webnovel

ชาวนา

สถาบันศูนย์เหรียญ คือสถาบันสำหรับคนที่เทพเฝ้าประตูนั้น ประเมินแล้วว่าไม่มีพลังมากพอที่จะเรียนรู้ระบบสกิล พวกเขาจึงไม่ให้เหรียญแก่คนเหล่านี้ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็มีมากเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนเด็กหนุ่มสาวทั้งหมดที่เข้ารับการประเมินในแต่ละปี

ชีฟที่พึ่งจะเก็บของเสร็จยืนมองหอพักของตัวเองด้วยความอาลัยอาวรณ์ น้ำหยดใส ๆ ไหลออกมาเล็กน้อย เขาปาดน้ำตาแล้วหันหลังเดินจากมา

ที่นอกรั้วมหาลัยนั้นมีทางเข้าแดนเทพที่ชีฟเคยเข้าไป มันเปิดอยู่ตลอดเวลาแม้จะไม่ค่อยมีมนุษย์ที่อยากจะเข้าไปนัก ชีฟเดินเข้าไปอีกครั้ง และมองถนนคนเดินที่ตอนนี้มีประชาชนชาวเทพตั้งแผงลอยขายของกินและของใช้ต่าง ๆ อยู่มากมาย สินค้าเหล่านี้ต้องซื้อด้วยเหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเงินของชาวเทพ สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้มนุษย์มักจะไม่ค่อยอยากเข้ามาในแดนของเทพ เพราะพวกเขาไม่มีเงินจะซื้อของของที่นี่นั่นเอง

ชีฟเดินไปตรงที่เคยเจอคุณปู่ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายมีแผงลอยขายสมุนไพรที่ดูดีเป็นอย่างมาก และมีลูกค้ามากมายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาซื้อสมุนไพรที่เทพชายชราและหญิงสาวกำลังช่วยกันขาย เขายืนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มอยู่พักหนึ่ง ความเศร้าโศกเสียใจจากการโดนไล่ออกแบบอ้อม ๆ หายไปจนหมด แทนที่ด้วยความสุขบางอย่างที่ตัวเขาไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดขึ้นได้ยังไง

เมื่อพอใจกับภาพที่เห็นแล้วชีฟก็เดินหันหลังกลับลากกระเป๋าของตัวเองออกนอกประตูไป

เทพหญิงสาวรู้สึกเอะใจบางอย่าง ก่อนจะหันไปมองตรงที่ชีฟเคยยืนอยู่ แต่ก็เธอก็ไม่พบอะไร เธอจึงหันไปถามพ่อของเธอ

"พ่อค่ะ เมื่อกี้เหมือนมีใครกำลังจ้องมองมาทางพวกเราหรือเปล่า"

ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะหันไปมองตามลูก แต่ก็ไม่เห็นใครเช่นกัน

"พ่อไม่เห็นนะ ลูกตาฝาดไปหรือเปล่า"

"สงสัยจะอย่างนั้น"

ผู้เป็นลูกตอบก่อนจะจ้องมองดูตรงที่ชีฟเคยยืนอยู่อีกสักพัก แล้วหันกลับไปขายของตามเดิม

ณ บ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใจกลางทุ่งนา

ชีฟลงจากรถสองแถวที่มาส่งเขาถึงหน้าบ้าน ก่อนจะเดินลากกระเป๋าเข้าไปตามทางเดินแคบ ๆ ที่พอจะให้รถยนต์หนึ่งคันวิ่งผ่านได้เท่านั้น

บ้านตรงหน้าเขาอยู่ลึกเข้าไปห้าร้อยเมตรจากถนนใหญ่ ตัวบ้านมีลักษณะเป็นบ้านสองชั้นสีฟ้าขาว รอบบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมายและยังล้อมด้วยรั้วปูนอีกชั้นหนึ่ง

ชีฟเดินมาจนถึงประตูรั้วสีแดงที่ถูกคล้องกุญแจเอาไว้ ก่อนนิสัยเก่า ๆ ในวัยเด็กจะกลับมา ชีฟหยิบคลิปหนีบกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักศึกษา แล้วเริ่มลงมือสะเดาะกลอนกุญแจที่ล็อกอยู่

เด็กสาวตัวเล็กในชุดสี่ชมพูน่ารักวัยสี่ขวบคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นและจ้องมองผู้เป็นพี่ชายของตน

"แม่! พี่ชายงัดบ้านตัวเองอีกแล้ว"

ภายในบ้าน ผู้เป็นแม่กำลังดุลูกชายของตนที่คิดจะแอบงัดบ้านตัวเอง

"ถ้าโจรมาเห็นที่ลูกทำ พวกนั้นก็จะคิดว่าบ้านเรางัดง่าย ถ้าลูกงัดได้"

ชีฟพูดตัดบทด้วยความที่ได้ยินบ่อยแล้ว

"โจรก็งัดได้"

ผู้เป็นแม่มองลูกอย่างไม่สบอารมณ์แล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ

ชีฟนั่งลงบนโซฟาตัวยาวแล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นมาปัดดูสิ่งต่าง ๆ เล่น

ผู้เป็นแม่นั่งลงบนโซฟาตัวเล็กข้าง ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน

"แล้วนี่ติดต่อสถาบันอื่นไว้หรือยังละลูก"

"ไม่"

"อ้าว ทำไมละลูก เดี๋ยวเรียนจบไม่ทันเพื่อนนะ"

"ลูกแม่ไม่น่าจะเคยมีเพื่อนกับเขานะ"

"ก็นะ แล้วลูกจะทำยังไงต่อ"

ชีฟเงียบสนิท เพราะเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน

แม่ลูกนั่งเงียบให้กันอยู่พักหนึ่ง

ชีฟคิดถึงความพยายามของแม่ที่จะส่งเขาเรียน น้ำตาแห่งความเสียใจก็ไหลรินออกมา

"ชีฟขอโทษนะครับแม่"

ผู้เป็นแม่เดินเข้าไปกอดลูกชายเอาไว้ แล้วลูบหลังอย่างแผ่วเบา

"ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่เป็นไรนะลูก"

ช่วงบ่ายในอีกวัน ชีฟนั่งเล่นโทรศัพท์ของตัวเองอย่างสบายใจ แต่จริง ๆ แล้วข้างในไม่ใช่เลย เขากำลังคิดหนักเกี่ยวกับอนาคตของเขา แม่เขาอุตส่าห์เก็บเงินแทบตายเพื่อส่งเขาเรียนสถาบันการศึกษาที่ดี แต่เขาดันทำตัวเองโดนไล่ออกซะงั้น แถมทุนจากรัฐที่เหลืออยู่ก็เหลือไม่มากแล้วด้วย

ชีฟตัดสินใจทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้บนโซฟา ก่อนจะเดินออกไปนอกบ้าน น้องสาวตัวดีกำลังปั่นรถจักรยานสามล้อเล่นอย่างสนุกสนานอยู่คนเดียว แม้อีฟจะอายุครบสี่ขวบแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนที่ไหนเลย ด้วยแม่ของเขาที่มีเงินไม่มาก

ในยุคสมัยนี้โลกนั้นรวมกันเป็นหนึ่งทำให้ไม่เหลือประเทศอีกต่อไป แต่ก็เปลี่ยนรูปแบบการบริหารเป็นรัฐของใครของมัน โดยทั่วโลกจะใช้กฎหมายเดียวกัน แต่เรื่องสวัสดิการนั้นจะขึ้นอยู่กับผู้ครองรัฐแทน โดยไอ้ท่านผู้ครองรัฐของไทยแห่งนี้ ไม่รู้เอาสมองส่วนไหนคิด ดันตัดสวัสดิการการศึกษาของเด็กตั้งแต่อายุสี่ขวบจนถึงอายุสิบหกออกไป โดยอ้างว่ารัฐบาลโลกมีการสนับสนุนเรื่องนี้อยู่แล้ว จากนั้นทุนการศึกษาทั้งหมดก็เอาไปสนับสนุนเด็กอายุสิบเจ็ดขึ้นไปแทน โดยเด็กสิบเจ็ดทุกคนจะได้รับการศึกษาฟรีอย่างแน่นอน ซึ่งหากใครได้รับเหรียญทองก็จะได้รับทุนการศึกษาอีกก้อนมาใช้ด้วย แต่ถึงจะมีทุนอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายค่าเสื้อผ้า ค่าชุด ค่ากิน ค่าหอ ทางบ้านก็ต้องจ่ายเองอยู่ดี ส่วนไอ้ทุนจากรัฐบาลโลกที่ว่า จนถึงตอนนี้เขายังไม่เห็นทุนก้อนไหนตกมาถึงน้องสาวของเขาเลยสักก้อน

น้องสาวของเขาไม่ได้เรียบเพราะแม่ทุ่มเงินทั้งหมดมาที่เขา นั่นทำให้ชีฟที่กำลังมองน้องสาวอยู่ก็มีน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ก่อนจะกำหมัดแน่นแล้วเก็บงำความแค้นบางอย่างไว้ในใจ เขาไม่ได้โดนให้ออกเพราะเรื่องสกิลทองอะไรนั่นหลอก แต่เพราะเขาไปทำให้ลูกชายของมันเสียหน้าต่างหาก ที่จริงแล้วสกิลพุ่งทะลุลวงนั้นแรงมาก ต่อให้เป็นหอกไม้ก็เถอะ ในปีก่อน ๆ เคยมีคนโดนเข้าไปทั้ง ๆ ที่ยังสวมจี้คริสทัลอยู่ แต่ด้วยการกระแทกที่ต่อเนื่องของมัน ก็ทำให้คนคนนั้นบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล

คิดแค้นไปก็เท่านั้น ชีฟถอนหายใจเพื่อผ่อนคลายแล้วเดินออกจากบ้านมาเดินดูทุ่งนาที่เต็มไปด้วยต้นข้าวต้นเล็กอันเขียวขจี เดือนสิงหาคมเป็นช่วงของการเริ่มเพราะปลูก ทำให้ทุ่งนารอบ ๆ นั้นมีแต่ต้นข้าวที่กำลังโต ชีฟเปิดหน้าต่างเมนูแล้วลองใช้สกิลประเมินพืชพันธุ์กับต้นข้าวของตัวเอง ซึ่งไอคอนบนหน้าจอก็แสดงรูปข้าวขึ้นมา โดยกรอบสีของไอคอนนั้นเป็นสีขาว นั่นหมายความว่าข้าวนั้นปลูกง่ายมาก

ชีฟลองให้ระบบสกิลแสดงออร่าขอบเขตการเร่งโตสำหรับต้นข้าวพวกนี้ดู ก่อนจะพบว่าขอบเขตที่รวมการใช้สกิลเสริมอย่างขยายขอบเขตเข้าไปด้วยแล้ว เขาสามารถเร่งโตข้าวพวกนี้ได้ทีละยี่สิบไร่ในครั้งเดียว

เมื่อก่อนพืชสมุนไพรที่เขาเคยเร่งโตนั้นมีกรอบความยากคือสีแดง นั่นทำให้ขอบเขตการเร่งโตกว้างแค่ไม่กี่ตารางเมตร

ชีฟมองออร่าขอบเขตการใช้สกิลของตนก่อนจะยิ้มแก้มปริ แล้ววิ่งกลับไปบ้านเพื่อตะโกนเรียกใครบางคน

"แม่!"

ชีฟพาแม่และน้องสาวตัวดีเดินออกมานอกบ้าน

คุณป้าที่อยู่ข้าง ๆ ชะโงกหน้ามองผ่านรั้วที่ไม่สูงมากนัก ก่อนจะทักทายอีกฝ่ายที่บ้านอยู่ติดกัน

"คุณไพริน ได้ข่าวว่าลูกชายมีเรื่องจนต้องออกจากสถาบันการศึกษางั้นเหรอคะ"

ชีฟ แม่และน้องสาวหันขวับไปมองทันที พวกตนยังไม่ทันได้บอกอะไรกับใครแท้ ๆ แต่ป้าคนนี้กับรู้ข่าวคราวของพวกเขาไวมาก ชีฟคิ้วกระตุกกึกกึกในความรู้มากของใครบางคน

"เอ่อแม่ หนังสติ๊กสมัยผมเด็ก ๆ หายไปไหนแล้วนะ"

ไพรินหันหน้าผู้เป็นลูกชายไปทางอื่นก่อนจะยิ้มทักทายให้กับป้าข้างบ้าน

"นิดหน่อยน่ะค่ะ แต่เดี๋ยวคงแก้ได้"

ไพรินรีบพาลูกชายออกจากบ้านไปเร็ว ๆ ก่อนที่เจ้าตัวดีจะก่อเรื่อง

ทั้งสามคนพากันมายืนในที่นายี่สิบไร่ของตัวเอง ชีฟมองไปรอบ ๆ แล้วพูด

"เราจะรวยกันแล้ว"

ไพรินเลิกคิ้ว ยังคงไม่เข้าใจความหมายของลูกชาย

"ยังไงลูก"

"ดูนะ"

ว่าแล้วชีฟก็วาดมือไปรอบ ๆ ก่อนจะตะโกนว่า

"เหล่าพืชพรรณผู้งดงาม จงเติบโตและให้ผลผลิต ย้า!"

น้องสาวตัวน้อยจ้องมองพี่ชายที่ร่ายคำพูดยาว ๆ

"ต้องร่ายเวทย์ด้วยเหรอคะ ทำหนูไม่เห็นคนในทีวีทำเลย"

ชีฟชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองค้อนยัยน้องสาวช่างถามแล้วขู่แฮ่ ๆ ใส่

"ร่ายเอาเท่มีอะไรมะ เดี๋ยวไม่พาไปซื้อขนมเลย ฮึ่ย"

น้องสาวทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะอยู่เงียบ ๆ เพราะเดี๋ยวพี่ชายจะไม่พาไปซื้อขนม

เมื่อได้จังหวะชีฟก็ประกบมือเข้าหากัน ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ต้องทำก็ได้

ต้นข้าวที่ยังเล็กอยู่ค่อย ๆ เติบโตและงอกงามขึ้นมา จากต้นข้าวสูงที่มีแต่ใบ ก็ค่อย ๆ มีดอกออกมาจากนั้นดอกก็ค่อย ๆ กลายเป็นรวงที่เต็มไปด้วยเมล็ดข้าวสีเขียว แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนสีจนกลายเป็นสีเหลืองทอง

ต้นข้าวยี่สิบไร่เปลี่ยนสภาพจากต้นเล็กกลายเป็นข้าวที่โตเต็มวัยพร้อมเกี่ยวในพริบตา

ชีฟทรุดเข่านั่งลงกับพื้น ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยเหงื่อไหลมากมาย เขาเงยหน้ามองแม่แล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

"นี่ไง ไม่ต้องใส่ปุ๋ยไม่ต้องดูแลไม่ต้องเปลืองน้ำมันสูบน้ำใส่ ประหยัดต้นทุนไปได้เยอะเลย"

ไพรินมองความสามารถของลูกชายอย่างชื่นชม ก่อนที่เธอจะเอะใจถึงอะไรบางอย่างแล้วพูดออกมา

"ว่าแต่ เราจะขายให้ใครละลูก นี่พึ่งจะเดือนสิงหา"

ชีฟสะดุ้งกึก ลานรับซื้อข้าวจะเปิดเฉพาะฤดูเก็บเกี่ยวเท่านั้น ซึ่งก็คือช่วงกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนธันวาคม

น้องสาวตัวเล็กมองภาพตรงหน้าแล้วพึมพำเบา ๆ

"พี่ชายซื่อบื่อ"