เย็นวันนั้นหลังจากที่วินส่งชาวคณะที่รีสอร์ตเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ขอตัวกลับแทบจะในทันที มิไยที่ปกป้องจะเอ่ยปากชวนรับประทานอาหารค่ำร่วมกันเพื่อเป็นการขอบคุณ นายช่างหนุ่มก็ได้แต่ปฏิเสธ
ค่ำนั้นปริมได้เตรียมรายการอาหารเมนูดังของรีสอร์ตไว้ต้อนรับแฟนสาวของญาติผู้พี่ ธนาสามีของปริมได้เปิดห้องเก็บไวน์ที่สะสมไว้เพื่อให้ปกป้องได้เลือกสรรไวน์ดีๆโดยเฉพาะ สิปรางค์จำเป็นต้องเข้าร่วมโต๊ะอาหารไปโดยปริยายเพื่อรักษาบรรยากาศ ทั้งๆที่จริงๆแล้วหญิงสาวรู้สึกอึดอัดใจไม่อยากจะเผชิญหน้ากับคุณแป้ง โดยที่ตัวหล่อนเองก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด
หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนานั้น ตลอดทั้งบ่ายสิปรางค์ไม่สามารถทำใจให้เพลิดเพลินไปกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่วินพาแวะไปเที่ยวได้ อยู่ๆหล่อนมีความรู้สึกหน่วงๆในใจอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวพยายามสังเกตอากัปกิริยาระหว่างวินและคุณแป้งมาตลอดทาง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้แสดงอาการผิดปกติใดๆต่อกันอีก วินยังคงเงียบขรึมและพูดน้อยเท่าที่จำเป็น ส่วนคุณแป้งก็ยังคงร่าเริงพูดคุยหยอกล้อกับปกป้องเกือบจะตลอดเวลา…
หลังอาหารค่ำ สิปรางค์จึงรีบขอตัวกลับที่พักทันที อ้างว่าหล่อนรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย คำอ้างนี้ทำเอาทุกคนรีบไล่ให้หญิงสาวกลับไปพักผ่อนตามที่หล่อนต้องการ
ขณะที่สิปรางค์เดินกลับมาถึงเรือนพัก หล่อนอดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองไปที่บ้านสวน ตัวบ้านยังปิดไฟเงียบ นี่เจ้าของบ้านเค้าอยู่บ้านหรือเปล่านะ แต่แล้วหญิงสาวก็สังเกตเห็นว่า บริเวณที่ควรจะเป็นท่าน้ำนั้นดูเหมือนจะมีแสงไฟสว่างอยู่สลัวๆ ในใจของคนตัวเล็กนึกเป็นห่วงความรู้สึกคนตัวสูงคนนั้นอยู่ครามครัน สิปรางค์จึงคิดว่าหล่อนควรจะเดินไปดูเขาเสียหน่อยจะดีกว่า…
และเมื่อมาถึงที่ลานท่าน้ำ หญิงสาวก็เห็นภาพที่เคยเห็นจนเจนตา วินนั่งอยู่ที่ท่าน้ำจริงๆอย่างที่หล่อนคิด ชายหนุ่มนั่งอยู่ที่ตรงหัวบันไดเหมือนอย่างเคย ในอ้อมแขนของเขายังมีกีตาร์คู่ใจกอดอยู่อย่างหลวมๆ ส่วนตัวเจ้าของกีตาร์นั้นก็กำลังสูบบุหรี่และนัยน์ตาเหม่อลอยไปไกล
สิปรางค์ตามไปนั่งลงข้างๆชายหนุ่มเจ้าของบ้าน คนตัวสูงยังคงสูบบุหรี่และเหม่อมองไปยังแม่น้ำ หญิงสาวไม่คาดหวังถึงคำทักทาย เพราะเขาไม่แม้แต่จะหันมามองหล่อน สิปรางค์ชินเสียแล้วกับท่าทางแบบนี้ของวิน หล่อนก็แค่ทำเฉยๆ หญิงสาวรู้ว่า ในที่สุดแล้วชายหนุ่มก็จะเป็นฝ่ายหันมาหาหล่อนเอง
แม้จะยังไม่หันหน้ามาโดยทันที แต่คนข้างๆก็แสดงถึงการต้อนรับการมาของหล่อนโดยการดับบุหรี่ทั้งๆที่เขายังสูบไม่หมดมวน ตั้งแต่วินรู้ว่าหญิงสาวแพ้บุหรี่ในครั้งแรกที่รู้จักกัน เขาก็พยายามจะไม่สูบบุหรี่ในระยะใกล้ชิดหล่อนอีก
แล้วสิปรางค์ก็ได้ยินเสียงแผ่วพลิ้วจากกีตาร์ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงแหบๆจากคนข้างๆ
"กาลเวลาทำให้เราต้องจากกัน ความผูกพันไม่เคยจางหาย…
…ได้แต่ฝากไว้ผ่านสายลมความห่วงใย ช่วยส่งถึงเธอ..."
น้ำเสียงนั้นเศร้าสร้อยเหลือเกิน นี่คงเป็นอีกมุมของเขาที่คงไม่ค่อยจะมีใครได้เห็นสินะ สิปรางค์มองชายหนุ่มด้วยสายตาที่สงสารระคนห่วงใย หล่อนฟังเขาร้องเพลงอย่างตั้งใจ หญิงสาวจำได้ว่าตอนที่หล่อนเจอเขาครั้งแรก ครั้งนั้นเขาก็กำลังร้องเพลงนี้อยู่
"กอดแน่นแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องปล่อย ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น
กอดเก็บเรื่องราวที่ไม่อาจจะย้อนคืนฉันคงต้องเข้าใจ…"
ไม่รู้ว่าทำไมหญิงสาวอดน้ำตารื้นไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงแหบทุ้มเศร้าๆนั่น ในตอนแรกที่หล่อนรับรู้ได้ว่าเขาและคุณแป้งเคยคบกัน หญิงสาวรู้สึกถึงความคุกรุ่นในจิตใจของตนเอง แต่เมื่อมาเห็นเขาเศร้า หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกเศร้าไปกับเขา สิปรางค์สงสารคนข้างๆหล่อนจับใจ
เมื่อประโยคสุดท้ายของเพลงได้จบลง วินจึงหันหน้ามามองหญิงสาวข้างๆอย่างช้าๆ ชายหนุ่มแปลกใจที่เห็นหญิงสาวน้ำตาคลอ ดวงตาคู่สวยนั่นจ้องมองเขากลับแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา วินขมวดคิ้ว แต่มือของเขากลับเอื้อมไปซับน้ำตาให้หญิงสาวอย่างแผ่วเบา เขาและหล่อนจ้องมองกันเงียบๆอย่างนั้นชั่วครู่ แล้ววินก็เอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยนว่า
"มะปรางเป็นอะไรครับ ปวดหัวเหรอ วันนี้เหนื่อยมากไปหรือเปล่า"
สิปรางค์ส่ายหน้า มันเป็นความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจ หล่อนจะบอกเขาได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วหล่อนกำลังงอนเขาอยู่ที่วันนี้เขาเงียบขรึมกว่าปกติ แต่ในขณะเดียวหล่อนก็กำลังสงสารชายหนุ่มที่เขาถูกคุณแป้งทิ้งด้วย
"คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง มะปรางอยากนั่งเรือเล่นดูแม่น้ำตอนกลางคืนบ้างไหมครับ" จู่ๆนายช่างหนุ่มก็ถามหญิงสาวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เมื่อเห็นหล่อนยังนั่งนิ่ง ชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อ
"หิ่งห้อยสวยด้วยนะ"
หญิงสาวพยักหน้าตกปากรับคำไปพายเรือกับเขาอย่างง่ายดาย หล่อนสังเกตเห็นว่าแววตาเขายังคงเศร้าอยู่ สิปรางค์คิดว่าเข้าใจอารมณ์ของเขาดี ชายหนุ่มคงไม่รู้ว่าหล่อนแอบสังเกตเขาและคุณแป้งมาตลอดทั้งวัน…
คืนนี้พระจันทร์ดวงกลมโตไร้เมฆมาบัง ทั่วคุ้งน้ำสว่างไสวด้วยแสงนวลจากจันทร์นั้น สวยจริงๆอย่างที่วินบอก สิปรางค์นั่งอยู่ที่หัวเรือและหันหน้ามาทางร่างสูงนั้น หญิงสาวเอามือวักน้ำข้างกราบเรือเล่นไปเรื่อยเปื่อย รู้สึกสดชื่นกับลมแม่น้ำที่โชยมาเบาๆ ตอนนี้น้ำตาหล่อนแห้งสนิทแล้ว แต่ความเงียบระหว่างหญิงสาวและคนอาสาพายเรือยังคงมีอยู่
"วินไม่เคยคิดอยากเป็นนักดนตรีแบบจริงจังบ้างเหรอ" ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมจู่ๆหล่อนก็ถามเขาเรื่องนี้ขึ้นมา
"ตอนนี้ก็จริงจังอยู่ครับ" คนตัวสูงตอบสั้นๆตามเคย พลางพายเรือไปอย่างช้าๆ
"เราหมายถึง เล่นดนตรีอย่างเดียวเลย ไม่ต้องทำงานโรงงาน"
สิปรางค์จ้องหน้าเขา หล่อนอยากรู้ความคิดความรู้สึกของผู้ชายคนนี้บ้าง วินเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของตัวเอง หญิงสาวเห็นเขาสนใจแต่ความทุกข์ร้อนของคนอื่น
"ฝีมือบวกหน้าตาอย่างวิน ออกยูทูปคงมีสาวๆตามเป็นล้าน"
"เฮ้ย ผมแก่ไปแล้วมั้ง" ชายหนุ่มอดที่จะหัวเราะกับจินตนาการของคนสวยตรงหน้าไม่ได้
แต่แล้วจู่ๆเจ้าของเรือก็หยุดพายเรือ ทำท่านึกสักครู่ก่อนจะให้คำตอบกับคนถาม
"อันที่จริงตอนเด็กๆก็เคยคิดนะ แต่พ่อไม่ยอม"
"แล้วหลังจากพ่อไม่อยู่แล้วล่ะ" สิปรางค์ถามต่อ
วินเคยเล่าให้หล่อนฟังสั้นๆบ้างเกี่ยวกับครอบครัวของเขา พ่อของเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว ชายหนุ่มเหลือแค่ลุงแปงและสมเพชรเป็นเสมือนครอบครัวตลอดมา หญิงสาวสงสัยว่าถ้าชายหนุ่มรักดนตรีขนาดนี้ ทำไมเขาจึงยังทำงานที่โรงงานอยู่ พูดถึงเงินเดือนที่โรงงานก็ไม่น่าจะมากมายอะไร ฝีมือดนตรีระดับเขาน่าจะเอาดีทางด้านดนตรีได้ไม่ยาก ถ้างานดนตรีที่เชียงใหม่ไม่มี หากเข้ากรุงเทพก็น่าจะมีโอกาสมากกว่านี้
"ไม่รู้สิ ผมก็พอใจชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้"
และเมื่อเห็นหญิงสาวยังตั้งใจฟัง ชายหนุ่มจึงพูดต่อ
"อยู่ที่โรงงานก็สนุกดี ก็ไม่รู้จะออกมาทำไม ถ้าออกมาแล้วคงคิดถึงพวกป้าๆน่าดู"
หล่อนเห็นแววตาเขาเป็นประกายแจ่มใสขึ้นมายามเมื่อพูดถึงโรงงานอันเป็นที่รัก คนที่นั่นเค้าผูกพันกันขนาดนี้เชียวหรือ
"น่าอิจฉานะ วินเป็นคนมีความสามารถหลายอย่าง ส่วนเรา ชีวิตมีแต่งาน งาน และงาน"
"ก็ถ้ามะปรางทำงานแล้วสนุก ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ"
สิปรางค์ถอนหายใจ หล่อนชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น เอาคางเกยไว้เหนือเข่า ในขณะที่มือหนึ่งกอดเข่าคู่นั้นไว้ อีกมือนึงก็ยังคงเรี่ยน้ำเล่น หญิงสาวเหม่อมองไปยังความมืดสลัวของแม่น้ำ
เมื่อก่อนหล่อนเคยรู้สึกว่า ชีวิตที่ประสบความสำเร็จคือชีวิตที่การงานดีเยี่ยม มีสถานะที่เป็นที่ยอมรับทางสังคม หล่อนต้องเหนือกว่าใครหล่อนถึงจะพอใจ แต่ไม่น่าเชื่อว่าชั่วเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่เชียงใหม่จะทำให้ความคิดแบบนี้ของหล่อนเริ่มจะเจือจางไป
"เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าลึกๆแล้วชีวิตเรามีความสุขหรือเปล่า" หญิงสาวรำพันออกมาเบาๆ
"มีสิ ทุกคนก็มีมุมที่มีความสุขแหละ" วินพูดกับมะปรางของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วเขาก็ถามหล่อนต่อไปอย่างอ่อนหวาน
"เช่นมะปรางมานั่งเรือกับผม มะปรางก็มีความสุขใช่ไหมครับ"
เขาจ้องมองมาที่ใบหน้าสวยของคนตรงข้าม ในขณะที่มือก็ยังทำหน้าที่พายเรือไป
แทนคำตอบ สิปรางค์หันหน้ามาจ้องมองตาของชายหนุ่มบ้าง หล่อนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่กำลังเปล่งเสียงอยู่ข้างในใจว่า เราเข้าใจกัน…
ดวงตาเรียวคมคู่นี้ที่หล่อนมักจะแอบมอง วินมีดวงตาที่ระยิบระยับเป็นประกายอยู่เสมอ แม้ในยามนี้ ในยามที่ใบหน้าเขากำลังเศร้าจากการเจอคนรักเก่า ดวงตาเขาที่จ้องมองหล่อนก็ยังดูสดใส นัยน์ตาคู่นี้เองที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้หล่อนเสมอมา
สิปรางค์มีความรู้สึกว่าวินเป็นคนที่เข้าใจหล่อนมากกว่าใคร เขาเป็นผู้ชายที่หล่อนสามารถไว้ใจและพึ่งพาได้ หญิงสาวรู้สึกเป็นตัวของตัวเองเสมอยามที่อยู่กับเขา หล่อนรู้ว่าวินเป็นห่วงความรู้สึกของหล่อน และหล่อนก็เป็นห่วงความรู้สึกของเขาเช่นกัน
คนขี้สงสารจึงอดไม่ได้ที่จะพูดความในใจของหล่อนออกไป ในเวลานี้หล่อนอยากปลอบใจเขาเรื่องคุณแป้ง
"วิน ถึงพี่ป้องเค้าจะเป็นคนหล่อ เก่ง เท่ หุ่นดี พูดเพราะ บ้านรวย การศึกษาสูง เพอร์เฟค แต่เราว่า… วินน่ารักกว่าพี่ป้องอยู่นะ"
หล่อนพูดจากใจจริง ผู้ชายบางคนอาจไม่ต้องเพอร์เฟค แค่น่ารักก็กินขาดแล้ว วินก็เป็นหนึ่งในนั้น
มือที่กำลังพายเรือนั้นถึงกับชะงักไป ชายหนุ่มผู้ถูกกล่าวพาดพิงวางไม้พายพาดขวางลำเรือไว้ แล้วเขาก็เอียงคอจ้องมองหล่อนตรงๆ มะปรางของเขายังคงทำหน้าจริงจังและเปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
วินรู้สึกเอ็นดูในความเป็นคนตรงไปตรงมาของสิปรางค์ คงเป็นตรงนี้เองที่ทำให้หล่อนมีเสน่ห์กว่าผู้หญิงคนอื่นๆที่เขาเคยเจอมา การพูดตรงๆของหล่อนบางครั้งเหมือนจะเสียดแทงใจดำใครหลายคน แต่หลายครั้งมันก็ทำให้คนฟังอดที่จะยิ้มไม่ได้
"พูดซะผมจมมิดแม่น้ำเลย" เขาจ้องมองคนสวยด้วยหน้าตาขึงขัง
"ชมว่าผมเป็นผู้ชายน่ารักแค่นั้นก็พอแล้วมั้ง จะอ้างอิงเปรียบเทียบกับคุณปกป้องเพื่อ?"
"โทษที ตรงอย่างใจคิดไปหน่อย" หญิงสาวหลบสายตาเขา ท่าพึมพำแบบเขินๆนั้นทำให้ชายหนุ่มอดอมยิ้มไม่ได้
"แต่ช่างคุณแป้งเค้าเถอะนะวิน เค้าอาจจะชอบคนเพอร์เฟคแบบนั้น แต่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะชอบผู้ชายแบบพี่ป้องนะ วินอย่าเสียใจไปเลย"
สิปรางค์เงยหน้าขึ้นมาแล้วตรงเข้าประเด็นอีกที หญิงสาวยังมีความพยายามที่จะปลอบใจเขาไม่ให้คิดมากเรื่องคุณแป้ง อย่างน้อยวินก็ยิ้มออกมาแล้ว เป็นยิ้มแรกของวันนี้ที่หล่อนได้เห็น ดีใจจัง
แต่แล้ววินของหล่อนก็หยุดยิ้ม ชายหนุ่มขมวดคิ้วแทนคำถาม หญิงสาวพยักหน้าให้เขาเป็นทำนองว่า หล่อนรู้เรื่องของเขาดี
"ผมไม่ได้สนใจคุณแป้งแล้ว เรื่องมันนานมาแล้ว"
คราวนี้คนตัวสูงพูดอย่างจริงจังโดยไม่ยิ้ม แต่หากจ้องตาคนตัวเล็กด้วยประกายตาวิบวับกว่าเดิม
"อ้าว ก็เห็นร้องเพลงซะซึ้ง แถมชวนมาพายเรืออีก เราก็นึกว่าวินอยากเป็นพระเอกมิวสิควิดีโอ แล้วนี่วินไม่ได้เศร้าเรื่องคุณแป้งอยู่เหรอเนี่ย"
นี่หล่อนงงมาก
"ก้อ... บรรยากาศมันพาไปเฉยๆ"
ท่าทางกวนๆกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่สิปรางค์ไม่ได้เห็นท่าทางแบบนี้ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา
"ความจริงแล้วผมก็แค่อยากมาพายเรือเล่นกับมะปราง ก็เท่านั้น…"
ชายหนุ่มเริ่มยิ้มน้อยๆเหมือนเคย สายตากรุ้มกริ่มเริ่มกลับมาแล้ว วันนี้เขายอมรับว่าเขารู้สึกใจหายนิดหน่อยตอนเจอหน้าคุณแป้งมาพร้อมกับคุณปกป้อง เขาเคยคิดว่าเขาไม่ได้คิดถึงหญิงสาวเหมือนเดิมแล้ว
ทว่าพอเจอหน้าเข้าจริงๆ ภาพเก่าๆมันกลับย้อนขึ้นมาอีกครา ความสดใสน่ารักเหมือนในอดีตของคุณแป้งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาดีๆที่เขาและคุณแป้งเคยมีด้วยกัน
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วขณะที่คุณแป้งเป็นนักศึกษาสาวน้อยจากรุงเทพมาฝึกงานแผนกบัญชีที่โรงงาน หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในโรงงานรวมถึงเขาด้วยต่างพากันแวะเวียนไปที่ตึกสำนักงานบ่อยๆ เพื่อไปแอบดูสาวน้อยคนนี้
ในเวลานั้นคุณแป้งพกพาความน่ารักสดใสมาสู่โรงงานและมาให้ชีวิตเขา ด้วยความที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทำให้เขาได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณแป้งมากกว่าคนอื่น นำมาซึ่งความอิจฉาของหนุ่มๆทั้งโรงงาน
เราสัญญานะ ว่าเรากลับกรุงเทพแล้ว เราจะไม่ลืมวิน
คุณแป้งสัญญากับเขาก่อนที่จะกลับกรุงเทพหลังจากการฝึกงานได้เสร็จสิ้นลง มิไยที่เขาจะเฝ้าติดต่อหล่อนไป ทั้งโทรศัพท์และจดหมาย แต่ชายหนุ่มก็ได้แต่เฝ้ารอ คุณแป้งไม่เคยติดต่อเขากลับมาอีกเลย
รักแรกของเขาก็จบลงโดยที่เขายังไม่มีโอกาสได้บอกความในใจ มันคงจะเป็นความรู้สึกติดค้างในใจที่เขาแทบจะลืมเลือนไปตามกาลเวลาแล้วหากวันนี้เขาไม่ได้เจอหน้าคุณแป้งอีกครั้ง ภาพการแสดงความรักต่อกันของคุณปกป้องและคุณแป้งตลอดทั้งวันทำเอาเขารู้สึกปั่นป่วนในใจอย่างบอกไม่ถูก…
ทว่าเมื่อตอนค่ำที่สิปรางค์มาหาเขาที่ท่าน้ำ ชายหนุ่มก็สลัดภาพคุณแป้งทิ้งไปได้ในทันที วินรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอมะปรางของเขา หลายๆคนอาจจะรำคาญความเกรียนพูดตรงของหญิงสาว แต่สำหรับเขาแล้ว มันคือความตรงไปตรงมาและความกระตือรือร้นที่เขาชอบ อาจเป็นเพราะว่าชีวิตเขาค่อนข้างจะเรื่อยๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเฉื่อย
แต่พอเจอสิปรางค์ทีไร เขารู้สึกเหมือนได้รับพลัง และก็ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีกจากการต่อล้อต่อเถียงกับคนสวย เขาอยากกวนประสาทหล่อน ไม่รู้ว่าเขาจะคิดไปเองหรือเปล่า แต่วินมีความรู้สึกหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าทั้งเขาและสิปรางค์ต่างสามารถเข้าใจกันได้โดยที่บางครั้งไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมา
"เฮอะ อะไรเนี่ย" แต่ตอนนี้มะปรางของเขากำลังหมั่นไส้เขาเหลือทน
"ไอ้เราก็นึกว่าเค้าเศร้า ทำให้เราพลอยเศร้าไปด้วย แหม อุตส่าห์จะมาปลอบใจ" คนสวยบ่นพึมพำอย่างขัดใจ เสมองไปที่แม่น้ำ
"คุณแป้งเค้าจะชอบผู้ชายแบบไหนผมไม่สนใจ ผมแค่รู้ว่า ปรางชอบผู้ชายน่ารัก ผมก็ดีใจแล้ว" ชายหนุ่มจ้องมองหล่อนอย่างจริงจัง สายตาเขาเป็นประกายวิบวับที่สุดแล้วตั้งแต่มันเคยวิบวับมา
เดี๋ยวนะ นี่เรียกว่าหยอดหรือเปล่าเนี่ย ช่างกล้า
ใจนึงสิปรางค์ก็นึกแค้น คนตรงหน้าปล่อยให้หล่อนเข้าใจผิดเรื่องว่าเขาเศร้าเรื่องคุณแป้ง แต่อีกใจนึงหล่อนกลับรู้สึกหวั่นไหวกับสายตาอันคมกริบของเขา
ไม่นะ เราเป็นอะไรไป ทำไมหน้าเราร้อนผ่าว ไม่เอานะ
"เดี๋ยวนะ เราแค่บอกว่า วินเป็นผู้ชายที่น่ารัก แต่เรายังไม่ได้บอกว่าเราชอบผู้ชายน่ารักเลยนะ เราอาจจะชอบผู้ชายเพอร์เฟคเหมือนพี่ป้องก็ได้ หรือไม่เราก็อาจชอบผู้ชายแบบแบดบอย"
สิปรางค์หันมาประจันหน้ากับชายหนุ่มแบบตรงๆ พยายามข่มสีหน้าลอยหน้าลอยตาให้ดูขึงขัง หญิงสาวไม่อยากให้ผู้ชายตรงหน้ารู้ว่าหล่อนกำลังเขิน
"อย่าเลย ผู้ชายเพอร์เฟคน่ะ น่าเบื่อนะ"
วินโน้มตัวเข้ามาใกล้หญิงสาว ยังคงจ้องมองหล่อนด้วยนัยน์ตาที่มีความหมาย สิปรางค์กลั้นหายใจ แต่แล้วชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปหยิบไม้พายมาพายเรือต่อไป วินอมยิ้มนิดๆ เขาแอบเห็นคนสวยกำลังหน้าแดง
"ตอนนี้อาจยังไม่ชอบ… ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้…"
คราวนี้ชายหนุ่มพูดต่อโดยไม่มองหน้าหล่อนแล้ว เขาเสมองไปทางอื่น ทำทีเป็นสนอกสนใจกับการพายเรือ
สิปรางค์นิ่งอึ้งไปกับคำพูดของผู้ชายพายเรือตรงหน้า หล่อนคิดว่าตนเองไม่ได้หูฝาด แม้บางครั้งวินจะชอบเย้าหล่อนเล่น แต่หญิงสาวคิดว่าคำพูดว่า ผมรอได้ จากปากของวินเมื่อกี้ ชายหนุ่มไม่ได้พูดเล่น
บางครั้งสิปรางค์ก็รู้สึกเหมือนว่าหล่อนกำลังรอคอยคำพูดเช่นนี้จากวิน
แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ หญิงสาวกลับรู้สึกไม่สบายใจ
นี่วินจีบเราหรือ อย่านะวิน…