สีกรอบของไอคอนสกิลนั้นหมายถึงระดับความยาก โดยจะมีตั้งแต่สีขาว สีเขียว สีฟ้า สีม่วง สีแดง และสีทอง โดยสีทองจะมีความยากที่สุด การจะเปิดใช้งานสกิลหายากนั้นจำเป็นจะต้องเปิดใช้งานสกิลหาง่ายที่จำเป็นเสียก่อน ซึ่งในเมนูจะแสดงเอาไว้ในลักษณะคล้ายคลึงกับรากไม้ที่เชื่อมต่อไอคอนสี่เหลี่ยมแต่ละอันเข้าด้วยกัน
เมื่อผ่านมาหกเดือน โดยปกติแล้วนักศึกษาจะสามารถเปิดใช้สกิลสีแดงได้อย่างน้อยคนละหนึ่งสกิล เหล่าอาจารย์จึงใช้สิ่งนี้เป็นเกณฑ์ในการสอบผ่านกลางภาค
อาจารย์สาวคนหนึ่งนั่งลุ้นเด็กประจำห้องของตัวเองที่กำลังเร่งโตพืชสมุนไพรราคาแพงจำนวนมากให้ได้ตามใบสั่งของลูกค้า เพื่อที่จะได้รับค่าประสบการณ์มาเปิดใช้สกิลสีแดงสักที
การเร่งโตของชีฟนั้นยิ่งเป็นพืชสมุนไพรที่ปลูกได้ยากมากเท่าไหร่ ยิงเร่งโตได้ช้าเท่านั้น พืชสมุนไพรนี้ปลูกยากมาก แต่ก็มีราคาแพงมาก นั่นทำให้อาจารย์จัดหามาให้ เพื่อให้ชีฟได้รับค่าประสบการณ์เร็วขึ้น
ชีฟแบมือไปทางต้นสมุนไพรต้นสุดท้ายตรงหน้าแล้วถ่ายพลังอยู่นาน ในที่สุดมันก็โตเต็มวัยสักที
"ครบแล้ว"
ชีฟนอนแผ่สองสลึงอยู่บนพื้นเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเย็นนอกหน้าต่างห้องเรียนในวันหยุด ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทรับซื้อสมุนไพรมาเอามันไปแล้วจ่ายเงินให้
อาจารย์สาวหักเงินสี่สิบเปอร์เซ็นต์เข้ากระเป๋าตัวเองเป็นค่านายหน้า และส่งเงินที่เหลือให้กับชีฟ
ชีฟลืมตามองดูขีดค่าประสบการณ์ของตัวเอง ก่อนจะเห็นว่ามันยาวขึ้นมากแล้ว และเมื่อชีฟลองจิ้มไปที่ไอคอนสกิลสีแดง สกิลต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องเปิดใช้ก่อนหน้าก็เปิดใช้งานอย่างรวดเร็วขึ้นมาทีละสกิลจนกระทั่งถึงสกิลสีแดง
"เย้ มีสกิลสีแดงใช้แล้ว ไหน สกิลอะไร"
ชีฟอ่านข้อมูลสกิลใหม่ทันที
"ขยายขอบเขต คืออะไรหว่า"
อาจารย์สาวเดินเข้ามาดู
"เปิดใช้สีแดงได้แล้วใช่มั้ย"
"ครับ"
"โอเค งั้นก็ถือว่าผ่าน"
หกเดือนต่อมา ในที่สุดปิดเทอมใหญ่ก็มาถึง แต่ก่อนปิดเทอมอาจารย์ก็ให้นักศึกษาจัดกิจกรรมอะไรก็ได้ขึ้นมา เพื่อให้นักศึกษาสนุกสนานก่อนกลับบ้าน
มหาลัยวิทยาลัยสกิลศาสตร์แห่งนี้เป็นสถาบันการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในรัฐไทยทำให้มีผู้คนจากภายนอกมาเข้าร่วมมากมาย
ชีฟเดินอย่างเซ็ง ๆ ไปตามถนนคนเดินภายในงาน เพราะปีนี้เขาอาจจะไม่ได้กลับบ้าน เนื่องจากเขายังปลดสกิลทองที่เป็นเกณฑ์ของการสอบผ่านปลายภาคไม่ได้เลย เพราะตอนนี้บริษัทที่ทำเกี่ยวกับสมุนไพรก็ไม่มาจ้างเขาสักจ้าว ด้วยถึงแม้เขาจะเร่งโตได้ แต่ก็ได้น้อยกว่าจ้างปลูกเป็นบริเวณกว้างตามที่ดินต่าง ๆ อยู่มากโข
ด้านข้างของชีฟเป็นลานกว้างของสวนหย่อม ที่ชมรม "นักสู้" ขอใช้เป็นพื้นที่ในการประลองการต่อสู้ โดยทุกคนที่เข้าประลองนั้นจะได้รับจี้คริสทัลสีฟ้าหนึ่งอัน โดยจี้นี้มีความสามารถพิเศษคือจะมีบาเรียใส ๆ ที่มองไม่เห็นมาคลุมร่างกายไว้เหมือนเสื้อผ้า หากบาเรียยังทำงาน ผู้ที่สวมใส่จะไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีใด ๆ แต่ถ้าบาเรียสลายซึ่งจี้จะกลายเป็นสีใส ๆ นั่นก็จะหมายถึงความพ่ายแพ้
ตรงกลางของลานกว้าง วุฒิชัยหรือ "นิก" ลูกชายของผู้อำนวยการมหาลัยสุดหล่อ กำลังยืนท้าทายให้คนอื่นเข้าไปประลองกับตนอยู่กลางลานกว้าง จากข้อความอันโอ้อวดของเจ้าตัวในอินเทอร์เน็ต เห็นว่าอีกฝ่ายได้สามเหรียญตอนประเมินเสียด้วย
นักศึกษาชายสองคนหันไปมองชีฟที่กำลังเดินผ่าน
"เห้ย นั่นมันไอ้พืชนี่หว่า"
ชีฟหันไปมองตามเสียง เพราะทุกคนในมหาลัยเรียกเขาแบบนี้จนเขาจำขึ้นใจแล้ว
เมื่อชีฟหันไปไอ้เจ้าสองคนนั้นก็จับชีฟผลักไปกลางสนาม
"นิก ไอ้พืชอยากสู้ด้วย"
นิกเดินเข้ามาและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เหยียดหยาม
"นายอยากสู้กับฉันเหรอ แต่ถ้าโดนเขาผลักมา จะหันหลังกลับไปปลูกผักเหมือนเดิมก็ได้นะ ไม่ได้ว่าอะไร"
ชีฟมองวิธีที่อีกฝ่ายใช้พูดกับเขาก่อนจะกำหมัดแน่น แล้วหันไปหาคนที่ถือจี้เอาไว้
"ลองดูก็ได้"
ทั้งสองคนสวมจี้แล้วไปยืนตรงกลางลานกว้าง โดยอาวุธของชีฟคือกระบองไม้ยาวท่อนหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายเป็นหอกไม้ที่ไม่มีคม
เสียงกองเชียร์รอบด้านต่างพากันตะโกนเชียร์นิกอย่างเต็มที่
"อัดไอ้พืชมันเลย" "น้องนิกสู้ ๆ นะคะ" "กรี๊ด น้องนิกถือหอกเท่มาก"
หญิงสาวที่เป็นกรรมการประกาศเริ่มการประลองก่อนจะวิ่งออกไป
นิกกระโดดลอยตัวขึ้นสูงก่อนจะฟาดหอกลงมา ชีฟพุ่งตัวไปทางขวาเพื่อหลบ นิกไม่หยุดแค่นั้น เขาเคลื่อนตัวตามแล้วพุ่งหอกใส่ ชีฟที่พอจะเป็นกังฟูอยู่บ้างก็ปัดมันออกอย่างรวดเร็ว นิกยังไม่ได้ใช้สกิล การต่อสู้จึงยังไม่ดุเดือด นั่นทำให้ชีฟยังคงสามารถตั้งรับและปัดหอกของอีกฝ่ายออกไปได้หมด ชีฟหลอกให้อีกฝ่ายแทงเต็มแรง แล้วหลบไปทางขวาเล็กน้อย ก่อนจะฟาดกระบองใส่หลังของอีกฝ่าย
นิกที่โดนฟาดจนเซไปด้านหน้า หน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะตีสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแล้วหันกลับไปจ้องหน้าชีฟ
"ไม่เบานี่ พุ่งทะลุทะลวง"
นิกพูดจบสายตาก็แข็งกร้าว ก่อนจะวิ่งเข้าหาชีฟด้วยความเร็วร้อยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นท่าโจมตีของวิชา "แลนเซอร์"
ชีฟตกใจเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นแรงขนาดนี้ แต่เขาก็กระโดดหลบได้ทันท่วงที
นิกทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย เพราะปกติท่านี้แทบจะไม่เคยมีใครหลบเขาได้มาก่อน
"เพิ่มความเร็ว"
สกิลเสริมถูกเปิดใช้งาน นิกจ้องชีฟที่พึ่งจะลุกขึ้นยืนและหันหน้ามามองเขา
ชีฟเห็นอีกฝ่ายที่จะใช้ท่าเดิมอีกแล้วก็หาทางแก้
"ขยายขอบเขต พรวนดิน"
ชีฟทาบมือลงบนพื้นดิน ดินเรียบระหว่างทั้งสองคนขยับตัวไปมากลายเป็นดินขรุขระ นิกสะดุดก้อนดินล้มไปกับพื้น ด้วยความเร็วที่เกินสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้นิกตีลังกากลิ้งกระแทกใส่พื้นดินไปอีกหลายตลบจนไปกระแทกเข้ากับต้นไม้
ผู้ชมรอบด้านต่างพากันเงียบสนิท จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดของนิก ในจังหวะที่กระแทกกับพื้นดินครั้งสุดท้าย บาเรียของนิกสลายไปพอดี ในตอนที่กระแทกต้นไม้ นิกจึงรับแรงกระแทกด้วยขาของตัวเองเต็ม ๆ นั่นทำให้กระดูกขาของเขาหัก
เพื่อนของนิกคนหนึ่งพูดทำลายความเงียบ
"ไปดูนิกเร็วเข้า"
ในห้องของผู้อำนวยการ ชีฟถูกเรียกตัวมาเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่างในตอนเย็น ผู้อำนวยการเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูผอมแห้งเพราะเห็นว่าเธอชอบกินเจ เธอกำลังจ้องหน้าเด็กหนุ่มเขม่น ในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ สามารถปลดล็อกสกิลทองได้กันคนละอย่างน้อยหนึ่งสกิล แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าเธอ กลับยังไม่ได้มาเลยแม้แต่สกิลเดียว
"นี่ก็จะปีนึงแล้วนะ ยังปลดสกิลทองไม่ได้อีกงั้นเหรอ คนอื่นเขาปลดได้ตั้งแต่สิบเดือนแล้วนะ รู้มั้ย"
ผู้อำนวยการพูดจบก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดต่อ
"รู้มั้ยอีกสิบห้าปีเราจะเจอกับอะไร"
"ปีศาจครับ"
ผู้อำนวยการตะคอกด้วยอารมณ์เล็กน้อย
"ใช่! ปีศาจ ละ แล้ว อะไรของเธอ ปลูกพืชปลูกผักยังงั้นเหรอ เอาเสียมสับปีศาจมันคงตายหลอก"
"เอ่อ แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะครับ ผมเร่งการเจริญเติบโตพืชที่เป็นอาหารให้ได้"
ผู้อำนวยการหัวเราะเสียงดังแล้วพูด
"ฮ่าฮ่าฮ่า!!! รู้มั้ยตอนนี้อาหารทั่วโลกเรามีมากมายแค่ไหน"
ชีฟส่ายหัว
"มันมีมาก...! มากพอที่จะไม่ต้องพึ่งวิชากระจอกของเธอเลย"
พูดจบผู้อำนวยการก็ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วยื่นซองสีขาวให้
"อ่ะนี่ ทุนที่เหลือของเธอในการศึกษาต่อจนจบ ฉันว่าสถาบันศูนย์เหรียญหลาย ๆ แห่งน่าจะอยากให้เธอเข้าไปศึกษาต่อที่นั่น"
ชีฟยิ้มรับ
"ขอบคุณที่ให้โอกาสครับ"