webnovel

บทที่ 17

ณ อาณาจักรทะเลตงไห่ ภายใต้อำนาจการดูแลของเทพแห่งท้องทะเลก่วงซุนเต๋อ ใต้ผิวน้ำลึกลงไปเป็นตำหนักจินตงไห่อันโอ่อ่า ตลอดทางเดินภายในอาณาจักรดูงดงามราวกับภาพฝันด้วยแสงสว่างแวววาวจากไข่มุกราตรีบรรพกาล ตัดกับแสงสีแดงพริ้วไหวไปกับคลื่นใต้น้ำจากปะการังเพลิงสีชาด ทางเดินเป็นพื้นทรายขาวเหยียบนุ่มเท้าราวกับพรมขนแกะบนพื้นโลกเบื้องบน

หวังจิ้นได้ส่งเวทสารมาถึงก่วงซุนเต๋อก่อนจะมาถึงล่วงหน้าแล้ว บัดนี้ก่วงซุนเต๋อจึงนั่งรอเวลาที่หวังจิ้นกำลังจะมาเยือนในเวลาอันใกล้นี้อยู่ที่โถงตำหนักพร้อมสุราชั้นดี

"ท่านก่วงซุนเต๋อ ท่านหวังจิ้นมาถึงแล้วเจ้าค่ะ" เซียนสาวรับใช้คนหนึ่งเดินนำหน้าหวังจิ้นเข้ามาภายในโถงตำหนัก

หวังจิ้นคารวะก่วงซุนเต่อตามลำดับอาวุโส ผู้อาวุโสกว่ายกมือเปรยให้อีกฝ่ายทำตัวตามสบายเถิด เพราะอย่างไรแล้วหวังจิ้นก็เป็นถึงจตุรเทพแดนสวรรค์ จะพิธีรีตองมากไปทำไมเล่า

"ท่านหวังจิ้น เชิญดื่ม" ก่วงซุนเต๋อชวนดื่มสุราตามวิสัย อันเป็นที่รู้กันทั้งแดนสวรรค์ว่าเทพที่คอแข็งที่สุดต้องยกให้ผู้อาวุโสท่านนี้แล้ว

เมื่อเซียนสาวรับใช้รินสุราใส่จอกส่งให้หวังจิ้น เขายกจอกขึ้นดมกลิ่นสุราแล้วเกิดความแปลกใจจึงเอ่ยถามขึ้นว่า "กลิ่นสุราของท่านไม่คุ้นเลย มิรู้ว่าเป็นสุราหมักจากสิ่งใด"

"นี่คือสุราเฝินจิ่วที่ข้าได้มาจากโลกมนุษย์ มีกลิ่นหอมซับซ้อนจากสมุนไพร แม้รสชาติจะเข้มข้น แต่ก็นุ่มลิ้นละมุนในลำคอ เป็นสุราชั้นยอดที่ข้าโปรดปรานที่สุด หากมิใช่เป็นท่าน ข้ามินำออกมาต้อนรับแน่นอน" ก่วงซุนเต๋อพูดทีเล่นทีจริงในตอนท้ายพร้อมหัวเราะอารมณ์ดีที่นานๆ ทีทะเลตงไห่จะได้ต้อนรับแขกจากแดนสวรรค์เบื้องบน

"ถ้าเช่นนั้น ข้ามิเกรงใจแล้ว" หวังจิ้นเห็นถึงน้ำใจของผู้อาวุโสจึงดื่มหมดจอกในคำเดียว

"เอาล่ะ ข้าได้อ่านเวทสารของท่านแล้ว ที่ท่านมาหาข้าเพราะอยากถามข้าเรื่องสงครามเผ่ามารฮุยอิน ทั้งๆ ที่เรื่องจบไปแล้ว เหตุใดท่านจึงอยากรื้อฟื้นถึงอีกหรือ" เมื่อสุราเข้าปากแล้ว ก่อนจะดื่มให้หนำใจสมกับที่นานๆ ได้พบหน้ากันสักครา มิสู้รีบคุยธุระสำคัญให้จบเร็วๆ ก่อนที่จะดื่มหนักให้สำราญดีหรือไม่

"เรื่องนั้นเพราะข้ามีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ ข้าเป็นเทพอักษรมีหน้าที่บันทึกตำรา หากข้าบันทึกผิดไปเกรงว่าสร้างเรื่องเอาได้"

"ข้าเข้าใจ เช่นนั้นท่านต้องการถามข้าประเด็นใด"

"ข้าอยากรู้ว่าก่อนเกิดสงคราม ในวันนั้นที่ทะเลตงไห่เกิดเรื่องผิดปกติอันใดบ้างหรือไม่" หวังจิ้นเอ่ยถามเข้าประเด็นสำคัญทันที จากเรื่องเล่าของแดนสวรรค์และเผ่ามารที่ได้มีบันทึกไว้ไม่ตรงกัน นั่นคือประเด็นของปีศาจเต่าพันปีออกอาละวาดที่ทะเลตงไห่ แล้วเผ่ามารอ้างว่านั่นเป็นเพียงแค่กลอุบายของเทพสวรรค์ที่ใช้หลอกลวงพวกเขาเท่านั้น

"ที่แท้เป็นเรื่องนี้เอง จริงสิ วันนั้นกองทัพทหารเทพของท่านอวี๋หลี่จวินมาถึงล่าช้าจนข้าเองยังแปลกใจ จึงไม่แปลกแล้วหากท่านไม่แน่ใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาก่อนหน้านั้น"

"ถูกต้อง ที่ข้าสงสัยคือเหตุการณ์ตอนที่ปีศาจเต่าพันปีออกอาละวาด ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดมันจึงทำเช่นนั้น"

"เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก เดิมทีเต่าพันปีจะจำศีลในถ้ำใต้ภูเขาในทะเลตงไห่ หากไม่มีผู้ใดไปก่อกวนให้เกิดโทสะ ก็ไม่น่าเกิดเรื่องขึ้นมาได้ แต่บัดนี้ข้าเองก็ตามสืบหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้เช่นกัน จึงคิดเอาไว้ทางหนึ่งว่าผู้ที่เข้าไปก่อกวนเต่าพันปีจนตื่นจากการจำศีลคงสิ้นแล้วกระมัง มิเช่นนั้นคงไม่มีเหตุผลใดที่ข้าจะตามหาตัวการไม่พบอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้"

หวังจิ้นนิ่งคิดแล้วเอ่ยถามต่อว่า "ถ้าผู้นั้นตั้งใจไปปลุกปั่นเต่าพันปี ท่านคิดว่าผู้นั้นหวังประโยชน์อันใด"

"นี่เป็นคำถามที่ข้าเองก็ยังคิดไม่ตกเช่นกัน เหตุการณ์ในวันนั้นช่างเลวร้ายยิ่งนัก เต่าพันปีแม้จะได้ชื่อว่าเป็นปีศาจ แต่ไม่เคยปรากฎเรื่องเล่าว่าปีศาจตนนี้จะออกทำร้ายผู้ใดก่อนหากมิได้โดนรังแก แต่ในวันนั้นเต่าพันปีอาละวาดอย่างดุร้ายจนผิดวิสัย แม้กระทั่งข้าเองแทบจะรับมือไม่ไหวจึงส่งทหารเทพตงไห่ไปแจ้งท่านเทพสงครามอวี๋หลี่จวินให้มาช่วยรับมือ"

"ท่านส่งทหารเทพตงไห่ไปแจ้งข่าวเช่นนั้นหรือ แต่ในวันนั้นผู้แจ้งข่าวให้อวี๋หลี่จวินและเทียนจวินรับรู้คือท่านจื่อหยวน เทพอัสนีแห่งแดนสวรรค์ วันนั้นข้าอยู่ด้วยไม่ผิดแน่" หวังจิ้นนึกย้อนไปถึงตอนที่เทพจื่อหยวนแจ้งข่าวนี้บนแดนสวรรค์ว่าเขาพบศพทหารเทพตงไห่มากมายเกรงว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นอวี๋หลี่จวินจึงไม่รอช้า รีบพากองทัพทหารเทพสวรรค์มาที่ทะเลตงไห่แทบจะทันที

"เรื่องนั้นข้าเองเพิ่งมารับรู้ภายหลังเช่นกัน เพราะทหารเทพตงไห่ผู้นั้นถูกพบเป็นศพไปก่อนที่ท่านเทพสงครามจะเดินทางมาถึงเสียอีก"

"แต่ถึงอย่างนั้น หลี่จวินก็นับว่ามาถึงช้าเกินไปแล้วใช่หรือไม่ ข้าจำได้ว่าหลังสงครามหลี่จวินเศร้าใจอยู่ไม่น้อยที่สูญเสียพี่น้องทหารเทพไปมากมายถึงเพียงนั้น"

"จะว่ามาช้าก็ไม่ถูกต้องนัก..." ผู้อาวุโสขมวดคิ้วอย่างพยายามเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ในความทรงจำให้ถ้วนถี่แล้วกล่าวต่อว่า "ท่านอวี๋หลี่จวินมาถึงทะเลตงไห่ ตอนนั้นเต่าพันปีได้อาละวาดไล่ต้อนทหารเทพตงไห่ไปอีกฝั่งหนึ่งแล้ว จึงเป็นไปได้ว่าท่านอวี๋หลี่จวินมาจึงไม่พบ จังหวะเดียวกันข้ากับเหล่าทหารที่ถูกต้อนไปก็พยายามร่วมแรงต่อสู้ พวกเราใช้เวลาถึงยี่สิบวันในการสร้างตาข่ายค่ายกลในที่สุดก็สามารถกักขังปีศาจเต่าพันปีไว้ได้"

หวังจิ้นนั่งฟังนิ่งพลางคำนวณระยะเวลาตามคำบอกเล่าของก่วงซุนเต๋ออยู่ในใจ หากเขาคำนวณไม่ผิดพลาด ภายในยี่สิบวันนั้นคงเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อวี๋หลี่จวินได้เริ่มรบกับกองทัพของเผ่ามารเข้าพอดีแล้วกระมัง

และหากเรื่องราวเป็นเช่นนั้นอวี๋หลี่จวินจะสงสัยว่าศพทหารเทพที่พบนั้นจะเป็นฝีมือของเผ่ามารก็ไม่ผิดแล้ว เพราะเบื้องหน้าของเขามีเพียงกองทัพเผ่ามารที่พร้อมรบ อีกทั้งปีศาจเต่าพันปีก็มิได้อยู่ตรงนั้นเป็นหลักฐานให้เผ่ามารได้แก้ตัว

"แล้วหลังจากที่ท่านกลับมา เกิดเรื่องอันใดขึ้นต่อจากนั้น"

"เมื่อข้ากลับมาแล้วจึงพบว่าสงครามระหว่างแดนสวรรค์และเผ่ามารจบลงไปเสียแล้ว"

เป็นจริงอย่างที่หวังจิ้นคาดไว้ ที่แท้แล้วก่วงซุนเต๋อไม่ได้พบกับอวี๋หลี่จวินในเวลานั้น จึงเป็นเหตุของความเข้าใจผิดในทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเผ่ามารเข้าใจผิดว่าแดนสวรรค์ออกอุบายเรื่องเต่าพันปีเป็นกลลวง ส่วนแดนสวรรค์เข้าใจผิดว่าเผ่ามารก่อกบฏ เหตุนี้เองที่ทำให้เรื่องเล่าของทั้งสองดินแดนกลับตาลปัตรไปได้มากถึงเพียงนี้

หวังจิ้นขมวดคิ้วเป็นปมแน่นเมื่อมั่นใจได้แล้วส่วนหนึ่งว่ากองทัพเผ่ามารของจอมมารฮุยอินไม่ได้เป็นผู้ลงมือสังหารทหารเทพตงไห่นับพัน หากแต่เป็นฝีมือของปีศาจเต่าพันปี ดังนั้นเรื่องเล่าที่เผ่ามารถูกแดนสวรรค์ใส่ร้าย เกรงว่าจะเป็นคำกล่าวหาที่ถูกต้องไปหนึ่งส่วนแล้ว

แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วใครเป็นต้นเหตุของความเข้าใจผิดทั้งหมดนี้กันแน่เล่า ใครเป็นคนออกอุบายให้เผ่ามารตั้งกองทัพมารับผิดแทนปีศาจเต่าพันปี และใครเป็นคนปลุกปั่นปีศาจเต่าพันปีให้มาอาละวาดที่ทะเลตงไห่ ใครกันที่จะมีความสามารถสร้างเรื่องเลวร้ายได้มากถึงเพียงนี้

"ขอบคุณท่านก่วงซุนเต๋อที่ช่วยเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด เพื่อเป็นการตอบแทนท่านที่ช่วยคลายความสงสัย ข้าจะอยู่ดื่มเป็นเพื่อนท่านสักหนึ่งมื้อดีหรือไม่" หวังจิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางรินสุรารสนุ่มกลิ่นสมุนไพรซับซ้อนลงจอกให้ผู้อาวุโสแทนคำขอบคุณจอกหนึ่ง

หวังจิ้นนั่งร่ำสุราเป็นเพื่อนผู้อาวุโสเพื่อหวังจะช่วยปลอบประโลมให้แก่เขาได้สักมื้อหนึ่ง ที่แท้แล้วเทพก่วงซุนเต๋อคงมิได้ชื่นชอบในรสสุรา หากแต่คงชอบฤทธิ์ร้อนของสุราที่อาจช่วยให้เขาหลงลืมเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อครั้งต้องสู้รบกับปีศาจเต่าพันปีเสียมากกว่า เพราะการสูญเสียพี่น้องชาวทะเลตงไห่จำนวนมากเช่นนั้น ในฐานะเทพผู้ปกครองทะเลตงไห่อย่างก่วงซุนเต๋อคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและรู้สึกผิดอยู่ภายในใจไม่น้อยเลย

ที่ตั้งกระโจมหลวงใจกลางป่าเฉียวซาน บรรดาข้ารับใช้ เหล่าข้าราชบริพารและทหารได้เก็บสัมภาระและเครื่องมือต่างๆ เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองเฉียวเซียนเรียบร้อยแล้ว ขบวนรถม้า ม้าขนของ และม้าล่าสัตว์เข้าแถวเรียงขบวนอย่างเป็นระเบียบ พื้นที่ตั้งกระโจมได้ถูกทำเก็บกวาดเรียบร้อยสะอาดสะอ้านอย่างมิให้ผืนป่าที่มีทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ด่างพร้อย

"เยว่ซิน" ไท่จื่อเดินมาพร้อมเอ่ยเรียก เยว่ซินที่กำลังยืนรออาลิ่วยกบันไดมาให้เพื่อก้าวขึ้นรถม้าของเฉิงอี้จึงชะงักไป

"เพคะ" เยว่ซินหันมาตอบรับ อาลิ่วที่ถือบันไดอยู่ด้านหลังรถม้าเพื่อเตรียมนำมาวางให้เยว่ซิน จึงหยุดรออยู่ตรงนั้น

"เจ้าคือว่าที่หวงไท่จื่อเฟยของข้าแล้ว เจ้าควรไปขึ้นรถม้าของข้าจึงจะถูกต้องใช่หรือไม่" ไท่จื่อเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมเจือยิ้มบาง เยว่ซินลอบปรายตามองเฉิงอี้ที่เพิ่งกระโดดขึ้นหลังม้าล่าสัตว์ตัวเดิมไปเมื่อครู่ ตั้งแต่นางตอบรับคำยินดีจะแต่งงานกับไท่จื่อ เฉิงอี้กับนางก็มิได้พูดคุยกันอีกเลยแม้แต่คำเดียว ตอนนางกำลังจะขึ้นรถม้าก็ไม่มาอุ้มนางเหมือนเคย นางต้องรออาลิ่วไปยกบันไดมาให้ แม้กระทั่งตอนนี้ไท่จื่อจะพานางไปขึ้นรถม้าของตัวเองแล้ว เขายังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งไม่มีท่าทีสนใจใดๆ ถ้าเช่นนั้นเหตุใดนางจะต้องสนใจเขาด้วยเล่า นางคงมิต้องขออนุญาตจากซือฝุผู้นี้แล้วกระมัง

"หลินหลิน ข้าจะไปขึ้นรถม้าของไท่จื่อ เจ้านั่งรถม้าไปคนเดียวได้ใช่หรือไม่" เยว่ซินหันไปเอ่ยกับหลินหลินที่ยืนรออยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้คนบนหลังม้านั้นได้ยิน ถือเสียว่าได้แจ้งให้รับรู้แล้วก็แล้วกัน

"ข้านั่งได้"

"อาลิ่วยกบันไดมาให้หลินหลินเถิด ไท่จื่อเพคะ พาข้าไปรถม้าของท่านเถิดเพคะ" เยว่ซินเอ่ยบอกอาลิ่ว แล้วจึงหันมาหาไท่จื่อในประโยคท้าย

อาลิ่วยกมาบันไดมาวางให้หลินหลินพลางแอบขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่ที่สององครักษ์ฝาแฝดได้พบกับเยว่ซิน ทั้งสองต่างชื่นชอบนางยิ่งนัก และคาดหวังอยู่ภายในใจว่าหากนางได้ลงเอยแต่งงานกับเฉิงอี้คงจะดีไม่น้อย บัดนี้เมื่อได้เห็นว่าไท่จื่อกลับได้เป็นผู้ครอบครองนางไปเสียแล้ว จึงรู้สึกขัดใจส่วนหนึ่งและเห็นใจเฉิงอี้อีกส่วนหนึ่ง เพราะทั้งจวนแม่ทัพใหญ่ใครบ้างเล่าจะดูไม่ออกว่าหัวใจของท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่คนนี้แท้จริงแล้วตกอยู่ที่ใคร

เฉิงอี้กำสายบังเหียนม้าแน่นเต็มหมัด เมื่อเยว่ซินเดินเคียงข้างไท่จื่อไปที่รถม้าเบื้องหน้าขบวน เห็นองครักษ์หยวนยกบันไดมาให้นางก้าวขึ้นรถม้า ภาพเยว่ซินระบายยิ้มอย่างน่ารักอยู่ในอ้อมกอดของเขาตอนอุ้มนางขึ้นรถม้าจึงปรากฎมาในห้วงความทรงจำอย่างชัดเจน...

'ข้าอุ้มเสี่ยวเข่ออ้ายเองเจ้าค่ะ เพราะข้าตัวเปียกแล้ว ส่วนซือฝุเก็บแรงไว้อุ้มข้าคนเดียวก็พอเจ้าค่ะ'

น้ำเสียงหวานของนางยังคงดังชัดแจ้งมิจางหาย เฉิงอี้หลับตาลงพลันสูดหายใจเข้าไปลึกๆ อย่างสะกดกลั้นอารมณ์ ก่อนจะปรากฎสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อนึกถึงเรื่องที่น่าเป็นกังวลขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง หากในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเขามิอาจช่วยปลดผนึกจิตเทพให้นางได้ทันเวลา นางจะต้องเป็นหวงไท่จื่อเฟยไปตลอดชีวิตแล้วใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นเขาจะทนได้อย่างไร

แม้การเผชิญด่านเคราะห์รักแห่งเทพบรรพกาลในครั้งนี้จะยากนัก เขามิได้สนใจว่าด่านเคราะห์ด่านสุดท้ายนี้จะทำให้เขาต้องเจ็บปวดมากเพียงใด เขาสนใจเพียงแค่ว่าใครจะอยู่เคียงข้างเยว่ซินต่อจากนี้ไปมากกว่า และภายในใจของเฉิงอี้ยังคงยืนยันคำเดิม ต่อให้หนทางต่อจากนี้จะยาวไกลนับหมื่นลี้ เขาจะไม่ยอมให้มีแม้แต่เหตุผลเดียวที่จะเสียนางไปเช่นนั้นแล้ว

ภายในรถม้ากว้างขวาง ประดับม่านผ้าไหมสีทอง ไท่จื่อนั่งที่นั่งตรงกลางและเยว่ซินนั่งริมหน้าต่างที่ด้านซ้ายตามลำดับบรรดาศักดิ์ที่ควรจะเป็น แม้ว่าเบาะนั่งจะทั้งหนาและนุ่มอุ่น แต่ทว่าเยว่ซินกับมิรู้สึกสบายเมื่อได้นั่งอยู่ที่นี่เลย นางกลับหวนคิดถึงรถม้าคันใหญ่ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยม่านสีขาวคันนั้นเสียมากกว่า แม้จะเดี๋ยวมีบันได เดี๋ยวไม่มีบันได แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่นั่งในนั้น นั่งข้างๆ เฉิงอี้ผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจนาง

"เยว่ซิน เจ้ารู้สึกไม่สบายหรือไม่ เหตุใดจึงเงียบไป"

"ข้าสบายดีเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่นั่งชมรถม้าของท่านที่ตกแต่งหรูหราเช่นนี้"

"เอาไว้เจ้ากลับไปวังหลวงกับข้าแล้ว ข้าจะสั่งให้คนสร้างรถม้าให้เจ้า ตกแต่งตามที่เจ้าชอบ พร้อมคนขับรถม้าและยอดอาชาฝีเท้าดีที่สุดในวังหลวงเป็นของขวัญให้แก่เจ้า" ไท่จื่อเอื้อนเอ่ยเอาใจ หากเป็นสตรีนางอื่นป่านนี้ไหนเลยจะไม่ประทับใจกับความใส่ใจของไท่จื่อที่แสนสง่างามผู้นี้

"ขอบพระทัยเพคะ" เยว่ซินตอบรับเป็นมารยาท แม้นางจะมิเคยคิดอยากได้สิ่งใด แต่นางก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะปฏิเสธไท่จื่อได้เลย หากนางทำให้ไท่จื่อขุ่นเคืองใจ เกรงว่าเฉิงอี้คงจะไม่พอใจนางไปด้วยเป็นแน่ เพราะไท่จื่อคือสหายสนิทของเขา แม้แต่หัวใจของนาง เขายังมอบให้ไท่จื่อได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นแล้วถือเป็นการตอบแทนบุญคุณของซือฝุ มิสู้นางแสดงเป็นหญิงที่สั่งสอนว่าง่ายคงจะดีที่สุดแล้วกระมัง

"จริงสิ กลับไปเจ้าต้องย้ายห้องมาอยู่จวนฝั่งในข้างห้องข้าด้วย อันที่จริงข้าบอกกับเฉิงอี้แล้ว" ไท่จื่อเน้นเสียงเล็กน้อย เพื่อให้เยว่ซินรู้ว่านางไม่มีทางปฏิเสธ ในเมื่อใต้หล้านี้ยังเป็นของเขา เหตุใดสตรีเพียงนางเดียว เขาจะครอบครองมิได้เล่า!

"เหตุใดไท่จื่อจึงไม่ไปส่งข้ากลับบ้านเล่าเพคะ" นางจำได้ว่าเมื่อมาออกขบวนล่าสัตว์จบแล้ว นางจะได้กลับบ้านไปหาท่านแม่มิใช่หรือ

"ข้าลืมบอกเจ้าใช่หรือไม่ ข้าให้องครักษ์ไป๋กับองครักษ์จินนำรถม้าอีกคันไปรับท่านแม่ของเจ้าเดินทางไปที่จวนแม่ทัพใหญ่แล้ว และได้ส่งม้าเร็วไปทูลเชิญฮองเฮาให้เสด็จมาที่เมืองเฉียวเซียนด้วยเช่นกัน เพื่อมาดูตัวและสู่ขอเจ้าต่อหน้าท่านแม่ของเจ้าดีหรือไม่"

ไท่จื่อจัดการทุกอย่างได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงแม้นางยินยอมที่จะแต่งงานเป็นแน่แล้ว แต่มิได้คาดคิดเลยว่าทุกอย่างจะรวบรัดหมดจดเร็วถึงเพียงนี้ เยว่ซินพยักหน้าเจือยิ้มบางโดยมิเอ่ยคำใด อันที่จริงเป็นเพราะนางรู้สึกจุกล้นอยู่ในคอเสียมากกว่า หากพูดอะไรออกมาในตอนนี้ เกรงว่าจะพาให้ร้องไห้ไปด้วย สตรีนางอื่นยามเมื่อต้องแต่งงานควรจะดีใจใช่หรือไม่ แล้วเหตุใดเมื่อนางกำลังจะแต่งงานถึงได้เป็นทุกข์ราวกับจะเอาชีวิตถึงเพียงนี้

เสี่ยวเข่ออ้ายนั่งกระดิกหางรออยู่เบื้องหลังประตูห้อง เมื่อเยว่ซินเปิดประตูเข้ามามันจึงกระโดดโถมตัวนางด้วยความคิดถึง นางไม่อยู่จวนถึงสามวัน จึงฝากเสี่ยวเข่ออ้ายไว้กับแม่ครัวใหญ่ให้ช่วยดูแลมันแทน เกรงว่าจะเลือกคนเลี้ยงได้ถูกต้องแล้ว เจ้าเสี่ยวเข่ออ้ายดูจะอ้วนขึ้นถึงหนึ่งส่วนทีเดียว

"เสี่ยวเข่ออ้าย ข้าก็คิดถึงเจ้า แต่เราต้องรีบเก็บของก่อน เราจะไปนอนห้องใหม่กัน เจ้าอย่าเพิ่งชวนข้าเล่นเลย" เยว่ซินเอ่ยกับเสี่ยวเข่ออ้ายราวกับว่ามันฟังรู้ความ แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยวเข่ออ้ายก็นั่งรออย่างเรียบร้อยจริงๆ

เฉิงอี้ที่เมื่อกลับมาถึงได้ตรงเข้าห้องตัวเองเพื่อพักผ่อนเอนกายให้หายเมื่อยล้าจากการเดินทางไกล แต่ระหว่างนั้นเมื่อได้ยินเสียงของเยว่ซินและสาวรับใช้กำลังขนของย้ายออกจากห้องจึงอดใจหายไม่ได้ ทั้งๆ ที่นางอยู่ใกล้เขาถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดนางจึงเหมือนยิ่งอยู่ห่างไกลออกไปทุกทีแล้ว

เพียงพริบตาเดียวที่นึกถึงว่าเยว่ซินกำลังจะจากไป ทันใดนั้นเอง! เฉิงอี้ต้องยกมือกุมแน่นเข้าที่หน้าอกด้านซ้าย เหตุใดจู่ๆ อาการปวดราวกับถูกบีบเค้นจึงเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ เฉิงอี้รีบดันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหมอน ก่อนจะตัวขดงอตามแรงบีบหนักข้างในอกอย่างทรมาน เฉิงอี้พยายามหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ พลางนึกไตร่ตรองความเจ็บปวดในกายว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดอาการเช่นนี้ขึ้นได้ และเมื่อสังเกตอย่างถี่ถ้วนเขาก็ได้รู้แน่ชัดแล้วว่าจิตเทพภายในกายมนุษย์ของเขามันกำลังผิดปกติไปเสียแล้ว...จิตเทพของไท่เซียนอี้ตี้จวินที่มิเคยเจ็บปวดต่อสิ่งใด แต่บัดนี้มันกำลังเจ็บปวดเพราะกำลังรู้สึกถึงความสูญเสียแล้วกระมัง