webnovel

ตอนที่ 054

ตอนที่ 54 ใครที่บ้ากันแน่

เสิ่นอี้มองเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วย้อนถาม “แล้วนายรู้หรือเปล่าว่าถ้าทำแบบนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ?”

ในที่สุดเฝิงเยี่ยนฮวายก็เกิดความรู้สึกไม่ชอบมาพากล “จริง ๆ แล้วนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ ?”

ผีดิบลุกขึ้นทำร้ายผู้คนอย่างนั้นหรือ ? แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็เคยได้เตือนไปแล้วว่าอย่าบุ่มบ่าม อย่าแตะแผ่นยันต์กับเชือกชุบหมึกตามใจชอบเด็ดขาด พวกเขาไม่ได้ฟังเลยหรือไง ?

หรือว่าผีดิบนั่นหนีไปแล้ว

“เขาตายแล้ว” เย่หนิงพูดประโยคนี้ขึ้นอย่างเงียบ ๆ

“อะไรนะ ?” เฝิงเยี่ยนฮวายไม่เข้าใจ

เย่หนิงพูดขึ้นอีกครั้งอย่างจนปัญญา “เฝิงเยี่ยนฮวาย ฉันบอกว่าเขาคนนั้นได้ตายไปแล้ว”

“ใคร ? ใครตายหรอ ?” เฝิงเยี่ยนฮวายไม่แน่ใจว่าตนเองฟังผิดไปหรือเปล่า “ใครถูกผีดิบกัดเหรอ ? แล้วเขาตายแล้วหรือยัง ? หรือว่า...”

“ไม่ใช่ !” เย่หนิงขัดเฝิงเยี่ยนฮวายขึ้น แล้วพูดต่อว่า “ผีดิบตัวนั้น ผีดิบที่นายพูดถึงน่ะ เขาตายแล้ว !”

เฝิงเยี่ยนฮวายได้ยินดังนั้นก็อ้าปากตาค้าง “จะบอกว่าเขาตายได้ยังไง ผะ...ผีดิบนั่นเดิมทีมันก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้วนี่ เขาตายไปตั้งร้อยกว่าปีแล้ว”

เย่หนิงไม่รู้จะอธิบายให้เขาฟังอย่างไรดี เธอจึงได้แต่พูดว่า “แต่ว่าเมื่อวานนี้เขาตายไปอีกรอบนึงแล้วนะ”

“ตายอีกรอบงั้นเหรอ ? ตายยังไงล่ะ?” เฝิงเยี่ยนฮวายยังรู้สึกว่าที่เย่หนิงพูดมามันฟังดูแปลก ๆ ไปสักหน่อย “พวกนายใช้ไฟเผาใช่ไหม ?”

“เปล่า” เย่หนิงหันไปมองเสิ่นอี้ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเขาพยักหน้า เย่หนิงจึงถามขึ้นต่อ “เมื่อวานพวกฉันคิดจะผ่าชันสูตรศพเขาดู แต่พอเมื่อดึงแผ่นยันต์ออก ตัดเชือกชุบหมึกออก เขาก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไร...”

“อะไรนะ !” เฝิงเยี่ยนฮวายพูดขัดเย่หนิงขึ้นทันที “อาหนิง เธอพูดว่าอะไรนะ พะ...พวกคุณดึงแผ่นยันต์บนหัวผีดิบออกไปแล้ว ทั้งยังตัดเชือกชุบหมึกอีกต่างหากอย่างนั้นเหรอ พะ...พวกคุณบ้าไปแล้วหรือไง ?”

“พวกเราจะบ้าหรือไม่บ้านั่นก็ไม่สำคัญหรอก แต่ว่าคุณ......” เสิ่นอี้มองเฝิงเยี่ยนฮวาย แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา “คุณเฝิงล่ะครับ คุณบ้าไปแล้วหรือเปล่า ก่อนหน้านี้คุณพูดไว้ว่ายังไง ผีดิบใช่ไหม ? ดึงแผ่นยันต์ไม่ได้ ตัดเชือกชุบหมึกก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงเกิดปัญหาแน่ คุณใช้แผ่นยันต์กับเชือกชุบหมึกสะกดผีดิบไว้ใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นคุณอธิบายมาสิว่ามันเป็นเพราะอะไรกัน ทำไมพอพวกเราดึงแผ่นยันต์ออก ตัดเชือกชุบหมึกทิ้ง เขาไม่เห็นจะขยับเขยื้อนอะไรเลย”

เฝิงเยี่ยนฮวายขมวดคิ้วแน่น มองเสิ่นอี้ด้วยสีหน้าสงสัย “คุณกำลังจะพูดอะไรกันแน่ ?”

“แกยังจะมาทำเป็นไขสืออีก” หยางปินระเบิดความโกรธออกมา ตอนนี้มีคนตายไปกี่คนแล้วรู้บ้างไหม ! เขาจะก็ไม่ทนเสียเวลากับเฝิงเยี่ยนฮวายอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงพุ่งตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของเฝิงเยี่ยนฮวาย แล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ไอ้เวรเฝิง แกต้องให้ความร่วมมือกับพวกเรา อย่าคิดลองดีกับฉันเป็นอันขาด !”

“แล้วจะให้ผมร่วมมืออะไรล่ะ ? ผมพูดอะไรไปพวกคุณก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว พวกคุณจะให้ผมร่วมมืออะไรอีกล่ะครับ”

“เชื่อเหรอ ?” เสิ่นอี้แสยะยิ้มออกมา “ผมเองก็อยากจะเชื่อในสิ่งที่คุณพูดอยู่หรอก แต่แผ่นยันต์กับเชือกชุบหมึกมันไม่มีแล้ว ศพนั่นก็ขยับเขยื้อนอะไรด้วย คุณช่วยให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับพวกเราหน่อยสิ ไม่ใช่ว่าคุณเคยพูดว่ามีเพียงสองสิ่งนี้ถึงจะสามารถสะกดผีดิบร้อยปีได้อย่างนั้นหรอกเหรอครับ”

“เป็นไปไม่ได้ !” เฝิงเยี่ยนฮวายยังคงไม่เชื่อคำพูดของเสิ่นอี้เช่นเดิม “คุณแน่ใจเหรอว่าเมื่อพวกคุณเอาแผ่นยันต์ออก ตัดเชือกชุบหมึกทิ้งแล้ว ผีดิบตัวนั้นก็ยังไม่ขยับเขยื้อนอะไร ?”

เขาพูดไป สายตาก็มองไปที่เย่หนิง

เย่หนิงถอนหายใจออกมา แล้วพยักหน้า

ถึงแม้ว่าเธออยากจะเชื่อคำพูดของเฝิงเยี่ยนฮวายมากเท่าไหร่ก็ตาม แต่ความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจะให้เธอพูดอะไรออกมาได้ล่ะ ?

“เฝิงเยี่ยนฮวาย ไม่ใช่ว่าพวกฉันไม่เชื่อนาย แต่ยังไงความจริงมันก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว” เย่หนิงพูดขึ้น “ตอนนั้นฉันก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แผ่นยันต์ของศพถูกดึงออกไปแล้วจริง ๆ เชือกชุบหมึกก็ถูกตัดทิ้งไปแล้วด้วย แต่ศพมันกลับไม่ขยับเขยื้อนอะไรเลย”

หยางปินแสยะยิ้มออกมา “ศพมันจะไปขยับได้อย่างไรกันเล่า ? ผีดิบงั้นเหรอ ? แกคิดว่าพวกเราเป็นเด็กอายุสามขวบเลยมาหลอกกันเล่นอย่างนี้หรือไง !”

“เป็นไปไม่ได้” เฝิงเยี่ยนฮวายรู้สึกช็อก “อาหนิง สิ่งที่เธอพูดมามันเป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ เธอเห็นมันกับตาจริง ๆ ใช่ไหม ผีดิบนั่น หลังจากที่คลายสะกดแล้วก็ยังไม่ขยับอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ ?”

“ใช่”

“เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน !” สีหน้าของเฝิงเยี่ยนหวายไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย “มันเป็นไปไม่ได้เลย ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ !”

เสิ่นอี้พูดขึ้นอย่างเย็นชา “คุณถามพวกเราอย่างนั้นเหรอครับ พวกเราก็อยากจะถามคุณเหมือนกัน อย่างไรล่ะ เฝิงเยี่ยนฮวาย คุณมีอะไรจะพูดอีกไหม ? คุณคิดใช่ไหมว่าถ้าหากบอกว่ามันเป็นผีดิบแล้วจะหลอกพวกเราได้ ถ้าบอกพวกเราแบบนั้นพวกเราจะได้ไม่ต้องตามหาสาเหตุการตายของเขาอีกอย่างนั้นใช่ไหม ? ผีดิบร้อยปีงั้นเหรอ ดูอย่างไรมันก็เหมือนมาก นายพูดโกหกจนดูเหมือนเป็นความจริง เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลย !”

เฝิงเยี่ยนฮวายเองก็รู้สึกร้อนใจ “ผมไม่ได้พูดโกหกนะ นั่นเป็นผีดิบจริง ๆ นี่ ! ผมจำเป็นต้องโกหกพวกคุณด้วยเหรอ มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันล่ะ พวกคุณไปดูของที่อยู่ในกระเป๋าเป้ได้เลย ถ้าผมเป็นนักล่าผีดิบจอมปลอมล่ะก็ ผมจะเอาของพวกนี้มาทำไมกัน คิดว่าผมเอาแต่กิน ๆ นอน ๆ ไปวัน ๆ ไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นผมจะแบกของหนัก ๆ แกว่งไปมาอยู่ทุกที่ทำซากอะไรเล่า !”

มีหรือว่าหยางปินจะสนใจคำอธิบายของเฝิงเยี่ยนฮวาย เขาพูดขึ้นด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวพุ่งพล่าน “ฉันไม่สนว่าพวกแกจะวางแผนชั่วอะไรอยู่ แต่ตอนนี้มีคนตายไปจำนวนสิบกว่าคนแล้ว และมันก็จะไม่จบแค่นี้ด้วย ! ต้องรอให้มันทำร้ายทุกคนให้ตายกันหมดก่อนถึงจะสาแก่ใจแกใช่ไหม !”

“ผมไม่รู้ว่าพวกคุณกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่ !” เฝิงเยี่ยนฮวายที่ถูกหยางปินตะโกนขู่ใส่ไปหลายชุด โดนไปมากน้อยแค่ไหนก็ทำให้รู้สึกโกรธได้เหมือนกัน “เป็นเพราะผมปรากฏตัวที่หมู่บ้านว่างยาชุน พวกคุณเลยโยนความรับผิดชอบให้กับผมอย่างนั้นเหรอ สารวัตรหยางครับ ตำรวจอย่างพวกคุณทำคดีกันอย่างนี้ใช่ไหม ? รุมทรมานคนจนเขาต้องยอมรับสารภาพใช่ไหม ? พอหาฆาตกรตัวจริงไม่ได้ เลยใส่อารมณ์กับคนอื่นตามใจชอบแบบนี้น่ะหรือครับ !”

หยางปินพูดขึ้นอย่างใส่อารมณ์เช่นเดียวกัน “แกจะบอกว่าศพนั่นไม่ใช่กลอุบายของแก แกกล้าบอกว่าผีดิบนั่นไม่ได้เกี่ยวกับแกอย่างนั้นใช่ไหม”

เฝิงเยี่ยนฮวายแสยะยิ้มออกมา “สารวัตรหยาง ผมเตือนคุณด้วยความหวังดีอีกครั้งนะครับ ถ้าจะมาเสียเวลากับผม คุณสู้ไปคิดหาทางว่าจะจับฆาตกรตัวจริงได้ยังไงยังจะดีกว่าอีกนะครับ”

เสิ่นอี้เทของออกมาจากกระเป๋าของเฝิงเยี่ยนฮวายเรียบร้อยแล้ว

ในนั้นมีของอยู่ไม่น้อยเลย ล้วนเป็นแผ่นยันต์สีเหลืองกองโต แล้วก็มีของอย่างเช่นข้าวเหนียว อุปกรณ์วัดไม้ กระดิ่ง กระจกแปดเหลี่ยมเยอะแยะยุ่งเหยิงเต็มไปหมด มีแม้กระทั่งน้ำแร่สองขวด ข้างในกระเป๋าใส่ขวดสีแดงขนาดใหญ่ เฝิงเยี่ยนฮวายมองขวดแล้วพูดอธิบายขึ้นมาว่า “นั่นคือเลือดไก่กับเลือดสุนัข”

เสิ่นอี้มองของที่อยู่ในมือ เขาเอาแต่ขมวดคิ้ว ท่าทางราวกับพิจารณาอะไรบางอย่าง

“ผมไม่ได้หลอกพวกคุณนะ ! ผมเป็นผู้สืบทอดนักล่าผีดิบจริง ๆ ผมรู้ว่าเรื่องนี้สำหรับพวกคุณแล้วมันค่อนข้างยากที่จะเชื่อ แต่นี่มันคือเรื่องจริงแน่นอน แล้วศพที่เจออยู่บนเขาก็เป็นผีดิบอายุร้อยปีกว่าจริง ๆ ผมไม่ได้โกหกอะไรทั้งนั้นนะครับ !”

“เหอะ ! พูดจาเลอะเทอะเหลวไหล !” หยางปินโกรธจัด “ดูเหมือนว่าถึงจะสั่งสอนแกให้หลาบจำยังไง แกก็คงยังไม่พูดความจริงออกมาอยู่ดี”

“เดี๋ยวก่อนครับ !” เสิ่นอี้ขวางหยางปินไว้ เขามองเฝิงเยี่ยนฮวายเต็มสองตา แล้วหันกลับไปพูดกับหยางปินอีกครั้งหนึ่ง “หัวหน้าหยางครับ หลังจากที่พวกคุณขึ้นเขาไปอีกรอบแล้ว พบเจออะไรในถ้ำบ้างไหม ?”

“ไม่เลย มีเพียงแค่โลงศพพวกนั้น ก่อนหน้าที่จะให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีเข้ามา พวกเราก็ไม่กล้าที่จะเปิดออกดู แล้วก็...” หยางปินจ้องเขม็งไปที่เฝิงเยี่ยนฮวาย พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ไอ้หมอนี่เอาแต่พูดจาเหลวไหลไม่เข้าท่า”

“นักล่าผีดิบ ?” เสิ่นอี้มองเขา แล้วพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “เฝิงเยี่ยนฮวาย คุณช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยสิ ที่อยู่ ๆ ผีดิบนั่นกลับไม่ขยับขึ้นมา มันเป็นเพราะอะไรกัน ?”