พูดอะไรเธอจึงพูดต่อ "แองเจลิกาเป็นเด็กดีมาตลอด เธอรู้ว่าคุณยังเสียใจกับการจากไปของวาเนสซ่า เธอจึงไม่เคยพูดให้คุณเสียใจ แม้ว่าในใจของเธอจะเจ็บช้ำไม่แพ้คุณเลยก็ตาม คุณบอกให้เธอเรียน เธอก็เรียน คุณบอกให้เธอคอย เธอก็คอย เธอคอยมายี่สิบกว่าปี เพื่อจะได้กลับบ้าน เธอทำตามที่คุณสั่งทุกอย่าง แต่ตอนนี้แค่เธอขอไปโบสถ์ คุณกลับปฏิเสธอย่างไม่ใยดี คุณเป็นพ่อภาษาอะไรกัน"

"อย่าดูถูกผมอย่างนี้ ถ้าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย" โรเจอร์หันมาตะคอกด้วยความโกรธจัด "ผมเป็นพ่อที่ทำทุกอย่างเพื่อเธอ พ่อที่ยอมสร้างข่าวลือว่าเธอตายไปพร้อมกับแม่ในโบสถ์ที่ไฟไหม้ คุณคิดว่าผมไม่เสียใจเหรอที่ได้เจอลูกแค่ปีละสองครั้ง ผมไม่เคยดีใจเลย แต่ผมต้องเสียสละเพื่อไม่ให้ดูเป็นพิรุธว่าทำไมต้องไปที่โปรตุเกสบ่อยๆ"

"ผมรู้จักเมืองนี้ดีกว่าใคร รู้จักผู้คนในเมืองนี้ดีกว่าวาเนสซ่า เธอคงเล่าแต่สิ่งดีดีให้คุณฟังสินะ" เขาพูดเยาะ "ผมจะบอกให้ เมืองนี้มันเน่าเฟะ คนเลวอยู่กันเต็มไปหมด มีแต่คนจ้องจะหาผลประโยชน์ ถ้าผมไม่ปล่อยข่าวลือว่าแองเจลิกาตาย เธอไม่มีทางอยู่มาได้ถึงยี่สิบกว่าปีแน่"

"ฉันยอมรับ ว่าฉันไม่รู้เรื่องของพวกคุณมากนัก" คลาร่าเสียงอ่อนลง เมื่อรับรู้ว่าโรเจอร์ก็เจ็บปวดไม่น้อยเหมือนกัน "แต่ฉันอยากให้คุณลองนึกถึงแองเจลิกาเยอะๆ เธอเสียแม่ไปแล้ว ฉันอยากให้คุณเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับเธอ คุณทำหน้าที่พ่อที่ปกป้องลูกได้ดีที่สุดในโลกแล้ว แต่คุณช่วยทำหน้าที่แม่แทนวาเนสซ่าหน่อยได้ไหม วาเนสซ่าอยากเลี้ยงลูกแบบไหน อยากจะสอนลูกให้เป็นคนอย่างไร คุณน่าจะรู้ดีที่สุด วาเนสซ่าเป็นคนที่ศรัทธาในพระเจ้ามาก แองเจลิกาถูกเลี้ยงและเติบโตมาในโบสถ์ เธอก็ซึมซับพวกนี้ไปไม่ได้น้อยเหมือนกัน แล้วการที่จะคุณจะห้ามไม่ให้เธอไปโบสถ์ มันสมควรแล้วเหรอ... เราทุกคนต่างสูญเสียด้วยกันทั้งนั้น คุณเสียวาเนสซ่าไปแล้ว อย่าเสียแองเจลิกาไปอีกคนเลย" คลาร่าพูดส่งท้าย แล้วเดินจากไป แล้วน้ำตาของโรเจอร์ก็ไหลออกมาทันที

สองอาทิตย์ก่อนหน้า บาทหลวงเซบาสเตียนผู้ดูแลโบสถ์ที่ยอดเขากอร์โกวาดู ที่ประดิษฐานของพระคริสต์ผู้ไถ่ขอเข้าพบเขา ซึ่งเป็นเวลากว่ายี่สิบปีทีเดียวที่ทั้งสองไม่เคยได้พูดกันเลย

"สวัสดีโรเจอร์ ยี่สิบกว่าปีแล้วสินะ" บาทหลวงเซบาสเตียนทักทายเขา ซึ่งเขาไม่ได้ตอบอะไร บาทหลวงจึงพูดต่อ "พ่อไม่รบกวนเวลาลูกนานหรอก พ่อแค่จะมาทำตามประสงค์ของวาเนสซ่า"

ชื่อนี้ทำเอาเขาชะงัก มองจดหมายที่บาทหลวงวางไว้ที่โต๊ะเขา เขาตะลึงไปเลย จำลายมือที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้นได้ เป็นของคนรักเขาอย่างแน่นอน "จดหมายไม่ได้ปิดผนึกอะไร ซึ่งเป็นความต้องการของวาเนสซ่า ที่ต้องการให้พ่อรับรู้ และหวังว่าลูกจะทำตามความต้องการของเธอ"

เขาไม่ตอบ แต่เอื้อมมือไปหยิบจดหมายมาอ่าน แม้จะผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้วแต่กระดาษไม่ได้มีรอยยับย่นแม้แต่นิดเดียว น่าจะผ่านการเก็บรักษามาอย่างดี เขาอ่านทุกตัวอักษรอย่างช้าๆ "ผมทำตามที่เธอขอไม่ได้หรอก แองเจลิกาตายไปแล้ว ผมจะเอาเธอกลับมาได้อย่างไร"

"ลูกหลอกคนอื่นได้แต่หลอกพ่อไม่ได้ เลือดเนื้อเชื้อไขของวาเนสซ่ายังมีชีวิตอยู่ แล้วเธอต้องการให้ลูกลับมาใช้ชีวิตที่นี่"

"ผมทำก็เพราะต้องการปกป้องเธอ"

"พ่อเข้าใจ ตอนนี้มาร์เซโลก็ตายไปแล้ว ลูกควรจะเอาเธอกลับมาอยู่ที่นี่ ตามความต้องการของวาเนสซ่า"

"ทำไมเอามาให้ผมตอนนี้ มันผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว"

"พ่อได้รับจดหมายนี้จากบาทหลวงในโปรตุเกสหลังจากวาเนสซ่าเสียชีวิตไม่นาน แต่ตอนนั้นพ่อก็วิตก หากว่าเธอกลับมาแล้ว เธออาจจะตกอยู่ในอันตรายได้หากกลับมาที่นี่ พ่อเลยไม่ได้เอาจดหมายมาให้ลูก แต่ตอนนี้คนยุคนั้นล้มหายตายจากไปหมดแล้ว แองเจลิกาจะอยู่เมืองนี้ได้อย่างปลอดภัย... แต่ถ้าลูกจะกังวลเรื่องบรูโน่ พ่อบอกเลยว่าไม่ต้องห่วง บรูโน่ไม่มีวันทำร้ายลูกของวาเนสซ่าแน่นอน"

"อย่าพูดถึงเจ้านั่น" โรเจอร์โกรธ "ผมจะไม่เอาเธอกลับมา คุณพ่อกลับไปเถอะ"

"พ่ออยากให้ลูกคิดทบทวนให้ดีก่อน ลูกคิดไหมถ้าลูกเป็นอะไรไปแองเจลิกาจะอยู่ยังไง โบสถ์นั่นอาศัยเงินบริจาคของลูกเป็นค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กๆ ถ้าไม่มีลูกใครจะช่วยเหลือพวกเขา แองเจลิกาก็ต้องอยู่อย่างยากลำบาก"

"เธอจะอยู่ที่โปรตุเกสกับมรดกมากมายจากผม"

"แล้วยังไง สุดท้ายทุกคนก็ต้องรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ในโปรตุเกส"

"ผมไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องทำตามคำขอของคนตาย เธอตายไปแล้ว ไม่ได้รับรู้อะไร"

"ไม่จริง เธอรับรู้ได้ แม้แต่พระเจ้าก็รับรู้ได้เช่นกัน"

"อย่ามาพูดเรื่องพระเจ้ากับผม" โรเจอร์พูดเสียงแข็ง

"โรเจอร์ ถ้าลูกไม่ศรัทธาในพระเจ้าไม่เป็นไร พ่อกล้ายืนยัน พระเจ้าจะไม่โกรธลูก แต่ลูกต้องศรัทธากับความรัก และซื่อสัตย์กับคำพูดของลูกเอง ว่าไม่ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของวาเนสซ่าลูกจะยินดีทำ" บาทหลวงรื้อฟื้นความทรงจำที่โรเจอร์เคยพูดเอาไว้ โรเจอร์มองกระดาษเขม็งแล้วพึมพำ "เมืองนี้ยังไม่ปลอดภัยสำหรับเธอ"

บาทหลวงถอดกางเขนที่แขวนอยู่ที่คอวางไว้บนมือแล้วยื่นมาด้านหน้าโรเจอร์แล้วบอกว่า "พ่อไม่การันตีว่าเมืองนี้จะสงบสุขอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ แต่ตราบใดที่พ่อยังอยู่ พ่อให้คำสาบาน พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อให้เมืองนี้สงบสุข ทุกคนจะปลอดภัย โดยเฉพาะกับแองเจลิกา" บาทหลวงบอกด้วยเสียงเข้มแข็งเต็มไปด้วยมนต์ขลัง

โรเจอร์เอื้อมมือมาจับที่กางเขนเช่นกัน "ผมจะพาแองเจลิกากลับมาตามคำขอของวาเนสซ่า แต่ถ้าวันไหนที่เธอบาดเจ็บแม้แต่ปลายเล็บ ผมจะเผาทั้งภูเขาให้เป็นจุล และจะเผาเมืองนี้ให้ราบด้วยมืองของผมเอง" เขาบอกด้วยเสียงทรงพลังไม่แพ้กัน สองมือบีบกันแน่นผ่านไม้กางเขนนั้นเป็นคำสัญญาต่อกัน

แองเจลิกาหลับไปแล้ว แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกถึงเตียงที่ยวบลง "พ่อคะ" เธอเรียก เอื้อมมือเปิดโคมไฟหัวเตียง "พ่อไม่นอนอีกเหรอคะ พ่อทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ดื่มน้ำไหมคะ หนูจะไปเอามาให้" เธอพูดแล้วเตรียมลุกขึ้นจากเตียง โรเจอร์ยิ้ม "พ่อไม่หิว พ่อแค่อยากกอดลูกสาวพ่อก่อนนอน" เขาบอก ลูกสาวทำหน้าแปลกใจ แต่ก็ยินดีให้พ่อกอดด้วยความเต็มใจ อารมณ์โกรธของเธอหายไปหมดแล้ว

"พระคริสต์ผู้ไถ่บนยอดเขากอร์โกวาดู เป็นที่ๆ แม่ของลูกชอบมาก จะป่วยไข้อย่างไร ทุกวันอาทิตย์เธอจะต้องขึ้นไปที่นั่นให้ได้ พ่ออนุญาตให้ลูกไปที่นั่นได้" โรเจอร์บอก ทำเอาเด็กสาวถึงกับตื่นเต้น "พ่ออนุญาตแล้ว ดีใจจังเลย" แล้วก็หอมแก้มพ่อไปหนึ่งที

"ใต้ฐานพระคริสต์จะมีห้องโถง เป็นโบสถ์เล็กๆ มีบาทหลวงชื่อเซบาสเตียนเป็นผู้ดูแล ท่านสามารถนำสวดและทำพิธีทางศาสนาให้กับลูกได้ ตามธรรมเนียมแล้วครอบครัวของเราจะต้องเข้าโบสถ์ร่วมกับอีกตระกูลหนึ่ง แต่พ่อไม่อยากให้เป็นแบบนั้น"

"ทำไมคะ" เธอถามอย่างสงสัย

"พ่อมีเหตุผลส่วนตัวของพ่อ เอาเป็นว่าพ่อติดต่อหาบาทหลวงเซบาสเตียนแล้ว ท่านยินดีที่จะทำพิธีให้ลูกก่อนที่พวกเขาจะเข้าโบสถ์ ดังนั้นพรุ่งนี้ลูกจะต้องเข้าโบสถ์ตอนหกโมงเช้า และสามารถอยู่ได้จนถึงเจ็ดโมงครึ่ง ก่อนที่พวกอัลเวสจะเริ่มทำพิธีกันตอนแปดโมง ลูกต้องสัญญากับพ่อ ว่าจะออกมาก่อนแปดโมงเช้า ตกลงไหม"

"ได้ค่ะพ่อ" เธอรับคำ ตอนนี้เธอตื่นเต้นจนนอนไม่หลับแล้ว "พ่อคะ เล่าเรื่องพ่อกับแม่ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ" เขาหัวเราะ "เรื่องไหนดีล่ะ"

"พ่อชวนแม่ออกเดตยังไงเหรอคะ"

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า" โรเจอร์หัวเราะเสียงดังลั่น "ได้สิ..."

วาเนสซ่านั่งเล่นเปียโนอยู่ในห้องซ้อมดนตรี เธอหลับตาพริ้มซึมซับเสียงดนตรีที่ไพเราะด้วยการบรรเลงจากนิ้วของเธอ

ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ เสียงลูกบาสเด้งเป็นจังหวะกับพื้น เธอหยุดมือ ตาเขียวขึ้นมาทันที "อีกแล้วเหรอเนี่ย" เธอเดินกึ่งวิ่งไปที่หน้าห้อง "นี่นายไปเล่นไกลๆ หน่อยได้ไหม"

"อ้าว วาเนสซ่า ฉันไม่รู้เลยว่าเธอนั่งเล่นเปียโนอยู่ที่นี่" โรเจอร์ตอบ นั่นยิ่งทำให้เธอโมโหเข้าไปอีก เธอมาเรียนที่นี่ได้สองเดือนแล้ว ทุกวันหลังเลิกเรียน เธอจะทุ่มเทเวลาในการฝึกซ้อมดนตรีของเธอที่นี่ และโรเจอร์ก็จะคอยวนเวียนอยู่อย่างนี้ทุกวัน เขาไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่แน่ๆ

วันก่อนเขาเพิ่งเตะฟุตบอลใส่กระจกในห้องดนตรีแตก ซึ่งทำให้ครูใหญ่โกรธจัดถึงขนาดสั่งแบน ห้ามเขายุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลหนึ่งเดือนแม้ว่าเขาจะเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนก็ตามที แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โรเจอร์สงบลงได้ เพราะเขาก็เปลี่ยนจากการถือลูกฟุตบอลมาเป็นลูกบาสแทน ซึ่งจูเลียมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า โค้ชถึงกับยอมเถียงกับครูใหญ่ หลังจากโรงเรียนใกล้จะตกรอบแรกของการแข่งขันฟุตบอลฤดูกาลใหม่เต็มทีเพราะไม่มีโรเจอร์ในทีม แถมยังโดนตัดงบสนามกีฬาอีกด้วย ครูใหญ่คลั่งหนัก กรีดร้องอย่างโหยหวนขว้างปาข้าวของในห้องตัวเองยกใหญ่ แล้วก็กัดฟันลดโทษแบนให้โรเจอร์เหลือแค่สองอาทิตย์

"โกหกไม่เนียน" เธอบอก แล้วหันหลังกลับเดินเข้าห้องดนตรี ครั้งนี้เขาเดินตามมาด้วย "โรเจอร์ ฉันจะต้องเข้าแข่งขันอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ขอร้องอย่าเพิ่งกวนโมโหฉันตอนนี้ได้ไหม" เธอบอกด้วยสีหน้าที่ขอให้เขาเห็นใจ

"ได้สิ ฉันจะนั่งเงียบๆ ตรงนี้ละกัน" โรเจอร์บอก แล้วก็ลากเก้าอี้มานั่งอีกฝั่งของเปียโนที่เธอเล่นอยู่ เขาทำตามที่พูดจริงๆ เขาไม่ส่งเสียงอะไร แต่กลับเป็นเธอเองที่ไม่มีสมาธิจะเล่น เพราะทุกครั้งที่เธอเงยหน้า จะต้องเห็นเขากำลังมองเธออยู่ร่ำไป ไอ้ครั้นพอเธอจะหลับตา ก็คิดว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่แน่ๆ ก็ทำเอาไม่กล้าลืมตาขึ้นมา โรเจอร์เหมือนจะรู้ เขาจึงเดินเข้ามากระซิบบอกที่ข้างหูเธอว่าจะออกไปแล้ว เธอจึงหลับตาเล่นของเธอต่อไป สักพักจนสัญชาตญาณอะไรบางอย่างกำลังบอกเธอ ว่าเขาไม่ได้ออกไป แต่เขากำลังมองเธอจากด้านหลังต่างหาก ทำเอาเธอถึงกับขนลุกไปทั้งตัวเลย

เธอหมดความอดทน เธอหยุดเล่นแล้วก้มหน้าร้องไห้ออกมา "เฮ้ เป็นอะไร" โรเจอร์เดินเข้ามาใกล้ๆ คุกเข่าลงข้างๆ เธอ "นายคิดว่ามันตลกนักหรือไง ฉันเป็นนักเรียนทุน ฉันต้องการเรียนต่อที่นี่ ถ้าฉันทำไม่ได้ ฉันจะไม่ได้เรียนที่นี่ นายเข้าใจไหม" เธอบอกทั้งน้ำตา โรเจอร์จับหน้าเธอไว้ "ฉันขอโทษ" เช็คน้ำตาให้เธอ

"ทำไมนายต้องคอยมากวนฉันตลอดเวลาด้วย" วาเนสซ่าพูดเสียงเบาหวิว หัวใจเต้นรัวกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ ทั้งสองสบตากันนิ่ง "เพราะฉันอยากอยู่ใกล้ๆ เธอน่ะสิ" คำตอบของเล่นทำเอาเธอหน้าแดงไปเลย "อีกไม่กี่วันฉันจะพ้นโทษแบนแล้ว นั่นหมายความว่าฉันจะต้องซ้อมหนักขึ้น ฉันจะไม่มีเวลามาคอยดูเธอ หรืออาจจะไม่มีโอกาสได้ดูเธอแข่งด้วยซ้ำ"

"ทำไมนายต้องอยากดูฉันแข่งด้วย แค่เล่นเปียโนเอง" เธอพยายามดึงมือเขาออกและเบือนหน้าหนี แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน "เพราะฉันชอบเธอน่ะสิ" เขาตอบตรงๆ เธอหยุดดึงมือเขาแล้วถาม "โกหกหรือเปล่า"

"ไหนเธอบอกว่าฉันโกหกไม่เนียนไง" เขาตอบแล้วหัวเราะ ซึ่งเธอก็หัวเราะด้วย เขาเลื่อนหน้าเข้ามาจูบเธอซึ่งเธอก็ตอบรับด้วยความเต็มใจเช่นเดียวกัน "เธอเป็นแฟนฉันแล้วนะ"

เมื่อคลาร่ามาจนสุดทางเพราะได้รับอนุญาติจากบาทหลวงแล้วให้พวกเธอขึ้นมาจอดรถด้านบนสุดได้ ซึ่งโดยปกติแล้วไม่สามารถขับขึ้นมาได้ จะต้องโดยสารรถรางหรือรถของเจ้าหน้าที่ขึ้นมาเท่านั้น แองเจลิกาทึ่งกับสองข้างทางตั้งแต่เริ่มขึ้นภูเขา เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ และเนื่องจากที่ริโอฝนตกค่อนข้างชุก ทำให้ต้นไม้รอบข้างเขียวขจีและดูสดชื่นมากเลยทีเดียว

แต่ถึงจะขับมาจนสุดทางแล้ว ก็มีช่วงที่ต้องเดินขึ้นเขาเพื่อขึ้นไปที่พระแท่นอยู่ดี

"แองเจลิกา รีบเดินก่อนได้ไหม จะเจ็ดโมงแล้ว" คลาร่าบ่น เมื่อเห็นเด็กสาวมัวแต่ตื่นตะลึงกับบรรยากาศของเมือง คลาร่าที่ร่างกายอวบอิ่ม เพียงแค่ขึ้นบันไดช่วงแรกก็ลมแทบจับแล้ว ยังต้องไล่ต้อนเด็กสาวให้รีบเดินขึ้นไปอีก เธอบ่นแล้วก้มตัวลง รู้สึกเจ็บซี่โครงขึ้นมาแล้ว "คลาร่าเป็นอะไรไหมคะ" เธอถาม

"ไม่ต้องห่วงฉันแล้วตอนนี้ รีบขึ้นไปเถอะ ฉันขอพักแปปนึง เดี๋ยวจะตามขึ้นไป" คลาร่าพูดไปหอบไป แองเจลิกาจึงเดินต่อไปเพียงลำพัง เมื่อขึ้นมาถึงบนสุดเธอยิ่งตกตะลึงกับภาพตรงหน้าขึ้นไปอีก จากบนนี้ สามารถมองเห็นเมืองได้แบบสามร้อยหกสิบองศาเลย เธอเห็นขอบฟ้าตัดกับมหาสมุทร มีชายหาด ภูเขา และเมืองที่ประกอบได้อย่างสวยงามดั่งภาพวาด บางมุมยังคงมีเมฆมาก ยิ่งทำให้ดูสวยเหมือนกับอยู่บนก้อนเมฆเลยก็ว่าได้

เธอเดินไปรอบๆ ลมพัดค่อนข้างแรงทำเอากระโปรงพลิ้วไปตามลม วันนี้เธอเลือกใส่ชุดกระโปรงสีขาวของแม่มาโบสถ์ แม้ว่าชุดจะเก่า แต่ก็เหมาะกับการเข้าโบสถ์ครั้งแรกในเมืองริโอแห่งนี้มากเลยทีเดียว

"วาเนสซ่า"

เธอหันไปตามเสียง บาทหลวงยืนอยู่หน้าประตูแล้ว เธอหันไปยิ้ม "แองเจลิกาค่ะ วาเนสซ่าคือแม่ของหนู"

"โอ้พระเจ้า พ่อนึกว่าวาเนสซ่ามา หนูเหมือนวาเนสซ่ามากเลยรู้ไหม" บาทหลวงเซบาสเตียนบอกจากความรู้สึกที่แท้จริง

"พ่อโรเจอร์ก็พูดอย่างนั้นบ่อยๆ ค่ะ ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ ไม่คิดว่าจะขึ้นเขาสูงขนาดนี้ จนคลาร่าเดินไม่ไหวเลยค่ะ หนูเลยต้องรีบเดินมาก่อน เดี๋ยวคลาร่าพักหายเหนื่อยก็จะตามขึ้นมาค่ะ" เธอบอกกับบาทหลวง ที่เดินนำทางเธอไปด้านในโบสถ์ ทั้งสองร่วมทำพิธีด้วยกันจนเสร็จคลาร่าก็ยังไม่ขึ้นมาสักที "ตอนนี้หนูเหลือเวลาอีกประมาณสิบห้านาที เชิญตามสบายนะ เดี๋ยวพ่อจะมาตาม"

ภายโบสถ์เล็กๆ แห่งนี้เป็นสีขาว ตกแต่งอย่างเรียบง่าย บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่มีไม้กางเขนตั้งอยู่ มีธงชาติประดับไว้ ด้านข้างมีรูปพระเจ้าสีเหลืองบานใหญ่ มีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าสำหรับบาทหลวง และมีเก้าอี้ไม้ตัวเล็กเพียงไม่กี่ตัวสำหรับผู้เข้าร่วมพิธี

เธอเดินออกไปด้านนอก เดินหมุนตัวไปรอบๆ สนุกกับการเห็นกระโปรงยาวพริ้วไหวไปตามลม หมอกเริ่มเคลื่อนตัวมาทางเธอแล้ว มันสวยมากจริงๆ เธอเดินห่างออกมาจากฐานพระคริสต์และหันมองกลับไป เธอนึกสนุกอะไรบางอย่าง เธอประสานมือไว้แนบอกแล้วหลับตาลง "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ดีใจเป็นอย่างมาก ที่พระองค์ทรงนำพาให้ข้าพระองค์มาสู่เมืองนี้ ได้อยู่กับครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่ง ข้าพระองค์ซาบซึ้งที่พระองค์ทรงมีอานุภาพยิ่ง ที่ประทานความรักอันบริสุทธิ์ให้กับบิดาและมารดาของข้าพระองค์"

หัวเธอก็นึกไปถึงเรื่องที่พ่อเธอเล่าให้ฟังก่อนนอน ความรักของพ่อกับแม่เธอที่มันสุดยอดมากเลย พ่อบอกว่าพ่อแทบจะหลงรักแม่ทันทีที่ได้เห็นหน้าด้วยซ้ำ เธอคิดเล่นๆ ว่าถ้าเธอมีคนรักแบบพ่อของเธอจะเป็นยังไงนะ เธอยิ้มทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ถ้าคนรักของเธอบอกชอบเธอ เธอจะรู้สึกยังไงนะ แล้วถ้าคนรักของเธอขอเธอเป็นแฟน เธอควรจะทำตัวแบบไหนกัน แล้วถ้าเธอโดนจูบเหมือนแม่ล่ะ โอ๊ย เธอจะต้องวางมือไว้ตรงไหนกันนะ เธอคิดไป หัวเราะไป ยิ้มอยู่คนเดียว แล้วพูดออกมาว่า "ข้าพระองค์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์จะประทานความรักอันเป็นนิรันดร์ให้กับข้าพระองค์เหมือนอย่างบิดาและมารดาของข้าพระองค์ อาแมน" แล้วเมื่อเธอลืมตาขึ้น เธอไม่ได้สบตากับพระเจ้าองค์นั้น แต่เธอกำลังสบตากับชายคนหนึ่ง ชายคนนี้มีชีวิต และใบหน้าทั้งสองอยู่ติดกันในระยะเผาขนเลยทีเดียว