webnovel

32. วิวาห์ว่าด้วยรัก(จบ)

" แงงงงงง...ภูผาจะกินอันนี้!!!" เสียงเด็กชายร้องงอแงออดอ้อนสองเด็กสาวที่จูงมือเขาอยู่

" อันนี้มันกินไม่ได้นะภูผาถ้าภูผาดื้องอแงแบบนี้ให้พี่ทั้งสองคนกลับบ้านดีไหม" เด็กหญิงวัย10ขวบดุน้องท ทำเอาเด็กชายถึงกับเงียบลงพลางทำหน้างอนตุ๊บป่อง

" อ่ะๆ...งั้นกินอันนี้แทนไหมอร่อยเหมือนกันนะ" เด็กสาวอีกคนหยิบขนมสีทองอร่ามมายื่นให้เขา เด็กชายตัวน้อยยิ้มจนตาหยีแล้วรับมันมากินอย่างเอร็ดอร่อย

" เกรท!!!พี่บอกแล้วไงว่าอย่าตามใจน้อง!!!เดี๋ยวน้องจะปวดท้องอีกคราวนี้เอ็งเป็นคนพาน้องไปล้างตูดเลยนะ!!" เสียงดุของเด็กหญิงวัย10ขวบดุเด็กหญิงวัย9ขวบตรงหน้าทว่าเด็กสาวตัวน้อยก็ไม่ได้ทำหน้าสลดแต่อย่างไร

" โธ่!!!พี่ปราง!!แม่เคยบอกว่าเด็กมักจะหิวบ่อยๆแบบนี้แหล่ะนะ" เกรทเถียง

" นี่ก็บ่อยเกินไปไหม!!!นี่เราวนอยู่แต่กับของกินมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ" ปรางทำหน้ายุ่ง สองสาวน้อยนั้นยืนเถียงกันจนลืมดูเด็กชายตัวน้อยๆที่กำลังเพลิดเพลินกับขนมอยู่

" ปราง..เกรท...พิธีจะเริ่มแล้วนะ...มัวทำอะไรกันอยู่!!" นภัทราร้องเรียกเด็กๆที่กำลังถกเถียงกันอยู่ หญิงสาวสวมเสื้อลูกไม้สีครีมกับผ้าซิ่นตีนจกสีกรัก ผมสีแดงเหลือบเทาถูกม้วนเอาไว้บนศรีษะใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยสีสันดูงามแปลกตา

เรือนไม้กลางป่าถูกตกแต่งไปด้วยดอกไม้สดสีสวยส่งกลิ่นหอมไปทั่วบ้าน ข้าวของถูกจัดเก็บเข้าที่เข้าทางและถูกแทนด้วยของตกแต่งต่างๆ ลานบ้านกว้างๆที่เคยเป็นลานดินสันทนาการ มีเต้นท์สีฟ้าหลังใหญ่กางอยู่เต็มลาน แต่ละเต้นท์ถูกตกแต่งด้วยผ้าผืนบางสีขาวและแซมด้วยดอกไม้จนดูหวานละมุนไปทุกจุด นภัทราจูงมือเด็กชายตัวน้อยจึ้นไปยังบนเรือน และยื่นเข็มขัดใข่มุกที่อยู่ในมือให้เกรทผู้เป็นหลานสาวที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ

" ภูผา...ฟังป้านะลูก...ถือเข็มขัดใข่มุกเส้นนี้กั้นประตูหน้าห้องเอาไว้นะห้ามให้ใครเข้าไปข้างในเด็ดขาดโดยเฉพาะลุงไลอาร์ หากว่าลุงไลอาร์มาขอให้เปิดประตูเข้าไปหาแม่ ภูผาต้องมีเงื่อนใขให้เขาจนกว่าจะถูกใจภูผานะ...เข้าใจไหมครับตุ้ยนุ้ยของป้า" นภัทราหยิกแก้มยุ้ยๆของหลานชายที่พยักหน้าอย่างไร้เดียงสา

" ภูผาจะไม่เปิดง่ายๆหรอกคับป้าฟ้า" เสียงเล็กๆให้คำมั่น ทำเอานภัทราถึงกับอดที่จะฟัดแก้มยุ้ยๆของเด็กชายตัวน้อย

เสียงโห่ร้องดังก้องมาแต่ไกลๆเสียงกลองเสียงฉาบร้องเป็นเพลงกู่ร้องสนุกสนานดังขึ้นเรื่อยๆ อัญชันแอบมองลอดหน้าต่างเห็นยอดกล้วยยอดอ้อยไหวๆมาแต่ไกลๆ กลุ่มคนร่างยักษ์เป็นขบวนยาวเต้นเก้ๆกังๆดูแปลกตา แม้แต่องค์สุลต่านและมหาราณีก็ดูสนุกสนานไปกับคุณลุงคุณป้าที่เต้นโหยงเหยงนำหน้าขบวน ภาพชายหนุ่มร่างสูงผิวสีแทนหน้าคมราวเทพบุตรในชุดไทยสีครีมที่เดินยิ้มแป้นหน้าบานเท่าจานดาวเทียมนั้นทำเอาอัญชันอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

" จะมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว...เก็บอาการระริกระรี้หน่อยสิ!!" เพียงจันทร์ ทำหน้าดุ ใส่หญิงสาวร่างบางในชุดไทยสีครีมเหลือบทอง

" พี่ดาว!!! พี่ก็พูดไป!!!ดูว่าที่สามีของพี่เถอะ...นั่นเจาเต้นหรือโดนมดคันไฟกัดก้นกันนะฮิฮิ" ว่าเเล้วก็ชี้ชวนให้เพียงจันทร์ดูร่างสูงที่แบกต้นกล้วยข้างๆไลอาร์ ชุดไทยสีขาวนั้นทำให้เขาดูโดดเด่นมาแต่ไกลอีกทั้งท่าเต้นที่งกๆเงิ่นๆเหมือนโดนมดคันไฟกัดนั่นก็ดูน่าขันดี

" ขบวนขันหมากมาแล้ว...พี่จะลงไปรับขันหมากก่อนนะ...พูดถึงขบวน...พี่เขยพวกเอ็งอยู่ฝ่ายเจ้าสาวไม่ใช่หรือ...เเล้วมันเสร่อไปร่วมขบวนกับเขาได้ยังไงนั่น...ดูสิ!!!" นภัทราชี้ให้สองสาวดูชายร่างบางตัวเล็กๆที่เต้นอยู่หน้าขบวน ในมือถือแก้วน้ำสีอำพันไม่ยอมปล่อย เมื่อเทียบกับชายหนุ่มส่วนใหญ่ในขบวนแล้วเขานั้นตัวเท่าขาพวกเขานั้นเอง

" ดูๆ...เดี๋ยวก็โดนเหยียบตาย...ไม่ตายธรรมดานะ...ขี้แตกตาเลยนะนั่นมดในฝูงช้างชัดๆ" นภัทราพูดติดตลกทำเอาสาวๆถึงกับหัวเราะร่า

" พี่ฟ้า...พี่ดาว...ขอบคุณนะพี่ที่ซัพพอร์ตน้องมากถึงขนาดนี้...น้องไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนแล้วมีก็แต่พี่ที่เป็นเหมือนญาติ...ขอบคุณนะพี่ฟ้าที่เป็นธุระเฒ่าแก่ให้น้อง" อัญชันสวมกอดนภัทราแน่น

" อะไรกันยัยซื่อบื้อนี่!!!วันนี้งานแต่งหล่อนนะยะจะมาดราม่าได้ยังไง...ฉันเป็นเพื่อนเล่นแกมาตั้งแต่เด็กจนแกมีผัว...เรื่องแค่นี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงฉันสักนิด" นภัทราลูบหัวอัญชันอย่างเอ็นดู เธอกอดนภัทราแน่นก่อนจะจับมือของสองสาวเอาไว้

" เราสามคนพบเจออะไรมาก็เยอะ...ปล่อยให้ตัวเองมีความสุขบ้าง...ฉันเป็นพี่พวกแกแต่เหมือนเป็นมากกว่านั้นอีกว่ะ...ซึ่ง...มันทำให้มิตรภาพของพวกเรามีอยู่จนทุกวันนี้" ทั้งสามคนสวมกอดกัน นภัทราซับน้ำตาที่รื้นออกมาให้สองสาว

" อย่าร้องสิ!!!ฉันไม่เติมแป้งให้แล้วนะ!!! นี่..ยัยดาว...แกก็อีกคนหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาวให้เจ้าบ่าวแกต้องทำให้ดีที่สุดนะ...ถึงแม้ที่ผ่านมาคุณไลอาร์จะดีกับยัยอัญก็เถอะ...แต่หน้าที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของแกนะอย่าให้เขาตีค่าน้องเราต่ำเกินไปล่ะ" นภัทราสั่งเสียก่อนจะเดินออกประตูไป สองสาวมองตามร่างที่เคยอวบหาลับไปจากหลังประตู

เสียงโห่ร้องเคลื่อนที่มาถึงหน้าประตูรั้วพ่อสื่อทำการตะโกนร้องขอเจ้าสาวให้กับเจ้าบ่าวเป็นพิธี นภัทราทำหน้าที่แทนบิดาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เธอเจรจากับฝ่ายเจ้าบ่าวอย่างออกรสออกชาติ ทำเอาองค์สุลตานกับมหาราณีที่เคยหยิ่งผยองยิ่งใหญ่ตัวหดลงเหลือเพียงนิดเดียว การเจรจาสู่ขอนั้นดุเดือดเผ็ดมันส์จนคนข้างๆต่างลุ้นไปด้วยไลอาร์นั้นแทบจะหยุดหายใจเสียด้วยซ้ำเมื่อเห็นความสามารถของหญิงสาว ถึงตอนนี้เขาก็ไม่นึกสงสัยอะไรว่าทำไมเธอถึงสามารถดีลร้านเฟอร์นิเจอร์เล็กๆให้เป็นร้านที่สามารถเข้าไปถึงวงการต่างๆได้เพราะ การเจรจาต่อรองของนภัทรานั้นถือว่าเป็นมือโปรก็ว่าได้

" ในเมื่อคุณพ่อกัยคุณแม่ของฝ่ายชายตกลงตามที่เราต้องการได้ดิฉันที่เป็นเฒ่าแก่ของเจ้าสาวขอเปิดทางให้นับแต่นี้!!!" สิ้นเสียงตะโกนของนภัทรา เสียงร้องเฮพร้อมกับเสียงฉาบเสียงกลองก็ดังขึ้นระงม ขบวนเจ้าบ่าวเคลื่อนที่เข้าสู่เรือนเจ้าสาวทว่าเด็กน้อยที่ยืนขวางประตูด้วยโซ่เงินนั้นกลับหยุดขบวนเอาไว้อีกครั้ง เด็กน้อยทั้งสองยื่นเงื่อนใขให้เจ้าบ่าวนั้นเต้นโคฟเวอร์วงเกริลกรุีปชื่อดัง ซึ่งต้องเต้นถึงสามครั้งกว่าจะถูกใจประตูเงินทั้งสองและได้ผ่านประตูไปเป็นที่สนุกสนานแก่แขกเหรื่อที่เอาใจช่วยอยู่ข้างๆ ซองเงินในมือก็ค่อยๆลดจำนวนลงตามที่ประตูเรียกร้องเหมือนกัน พอพ้นบันใดบ้าน หน้าระเบียงก็มีอีกประตูที่ไลอาร์ถึงกับตะลึงเมื่อเห็นเด็กสาวคนหนึ่งนั้นงามเหมือนแม่ของเธอไม่มีผิดและรู้ได้ทันทีว่านั่นคือบุตรสาวของนภัทรา เพราะเค้าหน้าของเธอนั้นได้แม่และพ่อมาเต็มๆทั้งดวงหน้าเหมือนแม่ปาก จมูก ตาที่หวานเหมือนพ่อ อีกทั้งรอยยิ้มที่ถอดแบบแม่มาไม่มีผิด

" ประตูทองร้องขอให้หยุดก่อนค่ะ" เสียงใสๆยกมือขึ้นห้ามทั้งขบวนหยุดลง และสิ่งที่ทุกคนอึ้งก็คือ...เด็กคนนี้การเจราน่ากลัวถอดแบบแม่ของเธอมาราวกับส่องกระจก

" น้าอัญเป็นคนสำคัญของเราคุณจะเอาอะไรมาแลกคะคุณลุง" เธอถาม

" เท่านี้พอไหม " องค์สุลต่านยื่นซองสีแดงหนาให้เด็กสาวเธอรับมันเอาไว้แล้วเปิดดูผู้คนรอบข้างที่เห็นปึกใบเทาๆก็พากันร้องตกใจ

" ไม่พอค่ะ...น้าของหนูมีค่ามากกว่าเงิน" เธอเก็บเงินนั้นแล้วส่งคืน หลังจากนั้นทั้งฉโหนดที่ดินและเพชรพลอยก็ถูกประเคนประโคมเข้ามาไม่ขาดสายทว่าเด็กสาวกลับปฏิเสธทั้งหมด

" ถ้างั้นหากเป็นชีวิตของลุงทั้งชีวิตล่ะ...พอจะแลกน้าของหนูได้ไหม " ไลอาร์ทรุดกายลงตรงหน้าเด็กน้อย ใบหน้าที่เคยเข้มขรึมก็ยิ่มกว้างขึ้นมาได้

" ได้ค่ะ" และแล้วในที่สุดประตูทองก็ปลดออก เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังขึ้นอีก ขบวนเจ้าบ่าวเคลื่อนที่เข้าไปในเรือน ร่างของเด็กชายตัวอวบอ้วนก็ยืนถือปรพตูใข่มุกรออยู่

" คุณลุงมาแล้ว" เขาตะโกนดีใจแต่ยังคงถือเข็มขัดไข่มุกไว้ในมือไปมา

" ภูผา...ขอลุงเข้าไปหาแม่หนูได้ไหมลูก" ไลอาร์ร้องขอ ทว่าเด็กชายตัวน้อยๆกลับส่ายหัวปฏิเสธ

" พี่เกรทกับพี่ปรางบอกว่าถ้าลุงเเต่งงานกับแม่ลุงก็ต้องเป็นพ่อของภูผา...ภูผาไม่อยากมีพ่อ" เด็กชายพูดพลางทำหร้าเศร้า

" อ้าว!!!??ทำไมล่ะลูก!!!" ไลอาร์ใจเสียเมื่อเห็นลูกชายพูดแบบนี้

" ภูผากลัวลุงไม่รักแม่...ถ้าลุงไม่รักแม่ลุงก็จะไม่รักภูผา" เด็กน้อยพูด

" ทำไมถึงคิดเเบบนั้นหล่ะครับลูกถ้าลุงไม่รักแม่ของภูผาลุงจะแต่งงานกับแม่ของหนูทำไมล่ะครับ"

" ถ้า...ถ้าลุงรักแม่...แล้วลุงตะรักภูผาไหม" เด็กน้อยถามเสียงสั่นเครือเขาเอื้อมมือลูบศรีษะของเด็กชายตัวน้อยๆอย่างเอ็นดูในความคิดของเขา

" ภูผาเป็นความรักที่ลุงมีให้กับแม่ทำไมลุงจะไม่รักล่ะ" ไลอาร์พูดปลอบใจเด็กน้อยเขารู้สึกปวดใจที่เด็กชายตัวน้อยรู้สึกน้อยใจขนาดนี้

" ลุงจะเป็นพ่อของภูผาเหรอ" เขาถามชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้า

" ใช่ครับ...เพราะพ่อก็คือพ่อลูกชายของพ่อเหมือนพ่อขนาดนี้จะไม่ให้พ่อรักได้ยังไงล่ะครับ"

" เหมือนตรงไหนเหรอ" เด็กน้อยเอียงคอถาม

" ก็ตรงที่เรารักแม่มากๆเหมือนกันไงครับ" เขาตอบพลางจุมพิแก้มยุ้ยๆของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เสียงหัวเราะของเด็กชายดังออกมา ในที่สุดประตูด่านสุดท้ายก็ได้เปิดออก

บานประตูไม้สักขัดมันถูกผลักออกร่างบางที่ยืนรอตรงหน้านั้นทำเอาไลอาร์ตกตะลึง ดวงหน้านวลงดงามราวกับพระจันทร์ที่ส่องกระทบผืนทรายยามค่ำคืน รับกับชุดไทยที่เเนบรูปร่างทำให้เธอสง่างามราวเจ้าหญิงแห่งดวงจันทราใบหน้าที่หวานหยดราวกับฝันถูกแต่งเติมประทินโฉมยิ่งทำให้ความงามนั้นหยดย้อยราวน้ำผึ้งเดือนห้าก็มิปาน ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาว เอื้อมมือไปหาเธอที่ตรงหน้า เพียงจันทร์ประคองร่างบางนั้นไปหาไลอาร์

" ในฐานะชีวิตคู่วันนี้คือจุดเริ่มต้นนวนิยายบทใหม่เท่านั้นนะ...ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอสองคนแล้ว" เมื่อเพียงจันทร์พูดจบเธอก็ส่งมือบางของเจ้าสาวให้แก่เจ้าบ่าว มีคุณลุงพ่อสื่อตะโกนบอกข่าวดีให้แขกเหรื่อ พลันเสียงแสร้งสร้องโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังขึ้นลั่นป่า ไม่นานนักงานแต่งเล็กๆที่ถูกจัดขึ้นก็ถูกดำเนินไปตามกำหนด พิธีแต่งงานแบบไทยๆ ไม่ได้หวือหวามาก เป็นงานแต่งที่จัดขึ้นตามความเชื่อทางฝ่ายเจ้าสาว เมื่อขันหมากถูกนำมาถึงหน้ารั้ว พ่อสื่อหรือแม่สื่อจะเป็นผู้ตะโกนเรียกดูสู่ขอ และจะปล่อยให้พ่อแม่ขอทั้งสองฝ่ายเจรจาสู่ขอ เมื่ออีกฝ่ายยินยอม เจ้าบ่าวก็ต้องไปรับเจ้าสาวมาเจ้าพิธี จากนั้นก็เป็นพิธีเจริญพุทธมนต์ ซัดน้ำมนต์รับพรจากพระเกจิอาจาร์ย เลี้ยงผีบรรพบุรุษเป็นการบอกกล่าวผู้อวุโส ผูกข้อไม้ข้อมืออวยพรให้บ่าวสาว เลี้ยงเพลพระและรับประทานอาหารเที่ยง ก่อนจะจบด้วยปาร์ตี้สุดมันส์ในช่วงบ่าย

เสียงอึกทึกครึกโครมในงานเลี้ยงยังคงมีเสียงเฮฮาบ้างตามประสาชาววงเหล้าที่ชอบเคล้ากับค่ำคืน แม้ว่างานเลี้ยงจะจบลงแล้วก็ตาม ย่าวสาวถูกส่งตัวเข้าหอตั้งแต่หัววันเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยและถูกห้ามออกนอกห้องเป็นอันขาด ฉนั้นแล้วตอนนี้อัญชันกับไลอาร์จึงได้นั่งจิบไวน์รสเริสอยู่ในเรือนหอด้วยกันสองคน

" คุณเอฮาซานเวลาเมานี่ตลกดีนะคะดูสิ.. เข้ากับพี่เขยฉันดีทีเดียว" อัญชันอิงกายเข้ากับแผงอกกว้างเหม่อมองไปยังลานกว้างที่ตอนนี้เหล่าขี้เมาทั้งหลายกำลังสนุกกันอยู่

" แต่เขาก็ไม่ค่อยเมาถึงจนาดนี้เสียเท่าไหร่...นี่คงโดนบรั่นดีของพื้นบ้านไปคงเป็นได้ภึงขนาดนี้" ไลอาร์ออกความเห็น

" ขอบคุณนะคะไลอาร์ที่มั่นคงในฉัน" อัญชันพูด

" ผมก็ขอบคุณคุณเหมือนกัน...อัญที่ยอมอยู่เคียงข้างผม" เขาตอบ

" อย่างที่พี่ดาวพูด...ต่อจากนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของเราสองคนเป็นเรื่องราวเรื่องใหม่ที่เราต้องช่วยกันเขียนขึ้นมา"

" ใช่....งั้น...เรามาเริ่มเขียนกันเลยไหม!!" น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที

" อะไรเหรอคะ??" อัญชันถามด้วยความสงสัย

" ก็...นวนิยายเรื่องใหม่ของเราไง...เริ่มจาก....มีน้องสาวให้ภูผาก่อนเลย..." ไม่พูดเปล่า ริมฝีปากอวบอิ่มของเจ้าสาวป้ายแดงก็ถูกชายหนุ่มกลืนกินอย่างหิวกระหาย

ดวงจันทร์ในเดือนเพ็ญส่องสกาวสุกใสบนฝากฟ้าสีกำมะหยี่ ประดับประดาไปด้วยดวงดาวพราวฟ้ายิ่งทำให้ดวงจันทร์นั้นโดดเด่น ผืนทรายที่กว้างใหญ่นั้นไม่ว่าตะกลางวันหรือกลางคืนก็ล้วนแต่มีเงาทราย

เฉกเช่นเดียวกับคนทุกคนที่ไม่ว่าจะมีอดีตที่ดีหรือเลวก็ยังคงเปล่งประกายได้เสมอ เหมือนกับ "เล่ห์เงาทราย" ที่เปลี่ยนแปลงในทุกๆวันแต่ก็นังคงความงดงามและเงาที่เป็นมุมมืดของมันอยู่เสมอๆ ความรักรั้นก็เช่นกัน

,.....,...,...,....,,.......,......,....

(จบบริบูรณ์)

จากใจผู้เขียน :

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่คอยซัพพอร์ตเรามาตลอดนะคะ ตอนนี้นวนิยายเรื่องเล่ห์เงาทรายก็จบลงไปแล้ว นวนิยายเรื่องนี้เราได้เขียนขึ้นมาเพื่อสะท้อนความมืดดำของจิตใจของคนและความสว่างของจิตใจคน เหมือนกับเงาบนทรายที่แปรเปลี่ยนไปในทุกๆวัน ขอให้ทุกท่านมีความสุขในการอ่านนะคะ

รัก

เรืองรัสมิ์