สัมภาระสำหรับใช้เมื่อยามฉุกเฉินถูกปลดลงจากหลังม้าล่าสัตว์ทั้งสามตัว อาอู๋ทำหน้าที่ก่อกองไฟ ส่วนอาลิ่วทำหน้าที่ตั้งกระโจมขนาดเล็กเท่าหนึ่งคนนอนขึ้นสามหลัง เพราะบริเวณที่พบเยว่ซินนั้นไกลจากที่พักหลวงมาก เฉิงอี้จึงตัดสินใจพักแรมบริเวณนี้สักหนึ่งคืน ส่วนหนึ่งเพราะสงสารม้าทั้งสาม แม้จะเป็นอาชาฝีเท้าชั้นยอด มีพละกำลังที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นทั้งสามตัวก็วิ่งล่าสัตว์มาตั้งแต่ยามเว่ยจนค่ำมืดป่านนี้มิได้หยุดพัก ผลงานของม้าทั้งสามตัวในวันนี้ ดูท่ากลับไปจวนใหญ่คงต้องตบรางวัลให้คนเลี้ยงม้าอย่างงามแล้ว
ด้านหน้ากระโจมหลังหนึ่ง เฉิงอี้นั่งโอบไหล่เยว่ซินให้นางได้อาศัยเอนพิงซบบนไหล่สักงีบหนึ่งหลังจากล้างบาดแผลบนขมับซ้ายและทายาให้นางเรียบร้อยแล้ว ส่วนอาอู๋เมื่อก่อไฟเสร็จแล้วได้รับคำสั่งจากเฉิงอี้ให้นำนกที่เขายิงได้ในการแข่งขันวันนี้ออกมาย่างไฟกินให้อิ่มท้องก่อนมื้อหนึ่ง
"นายท่าน ตอนอยู่ที่ทางแยกกลางป่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าแม่นางเยว่ซินอยู่ทางนี้" อาลิ่วช่วยพี่ชายย่างนกอยู่ ยามนี้ทุกคนดูสบายใจขึ้นบ้างแล้วจึงเอ่ยถามด้วยความคาใจ
"เจ้าไม่เห็นกลีบดอกท้อเหล่านั้นรึอาลิ่ว" อาอู๋เอ่ยขัดจังหวะ ตอนนั้นเมื่อเขาควบม้าตามหลังเฉิงอี้มาแล้วจึงสังเกตุเห็นว่าคลื่นลมกลีบดอกท้อเหล่านั้นคล้ายกับกำลังนำทางให้เฉิงอี้ พอถึงจุดที่จะเจอนาง ลมเหล่านั้นพลันหายไปราวกับให้พวกเขารอพบเยว่ซินที่นี่ เกรงว่าคงจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาช่วยเหลือคุ้มครองนางแล้วกระมัง
"อย่าบอกนะ นี่! อู๋เกอท่านอย่าล้อข้าเล่นแบบนี้สิ" อาลิ่วเข้าใจผิดไปเสียแล้วว่าอาอู๋กำลังหมายถึงลมเพลมพัดที่มาจากเหล่าภูติผีตามความเชื่อ เขาถึงกับหน้าเสียพลันเขยิบตัวมานั่งใกล้พี่ชายในทันที
"ถ้าเจ้ายังไม่เขยิบออกไปนั่งที่เดิม ข้าจะสั่งลุกนั่งเจ้าเสียร้อยทีเป็นไร" อาอู๋ดึงหน้าตึง อาลิ่วรีบเขยิบออกแม้จะรู้สึกกลัวจนต้องหันมองไปรอบตัว เฉิงอี้นั่งมองสองพี่น้องฝาแฝดคุยกันก็เพียงยิ้มขำเท่านั้น เขาไม่อยากเอ่ยคำใดให้เสียงดัง เพราะเยว่ซินกำลังหลับซบอยู่บนไหล่ เขาไม่อยากรบกวนนาง
ด้านไท่จื่อกับองครักษ์ทั้งสี่ยามนี้ได้กลับมาถึงกระโจมที่พักแล้ว เพราะฟ้ามืดมิดและตลอดหนทางที่ไปนั้นไร้ร่องรอยว่าจะมีผู้ใดหลงผ่านมา พวกเขาตามหาไปจนสุดทางเจอเพียงหน้าผาสูงชันเท่านั้นจึงตัดสินใจกลับมา
"ไท่จื่อเพคะ เจอเยว่ซินหรือไม่เพคะ" หลินหลินที่ยังไม่เข้านอนเพราะเป็นห่วงเยว่ซินสุดหัวใจวิ่งเข้ามาถามไท่จื่อเมื่อเขากลับมาถึง
ไท่จื่อส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะถามกลับหลินหลินว่า "แล้วเฉิงอี้กับองครักษ์ทั้งสองกลับมาแล้วหรือไม่"
"ท่านแม่ทัพเฉิงกับท่านองครักษ์ยังไม่กลับมาเพคะ" เมื่อได้ฟังคำตอบของหลินหลิน ไท่จื่อก็คลี่ยิ้มบางที่มุมปาก ก่อนเอ่ยปลอบใจหลินหลินด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มว่า
"เช่นนั้นเจ้าวางใจ คืนนี้กลับไปพักผ่อนให้สบายใจเถิด เฉิงอี้คงพบแม่นางเยว่ซินแล้ว ไว้วันพรุ่งนี้ตอนเช้าพวกเขากลับมาเจ้าจะได้พบแม่นางเยว่ซิน สหายของเจ้าแน่" พูดจบไท่จื่อก็เดินกลับเข้ากระโจมไป เขาเป็นสหายสนิทกับเฉิงอี้มาตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้นิสัยของเฉิงอี้ดีกว่าใคร เฉิงอี้เป็นแม่ทัพที่ปราดเปรื่องและเฉลียวฉลาด หากไม่พบแม่นางเยว่ซินตามที่ตั้งใจ เกรงว่าคงกลับมาวางแผนตามวิสัยของแม่ทัพแล้ว แต่ในเมื่อยังไม่กลับมาเช่นนี้ คาดว่าเขาคงพบนางแล้ว ป่านนี้คงตั้งกระโจมเล็กให้นางได้พักผ่อนแล้วกระมัง อีกทั้งยังต้องพักม้า รอเวลายามฟ้าสว่างในวันรุ่งขึ้นจึงค่อยเดินทางกลับเพื่อความปลอดภัย เป็นการตัดสินใจตามอุปนิสัยอันรอบคอบของเฉิงอี้เช่นนั้นแล้ว
หลินหลินแม้จะไม่เข้าใจนักว่าไท่จื่อมั่นใจได้อย่างไร แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว จึงยอมกลับกระโจมไปพักผ่อนตามรับสั่งของไท่จื่อ โดยหวังว่าพรุ่งนี้เช้าเยว่ซินจะกลับมาอย่างปลอดภัยตามรับสั่งเช่นนั้นจริงๆ
ณ ตำหนักฮุยอินกง ดินแดนเผ่ามารฮุยอิน ในยามนี้บัลลังก์จอมมารได้มีผู้อาวุโสเผ่ามารเสวี่ยหยาง พี่ชายแท้ๆ ของจอมมารฮุยอินนั่งรักษาการแทนซวิ่นเฟิง ตามที่ซวิ่นเฟิงได้ประกาศไว้ว่าให้เขาเป็นผู้ดูแลอยู่เบื้องหน้า เพราะซวิ่นเฟิงต้องการออกไปสืบหาความจริงเรื่องของทูตสวรรค์ชั่วเพื่อแก้แค้นแทนบิดาให้สำเร็จ หากมีท่านลุงอย่างเขาคอยดูแลพี่น้องเผ่ามารแทนเช่นนี้ได้ ซวิ่นเฟิงจึงจะวางใจ
"ผู้อาวุโสเสวี่ยหยาง" องครักษ์ประจำตัวของเขาเอ่ยและคุกเข่าลงเพื่อคำนับ เสวี่ยหยางผายมือให้เขารีบลุกขึ้น เพราะอยากรู้เรื่องข่าวที่ใช้ให้องครักษ์คนสนิทไปตามสืบยิ่งนัก
"เจ้าพูดมาเถอะ"
"ข้าตามสืบมาได้ความว่า ตอนนี้ท่านจอมมารซวิ่นเฟิงได้ปลอมตัวลงไปโลกมนุษย์ขอรับ"
"โลกมนุษย์งั้นรึ" เสวี่ยหยางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลานชายของเขาจึงไปโลกมนุษย์ ในเมื่อสองทูตนั่นเป็นคนของสวรรค์ แล้วลงไปโลกมนุษย์เช่นนี้จะไปหาใครเจอกันเล่า
"ขอรับ และสืบได้อีกว่า..."
"เจ้ารีบพูดมาไวๆ สืบได้เรื่องเช่นไร" เสวี่ยหยางตะคอกด้วยความใจร้อน องครักษ์หน้าเสียไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบรายงานเรื่องราวทั้งหมดที่สืบมาได้ในรวดเดียวว่า
"ที่ท่านจอมมารซวิ่นเฟิงลงไปโลกมนุษย์ เพราะว่าบัดนี้ไท่เซียนอี้ตี้จวินไปจุติยังโลกมนุษย์ด้วยขอรับ ดูท่าแล้วท่านจอมมารคงกำลังตามสืบเรื่องของสองทูตนั่นจากไท่เซียนอี้ตี้จวินขอรับ"
"เป็นไปไม่ได้ เมื่อเทพลงไปจุติยังโลกมนุษย์จะต้องเป็นเพียงมนุษย์ หาได้มีความทรงจำเมื่อครั้งยังเป็นเทพไม่ แล้วเหตุใดซวิ่นเฟิงต้องไปตามสืบจากคนไร้ความทรงจำเช่นนั้น"
"ไม่ผิดขอรับ ไท่เซียนอี้ตี้จวินจุติในร่างมนุษย์ แต่จิตเทพยังคงเป็นไท่เซียนอี้ตี้จวิน มีความทรงจำเมื่อครั้งเป็นเทพโดยสมบูรณ์ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเทียนจวินให้ไท่เซียนอี้ตี้จวินลงมาตามเทพธิดาน้อยนางหนึ่ง เพื่อช่วยนางกลับแดนสวรรค์ขอรับ และบัดนี้ทั้งท่านจอมมารซวิ่นเฟิง ไท่เซียนอี้ตี้จวิน และเทพธิดาน้อยนางนั้นได้อยู่ด้วยกันที่เมืองเฉียวเซียนทั้งหมดขอรับ"
"ใช้ได้นี่ ที่แท้ซวิ่นเฟิงคงรู้ว่ามนุษย์ผู้นั้นมีจิตเทพของไท่เซียนอี้ตี้จวิน จึงเลือกที่จะไปตามสืบในโลกมนุษย์ ย่อมง่ายกว่าตามสืบบนแดนสวรรค์ หลานชายข้าผู้นี้ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก"
"ขอรับ แล้วผู้อาวุโสจะให้ข้าทำอย่างไรต่อไปขอรับ"
"เจ้าเห็นเมืองเฉียวเซียนแล้วหรือไม่ เป็นเช่นไร"
"เอ่อ...เมืองเฉียวเซียนเป็นเมืองเล็กๆ ติดกับเมืองหลวงขอรับ มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ไท่เซียนอี้ตี้จวินจุติมาเกิดเป็นมนุษย์นามเฉิงอี้ เฉิงอี้ผู้นี้เป็นแม่ทัพใหญ่ของเมืองเฉียวเซียน สายของข้ารายงานว่าไท่จื่อกับแม่ทัพเฉิงอี้เป็นสหายสนิทกัน จะร่วมกันพัฒนาเมืองเฉียวเซียนให้ดีขึ้นใกล้เคียงกับเมืองหลวงขอรับ ส่วนเทพธิดาน้อยนั้น ดูเหมือนตอนนี้นางจะเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาที่อาศัยอยู่ในจวนของแม่ทัพเฉิงอี้เท่านั้นขอรับ"
เสวี่ยหยางทบทวนเรื่องราวที่เพิ่งได้รับฟังอยู่ภายในใจ เขาโบกมือให้องครักษ์ออกไปก่อน เพราะเขาต้องการใช้ความคิดเพียงลำพัง สีหน้าและแววตาของเสวี่ยหยางจากเรียบนิ่งเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ดูซับซ้อนพร้อมนัยน์ตาดูเจ้าเล่ห์ขึ้นทันใดเมื่อนึกถึงแผนการบางอย่างขึ้นมาได้อย่างน่าพอใจ
ในเมื่อบัดนี้บุคคลสำคัญแห่งแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างไท่เซียนอี้ตี้จวินเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ไร้ซึ่งพิษสงใดจะมาต่อกรกับผู้อาวุโสจอมมารเช่นเขา หากได้แก้แค้นสองทูตชั่วร้ายนั้นแล้วอย่างไร สองทูตนั่นเป็นเพียงเทพสวรรค์ฐานะต่ำต้อย หากสูญเสียไปแล้วทั้งแดนสวรรค์จะไปรู้สึกอันใด มิสู้กำจัดมหาเทพอย่างไท่เซียนอี้ตี้จวินไปเสียเลยถึงจะสาสมกว่าใช่หรือไม่
ทั้งยังมีเทพธิดาน้อยอีกทั้งคน หากนางมิสำคัญต่อแดนสวรรค์ เหตุใดเทียนจวินจึงต้องให้ความสำคัญกับนางถึงขั้นส่งให้ไท่เซียนอี้ตี้จวินลงมาตามหานางด้วยตนเองเช่นนี้ แต่นางจะเป็นใคร ผู้อาวุโสอย่างเขาไยต้องสนใจด้วยเล่า เพียงกำจัดให้สิ้นในคราวเดียว คำตอบของความสงสัยเกรงว่าคงไม่จำเป็นเสียแล้ว!
เสียงฝีเท้าเหล่ายอดอาชาวิ่งตรงกลับมายังกระโจมหลวง ไท่จื่อกับองครักษ์และหลินหลินที่เฝ้ารอการกลับมาของเฉิงอี้และเยว่ซินตั้งแต่เช้า เมื่อได้ยินเสียงนั้นก็รีบออกมายืนรอรับพวกเขาด้วยความเป็นห่วงและโล่งใจที่พวกเขาไม่กลับมาช้าไปกว่านี้
เมื่อทั้งสี่คนมาถึง ไท่จื่อเห็นเยว่ซินกลับมาอย่างปลอดภัยแม้จะรู้สึกดีใจและโล่งใจมาก แต่เมื่อเห็นนางนั่งอยู่ในอ้อมกอดของเฉิงอี้บนหลังม้าเช่นนั้น ความรู้สึกบีบแน่นภายในใจ มันช่างน่าหงุดหงิดไม่น้อยเลย
"ถวายบังคมไท่จื่อ เยว่ซินผิดไปแล้วเพคะ" เมื่อเฉิงอี้อุ้มเยว่ซินลงจากหลังม้าแล้ว นางจึงรีบนั่งคุกเข่าอย่างสำนึกผิดต่อหน้าไท่จื่อทันที
ไท่จื่อตรวจดูใบหน้าของเยว่ซิน แม้นางจะกำลังก้มหน้าสำนึกผิดต่อเขา แต่บาดแผลที่ขมับซ้ายของเยว่ซินนั้นเห็นได้ชัดเจน แผลนั้นถูกทายาให้อย่างดี ทั้งสีหน้าของเยว่ซินตอนนี้ดูไม่มีอันใดให้น่ากังวล เกรงว่าเฉิงอี้คงดูแลนางมาเป็นอย่างดีแล้ว
"ไม่เป็นไร ข้ามิกล่าวโทษเจ้า เจ้าลุกขึ้นเถิด กลับมาอย่างปลอดภัยเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว รีบไปหาหลินหลินสหายรักของเจ้าเถิด นางร้องไห้เป็นห่วงเจ้ามาทั้งคืน ข้าปลอบใจนางแทนเจ้าไม่ไหวแล้ว" ไท่จื่อเอ่ยปลอบโยนนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พลางยิ้มบางเมื่อปรายตามองหลินหลินที่ยืนอยู่ด้านหลัง
"ขอบพระทัยเพคะไท่จื่อ" เยว่ซินกำลังจะลุกขึ้น หลินหลินจึงรีบเข้ามาประคองแล้วโผกอดกันด้วยความดีใจ
"ส่วนพวกเจ้าไปพักผ่อนกันก่อนเถิด เมื่อสบายดีแล้ว ข้าจะได้ตัดสินผู้แพ้ชนะในการแข่งขันล่าสัตว์ ข้ารอชมผลงานของพวกเจ้าอยู่ ส่วนเฉิงอี้ เจ้ามานั่งพักในกระโจมของข้าเถิด ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า" ไท่จื่อกล่าวกับองครักษ์ฝาแฝดทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้ากระโจมเพื่อไปรอเฉิงอี้
เฉิงอี้เห็นแววตาของไท่จื่อเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจนแล้ว สหายผู้สูงศักดิ์ของเขากำลังไม่พอใจในตัวเขาแล้วใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าคงจะเป็นเพราะเยว่ซินแล้วกระมัง
"อาอู๋ ไท่จื่อทรงเรียกพบซือฝุแบบนั้น ซือฝุจะโดนลงโทษแทนข้าหรือไม่" เยว่ซินหันไปเอ่ยถามองครักษ์ผู้พี่ เมื่อเฉิงอี้เดินเข้ากระโจมของไท่จื่อไปพ้นตาแล้ว นางเห็นสีหน้าไท่จื่อเมื่อครู่เหมือนกำลังรู้สึกไม่พอใจบางเรื่องขึ้นมา จนเกรงว่าเรื่องนั้นจะเป็นเพราะนางเสียเอง
"ไม่น่าใช่ขอรับ ไท่จื่อตรัสแล้วว่าจะไม่กล่าวโทษแม่นางเยว่ ดังนั้นข้าคิดว่าคงจะปรึกษากันเรื่องอื่นเสียมากกว่า แม่นางเยว่อย่าได้กังวล"
"จริงด้วย หลินหลิน เจ้าพาแม่นางเยว่ไปพักผ่อนเถิด พวกข้าจะขอตัวไปพักเช่นกัน ตอนตัดสินผลแพ้ชนะ แม่นางเยว่จะได้มีแรงมาให้กำลังใจนายท่านนะขอรับ" อาลิ่วยิ้มบอกเพื่อให้เยว่ซินสบายใจ
ภายในกระโจมของไท่จื่อ เฉิงอี้รินน้ำชาดอกหอมหมื่นลี้ลงในจอกทั้งสอง ยื่นให้ไท่จื่อหนึ่งจอกและของตัวเองหนึ่งจอก ไท่จื่อยกชาขึ้นดื่มแล้ววางจอกน้ำชาลงบนโต๊ะดังกึกหนึ่ง เฉิงอี้มองถ้วยชาวางเปล่านั้น จึงยกกาน้ำชารินให้อีกครั้ง
"หลังตัดสินผลแพ้ชนะการแข่งขันล่าสัตว์ ข้าจะประกาศขอแม่นางเยว่ซินแต่งงานกับข้า" ไท่จื่อพูดขึ้นขณะที่อีกฝ่ายกำลังรินน้ำชา มือของเขาหยุดนิ่งจนน้ำชาแทบจะล้นจอก ถึงแม้จะหยุดรินได้ทัน แต่น้ำชานั้นก็ถูกเติมจนปริ่มปากจอกทีเดียว
"ข้าคิดว่า..." เฉิงอี้วางกาน้ำชาลงแล้วเอ่ยขึ้น แต่ทว่าไท่จื่อได้ขัดขึ้นมาเสียก่อน
"ครั้งนี้ข้ามิได้จะถามความเห็นของเจ้า ครั้งนี้ข้าเพียงบอกเจ้าในฐานะสหายสนิทของข้าเท่านั้น" แม้ไท่จื่อจะแสดงสีหน้าเรียบนิ่งยากจะคาดเดา แต่น้ำเสียงทุ้มต่ำเช่นนี้ ไท่จื่อคงกำลังคิดจะตัดไฟอย่างเฉิงอี้ตั้งแต่ต้นลมเสียแล้วกระมัง
"ถ้าเช่นนั้น ข้าขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ" เฉิงอี้กล่าวพร้อมยกจอกน้ำชาคำนับแล้วดื่มน้ำชานั้นจนหมด ก่อนจะขอตัวกลับออกมาโดยที่ไท่จื่อมิได้รั้งไว้แต่อย่างใด
ช่วงเวลายามเซินหลังมื้ออาหารเที่ยง ทุกคนถูกเรียกให้มาพร้อมกันที่ลานกว้างด้านหน้ากระโจมหลวง เพื่อเข้าร่วมชมผลตัดสินแพ้ชนะในการแข่งขันล่าสัตว์ ใบหน้าของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งต่างก็ลุ้นกันว่าใครจะเป็นผู้ชนะในครั้งนี้
ทหารนับสิบคนทยอยยกร่างสัตว์ไร้วิญญาณจำนวนหลายสิบตัวมากองไว้ตามสีของลูกธนูทั้งหกสี ก่อนข้าราชบริพารคนหนึ่งจะก้าวมาข้างหน้าเพื่ออธิบายกติกาอีกครั้ง และแจ้งผลการแข่งขันต่อหน้าทุกคน
"กติกาการแข่งขันในครั้งนี้ แบ่งเป็นสัตว์ใหญ่หนึ่งเบี้ยทอง สัตว์เล็กห้าเบี้ยเงิน และสัตว์ปีกบนเวหาเท่านั้นสองเบี้ยทอง และสีของลูกธนูคือตัวแทนของผู้เข้าแข่งขัน แบ่งเป็นสีเหลืองของไท่จื่อ สีแดงของแม่ทัพเฉิงอี้ สีน้ำเงินขององครักษ์อู๋ สีเขียวขององครักษ์ลิ่ว สีขาวขององครักษ์ไป๋ สีดำขององครักษ์ลู่ สีม่วงขององครักษ์จิน และสีส้มขององครักษ์หยวน..."
ผู้อ่านกติกาเดินนับคะแนนเมื่อเหล่าทหารจัดวางเหล่าสัตว์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ทุกกองล้วนมีเหล่าสัตว์เล็กใหญ่วางกองอยู่เกือบสิบตัวแทบทั้งสิ้น เว้นแต่กองสีแดงที่มีนกไร้วิญญาณวางอยู่เพียงสามตัวเท่านั้น
"กองของแม่ทัพเฉิงอี้มีนกแค่สามตัวเท่านั้นเอง" ใครสักคนในกลุ่มผู้ชมเอ่ยอย่างดูแคลน และจากนั้นหลายเสียงเริ่มพูดคุยกันถึงผลงานเฉิงอี้ที่กองประจักษ์อยู่เบื้องหน้ากันระงม
"เฉิงอี้ เหตุใดเจ้าล่านกมาได้เพียงสามตัวเท่านั้นเล่า" แม้กระทั่งไท่จื่อเองยังแปลกใจจนคิ้วขมวดอดหันมาถามเฉิงอี้มิได้ สหายของเขาเป็นแม่ทัพฝีมือดีที่สุดในราชสำนัก ผลงานที่ออกมาเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลเป็นแน่
"ทูลไท่จื่อ ที่จริงแล้ว..." อาลิ่วที่ได้ยินเสียงนินทาเจ้านายของตนจากกลุ่มข้าราชบริพารแล้วหงุดหงิดใจยิ่ง จึงอยากจะบอกไท่จื่อถึงสาเหตุที่แท้จริงนั้น แต่เฉิงอี้กระแอมไอขัดคอไว้เสียก่อน
"ข้ายิงได้เท่านี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ" เฉิงอี้ตัดบทเช่นนี้ ยิ่งสร้างเสียงฮือฮาไปกันใหญ่ เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าแท้จริงแล้วเขายิงนกได้กี่ตัวกันแน่ แม้อาลิ่วอธิบายไปจะเกิดประโยชน์อันใดเล่า
"ไม่จริงนะเพคะ..." เยว่ซินกับหลินหลินที่ยืนชมอยู่ท่ามกลางกลุ่มข้าราชบริพารย่อมได้ยินเสียงคำดูแคลนแก่เฉิงอี้ชัดเจนกว่าผู้ใด เยว่ซินทนไม่ได้ที่จะเห็นเฉิงอี้ถูกเยาะเย้ยเช่นนี้ นางจึงตะโกนบอกแล้ววิ่งออกมากลางลาน จนทุกสายตาหันมาจับจ้องมองนางเป็นตาเดียว
ไท่จื่อเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของเยว่ซินจึงปรากฎรอยยิ้มอย่างชอบใจ สตรีที่เขาหมายตาที่แท้แล้วช่างใจกล้าถึงเพียงนี้
"เยว่ซิน เจ้ามีอะไรจะบอกข้า เจ้าพูดเถิด" เมื่อเห็นแล้วว่าไท่จื่อสนับสนุนนาง เยว่ซินจึงมีความกล้าที่จะตะโกนบอกทุกคนต่อไปว่า...
"ซือฝุของข้ามิได้ด้อยฝีมืออย่างที่พวกท่านกำลังนินทากันอยู่ไม่ ที่จริงแล้วซือฝุยิงนกได้ถึงแปดตัว แต่เพราะข้าพลัดหลงในป่า ซือฝุจึงให้อาอู๋กับอาลิ่วนำนกมาย่างเป็นเสบียงให้อิ่มในหนึ่งมื้อ ดังนั้นถึงแม้ว่าการนับคะแนนจะนับเพียงจำนวนสัตว์ที่เห็นอยู่ตรงหน้าพวกท่าน แต่ข้ายืนยันได้ว่าซือฝุของข้าคือแม่ทัพที่เก่งกาจที่สุดในเมืองเฉียวเซียนของข้าแล้ว" พูดจบเยว่ซินก็แกะผ้าคาดเอวออกแล้วหยิบกระดูกขาขวาของนกที่ถูกย่างไปออกมาแสดงให้ทุกคนดู แล้วตะโกนบอกต่อไปอีกว่า
"นี่คือขาขวาของนกทั้งห้าตัวที่ถูกย่าง มีทั้งหมดห้าขา ท่านองครักษ์ไป๋ ท่านนำไปตรวจดูได้ นกมีเพียงสองขาเท่านั้น ขาซ้ายข้าทิ้งไป ขาขวาข้าเก็บมาเป็นหลักฐาน ดังนั้นมีขาขวาห้าชิ้น แปลว่ามีนกห้าตัวไม่ผิดแน่" เยว่ซินยื่นกระดูกขานกให้องครักษ์ไป๋ หัวหน้าองครักษ์ของไท่จื่อไปตรวจดู องครักษ์ไป๋เดินเข้าไปรับกระดูกขานกมาอย่างงงๆ แต่เมื่อหันไปมองพระพักต์ไท่จื่อที่เห็นด้วยเช่นนั้นแล้ว เขาจึงต้องทำตามนางอย่างเสียมิได้
"เป็นขาขวาของนกห้าตัวจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์ไป๋เอ่ย เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงปรบมือให้แม่ทัพเฉิงอี้พร้อมเอ่ยชื่นชมจนเกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นอีกระลอก เยว่ซินเห็นทุกคนเข้าใจความจริงแล้วจึงถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก
"แม่นางเยว่แอบเก็บขานกมาด้วย เหลือเชื่อจริงๆ" อาลิ่วกระซิบกับอาอู๋อย่างแทบไม่เชื่อสายตา เพราะคิดว่าจะไม่มีหลักฐานใดเสียแล้ว สองพี่น้องฝาแฝดคลี่ยิ้มอย่างชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของเยว่ซิน
ด้านเฉิงอี้ที่นั่งฟังอยู่ข้างไท่จื่อไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ สายตาของเขาจ้องมองเพียงใบหน้าของเยว่ซิน แล้วต้องหลุดขำออกมาอยู่คนเดียวเบาๆ เมื่อเห็นหลักฐานกระดูกขานกที่นางแอบเก็บมาด้วยนั้นช่างน่าเอ็นดูเสียจริง เพียงเพื่อต้องการที่จะปกป้องเขาแล้วนางทำใจกล้าได้ถึงเพียงนี้
"เอาล่ะ ในเมื่อมีหลักฐานถูกต้องแล้ว ข้าก็จะรับไว้ ขอบใจเจ้ามากเยว่ซิน" ไท่จื่อประกาศก้อง ทั้งเยว่ซินและหลินหลินต่างกระโดดร้องดีใจ เยว่ซินวิ่งกลับไปหาหลินหลินโดยที่ไม่ลืมหันมามองเฉิงอี้พร้อมกับยิ้มหวานให้อย่างน่ารัก
"ลำดับต่อไป ประกาศผลคะแนนได้ ไท่จื่อยิงสัตว์ใหญ่ได้สามตัว สัตว์เล็กสี่ตัว และนกหนึ่งตัว..." ข้าราชบริพารผู้ขานรางวัลกล่าวผลนับคะแนนไปท่ามกลางความตื่นเต้นของผู้ชม
ยกเว้นเพียงเฉิงอี้ เขานั่งมองเยว่ซินจากฝั่งตรงข้ามอยู่เงียบๆ หลังประกาศผลแพ้ชนะในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้จะทำให้นางยังคงยิ้มสดใสเช่นนี้ได้อยู่อีกหรือไม่
"เฉิงอี้...เฉิงอี้!" ไท่จื่อหันมาเรียกเฉิงอี้เสียงเข้ม เพราะเรียกมาถึงสองสามทีแล้วอีกฝ่ายไม่รู้สึกตัวเสียที
"พ่ะย่ะค่ะ" เฉิงอี้สะดุ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะมองเห็นว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาอยู่
"เจ้าชนะแล้วเฉิงอี้ มารับรางวัลสิ" เพราะมัวแต่นั่งเหม่อใจลอยคิดถึงเรื่องเยว่ซิน เฉิงอี้จึงไม่ได้ยินเสียงประกาศใดๆ แม้กระทั่งประกาศว่าตนชนะการแข่งขันก็ยังมิรู้เลย
เฉิงอี้ลุกมาคำนับเพื่อรับรางวัลสิบหกเบี้ยทองเบื้องหน้าไท่จื่อ เยว่ซินปรบมือพร้อมตะโกนเรียกเขาเพื่อเป็นกำลังใจ
"ซือฝุของข้าเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ!" เสียงตะโกนของเยว่ซินนั้นช่างสดใสและน่าเอ็นดูจนทุกคนพากันยิ้มให้นางและปรบมือให้เฉิงอี้ไปพร้อมกัน
เฉิงอี้ที่ยืนหันหลังให้เยว่ซินเพราะกำลังรับรางวัลจากไท่จื่อได้ยินเสียงตะโกนของนางถึงกับก้มหน้าหลับตาข่มความเจ็บปวดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ภายในใจเอาไว้ ก่อนปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งกลับมานั่งที่เดิมเพื่อรอเวลานั้นที่กำลังจะมาถึง
"เอาล่ะ ในเมื่อรู้ผลแพ้ชนะแล้ว ข้ามีอีกเรื่องจะประกาศต่อไปนี้" ไท่จื่อประกาศก้อง มีเพียงเฉิงอี้เท่านั้นที่รู้ว่าไท่จื่อหมายถึงเรื่องใด เขานั่งกำหมัดแน่นเพื่อหวังจะคลายความเจ็บปวดที่กำลังเกิดขึ้นภายในใจให้เบาลงได้บ้าง
เมื่อทุกคนอยู่ในความเงียบสงบแล้ว ไท่จื่อจึงประกาศต่อไปว่า "ก่อนข้ามาที่นี่ ฮองเฮาได้รับสั่งให้ข้าแต่งงาน เพียงแต่ข้ายังไม่เจอสตรีนางใดถูกใจข้า จนกระทั่งข้าได้เดินทางมาถึงเมืองเฉียวเซียน ข้าก็ได้พบสตรีผู้นั้นที่ข้าถูกใจแล้ว..." ไท่จื่อเว้นวรรคพลางหันมามองเฉิงอี้ปาดหนึ่ง ก่อนจะหันไปสบตากับสตรีที่เขาถูกใจ แล้วประกาศข้อความสำคัญที่ทำเอาทุกคนตกตะลึงไปพร้อมกันทั่วทั้งลาน
"แม่นางเยว่ซิน เจ้ายินดีจะเป็นหวงไท่จื่อเฟยของข้าหรือไม่"
เสียงเอ่ยถามของไท่จื่อนั้นเหมือนท่อนไม้ฟาดทับที่บาดแผลบนขมับด้านซ้ายไม่มีผิด เยว่ซินยืนนิ่งรู้สึกตัวชาไปหมดจนไม่สามารถขยับตัวได้เลยในนาทีนั้น ภายในใจของนางเกิดความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกบีบเค้นราวกับจะเอาชีวิตจนแทบหายใจไม่ออก นัยน์ตากลมโตที่เริ่มจะพร่ามัวเพราะน้ำตาเอ่อล้นจนขอบตารู้สึกอุ่นร้อนมองไปยังเฉิงอี้ เหตุใดเขาถึงนั่งนิ่งเช่นนั้นเล่า นางคาดหวังว่าเขาจะเอ่ยคำทัดทานต่อไท่จื่อเพื่อปกป้องนางสักคำ แต่เพราะเหตุใดกันเขาถึงไม่เอ่ยวาจาใดออกมาสักคำเดียว เหตุใดสีหน้าของเขาถึงไม่แสดงอาการอะไรเลยสักนิด หรือว่าที่แท้แล้วเขายินดีที่จะมอบนางให้แก่ไท่จื่อเช่นนั้นแล้วใช่หรือไม่
"ไท่จื่อเพคะ ก่อนหน้านี้ข้าได้คำนับผู้หนึ่งเป็นอาจารย์ ศิษย์ผู้โง่เขลาอย่างข้ามิกล้าตัดสินใจเรื่องสำคัญ หากข้าปรึกษาท่านอาจารย์ของข้าแล้ว เพียงท่านอาจารย์อนุญาต ข้าก็ไม่มีเหตุผลอันใดจะปฏิเสธเพคะ" ในเมื่อเขาไม่ยอมเอ่ยวาจาใดมาปกป้องนาง นางจึงต้องบังคับให้เขาเอ่ยออกมาให้ได้เช่นนี้
"ดี! เช่นนั้นข้าอนุญาตให้เจ้าถามซือฝุของเจ้า" ไท่จื่อมีหรือจะปฏิเสธ ในเมื่อเขาคิดจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม มิสู้ให้เฉิงอี้ตัดกับนางเสียเองย่อมได้ผลดีที่สุดแล้วใช่หรือไม่
"ซือฝุ ท่านจะอนุญาตให้ข้าแต่งงานกับไท่จื่อหรือไม่เจ้าคะ" เยว่ซินเอ่ยถามเฉิงอี้ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางมองเฉิงอี้ด้วยแววตาคาดหวังอย่างสุดชีวิตว่าเขาจะเอ่ยคำที่นางอยากฟังมากที่สุดในตอนนี้
"ข้ายินดี"
คำตอบที่ชัดเจนของเฉิงอี้ราวกับคมมีดกรีดเข้าที่หัวใจของเยว่ซินจนมิเหลือชิ้นดี น้ำตาของนางไหลออกมาอย่างสุดกลั้น ที่แท้แล้วความรักที่นางมีให้เขา เทียบไม่ได้เลยกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไท่จื่อเช่นนั้นหรือ เพื่อปกป้องความรู้สึกของสหายคนสนิทอย่างไท่จื่อ เขาจึงเลือกทำลายความรู้สึกของนางเช่นนี้ดีกว่าใช่หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น...ในเมื่อบุญคุณต้องทดแทน เห็นแก่ที่เขาเป็นซือฝุของนาง หากการแต่งงานครั้งนี้ทำให้ซือฝุของนางมีความสุข นางก็ยินดีเช่นกัน
เยว่ซินเดินก้าวออกมาอย่างช้าๆ และตรงไปหยุดอยู่ตรงหน้าไท่จื่อ ก่อนจะคุกเข่าแล้วคำนับพร้อมเอ่ยออกไปว่า...
"เยว่ซินยินดีเพคะ"
เฉิงปรายตามองเยว่ซินที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า มือของเขากำแน่นเสียจนฝ่ามือเป็นรอยเล็บและมีเลือดซึม แต่แผลเล็กๆ เหล่านั้นเทียบมิได้เลยกับความเจ็บปวดภายในใจเมื่อได้ยินเสียงของนางตอบรับยินยอมที่จะแต่งงานกับสหายผู้สูงศักดิ์แล้ว
เหตุใดเขาต้องยอมด้วยเล่า มิใช่ว่าเขาไม่รักนาง มิใช่ว่าเขาไม่ต้องการให้นางปฏิเสธ แต่แท้จริงแล้วเขาคือจตุรเทพแห่งแดนสวรรค์ไท่เซียนอี้ตี้จวินที่ต้องเผชิญกับด่านเคราะห์รักครั้งสุดท้ายแห่งเทพบรรพกาลเช่นนั้นแล้ว ดังนั้นหากไท่จื่อคือผู้ที่จะมาทำให้เขาเผชิญความทุกข์เพราะรัก เขาจำต้องยอมเป็นผู้ที่เจ็บปวดเสียเองเพื่อให้ด่านเคราะห์ครั้งสุดท้ายนี้สำเร็จต่อไปได้
หาใช่ว่าเขาต้องการกายเซียนอันเป็นอมตะไม่ เพียงแต่เขาต้องการที่จะบรรลุด่านเคราะห์รักนี้ไปให้เร็วที่สุดเท่านั้น เพื่อที่หลังจากนี้ เมื่อใดที่เขาหาทางช่วยปลดผนึกจิตเทพให้แก่เยว่ซินและพานางกลับสู่แดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้สำเร็จ ถึงครานั้นต่อให้มีไท่จื่ออีกสักร้อยคน ก็อย่าหวังว่าจะมาแย่งซิงเยว่ซินไปจากเขาได้ง่ายดายเช่นนี้ไม่!
ด้านไท่จื่อเมื่อเยว่ซินตอบรับเช่นนั้นก็พอใจเป็นอย่างมาก เขาลุกไปประคองไหล่บางด้วยรอยยิ้ม ท่ามกลางเสียงแสดงความยินดี นี่ช่างเป็นข่าวดีแห่งราชวงศ์ยิ่งนัก ยกเว้นสององครักษ์ผู้ภักดีของเฉิงอี้ที่ยืนนิ่งเงียบเพราะเข้าใจจิตใจเจ้านายดีกว่าผู้ใด