webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · 東方
レビュー数が足りません
1150 Chs

005 บัณฑิต (1)

บทที่ 5 บัณฑิต (1)

เหมียวอี้เบิกตาโพลงมองไปยังที่ลึกๆ ในหมอกหนา เขาชี้ไปอีกครั้งแล้วพูดอย่างตื่นตะลึง "มีคนดีดฉินอยู่ข้างใน!"

"ดีดฉิน?" เยียนเป่ยหงไม่พูดอะไร เห็นท่าทางของเหมียวอี้ไม่เหมือนคนกำลังโกหก ก็รีบเอานิ้วก้อยล้วงหูอยู่ครู่หนึ่ง รวบรวมสมาธิอย่างสงบแล้วตั้งใจฟัง

ฟังอยู่นาน ไม่ต้องพูดถึงเสียงฉินอะไรนั่นหรอก แม้แต่เสียงผายลมยังไม่ได้ยินเลย เขาอดไม่ได้ที่จะถามด้วยสีหน้าฉงน "เจ้าหนุ่ม คิดมากไปแล้วมั้ง?"

เหมียวอี้กลับยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิด ชี้ไปข้างหน้าด้วยความฮึกเหิมแล้วพูดว่า "มีคนดีดฉินอยู่ในนั้น งั้นแปลว่าข้างหน้าก็เป็นเขตปลอดภัยเหมือนกันน่ะสิ พวกเราไปดูหน่อย ข้างหน้ายิ่งมีคนที่เข้าไปเหยียบยิ่งเข้าไปเหยียบน้อย ก็ยิ่งเป็นไปได้มากว่าจะเจอสมุนไพรเซียน"

พอหันหน้ากลับมา ก็พบว่าสีหน้าเหยียนเป่ยหงเยียนเป่ยหงค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าเหมียวอี้พูดอะไรผิดไป

หารู้ไม่ว่าเหยียนเป่ยหงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักนิด เขาเป็นคนที่แบ่งแยกบุญคุณและความแค้นได้ชัดเจน คนแบบนี้มันกจะไม่ชอบให้ทรายเข้าตาตัวเอง​[1]​

อยากจะลากเขาไปเป็นองครักษ์ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่อธิบายออกมาก็พอ เจรจากันดีๆ แต่ 'ข้ออ้าง' นี้ของเหมียวอี้ ทำให้หเยียนเป่ยหงรู้สึกได้ถึงแผนการที่ไม่ปกติของเขา

เหยียนเป่ยหงเยียนเป่ยหงก็เคยได้รับบทเรียนมาแล้ว ตอนที่เหมียวอี้หลอกยืมมือเขาฆ่าคน ตอนนี้มีสมุนไพรเซียนอยู่ที่ตัว หากเจ้าหนุ่มนี่้คิดไม่ซื่อขึ้นมา อาจจะทำจนตนเสียเรื่องได้

ดังนั้น ความเชื่อใจอันน้อยนิดที่เหยียนเป่ยหงเยียนเป่ยหงมีต่อเหมียวอี้จึงหายไปหมดทันที เขาถอดถุงย่ามที่แย่งชิงมาได้ หยิบของกินเล็กน้อยยัดเข้าอกตัวเอง นำอาหารส่วนใหญ่รวมทั้งถุงย่ามโยนใส่เท้าเหมียวอี้

"ในเมื่อน้องชายไม่ฟังข้าเตือน ข้าคงทำได้เท่านี้แหละ หากมีโอกาสเราคงได้พบกันใหม่นะ!"

เหยียนเป่ยหงเยียนเป่ยหงทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค ก่อนเดินจากไปโดยอย่างไม่หันกลับมา

การกระทำของเขาทำให้เหมียวอี้ประหลาดใจเล็กน้อย บอกจะเปลี่ยนใจก็เปลี่ยนใจเลยได้ยังไงกัน ?

เห็นเงาเหยียนเป่ยหงเยียนเป่ยหงหายลัิบไปในหมอกหนาแล้ว เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ คิดแค่ว่าเหยียนเป่ยหงเยียนเป่ยหงไม่อยากไปเสี่ยงอันตรายกับตนอีก

ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว สมุนไพรเซียนสักต้นก็หาไม่เจอ จะไล่ตามเหยียนเป่ยหงเยียนเป่ยหง หรือไปตามหาต่อดี? จากฝีมือของเหยียนเป่ยหงเยียนเป่ยหง หากมีเขาร่วมทางกลับไปด้วยน่าจะปลอดภัยหน่อย…

เหมียวอี้ยืนลังเลอยู่ลำพังบนเขานานมาก คิดถึงอนาคตน้องชายและน้องสาวพลาง หันกลับไปมองจุดที่เสียงฉินดังออกมา แล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า "ที่ที่คนอื่นกล้าไป ทำไมข้าจะไม่กล้าไปล่ะ?"

เขาแหงนหน้าสูดหายใจลึกหนึ่งที จัดการความรู้สึกตัวเอง ตั้งปณิธานแน่วแน่ หยิบถุงย่ามที่พื้นขึ้นมาบนพาดไหล่ เดินก้าวยาวๆ ลงเขาไปตามทิศทางที่เสียงฉินดังมา

พอเขาถึงด้านล่างของภูเขาแล้ว เสียงฉินที่ดังมาไกลๆ เหมือนจะปั่นป่วนงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

พอเหมียวอี้เดินไปตามทางได้สักระยะหนึ่ง พบว่าภูมิประเทศของที่นี่เหมือนจะราบเรียบผิดปกติ

เขาเดินไปตามทิศทางที่เสียงฉินดังออกมา แต่พอเดินมาไกลได้สักระยะหนึ่งแล้ว ดูเหมือนเสียงฉินอยู่ตรงหน้าไม่ไกล แต่ก็เหมือนจะไม่มีทางได้เข้าใกล้มัน ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองฟังผิดแล้วหรือเปล่า หรือเดิมทีจะไม่ใช่เสียงฉิน

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะหยุดเดินด้วยความลังเล

สถานที่ที่ไม่ห่างจากเขานัก บนยอดเขาสูงที่ล้อมรอบด้วยหมอกหนา มีกู่ฉินขนาดใหญ่ที่ยาวเกินหนึ่ง จั้งวางนอนอยู่บนโต๊ะหินตัวหนึ่งตรงแท่นราบ

บนตัวกู่ฉินที่เก่าแก่ มีภาพสลักดาราจักร ผืนน้ำ และแผ่นดิน

มังกรสามตัวยื่นหัวออกจากทะเล หันมองดาราจักรอย่างภาคภูมิ

ส่วนลำตัวของมังกรทั้งสามเป็นเป็นสายฉิน แบ่งเป็นสามสี งดงามประณีต

พอเข้าใกล้ จะมองเห็นเกล็ดมังกรและขาทั้งสี่ที่งองุ้มอยู่บนสายฉิน บวกกับหัวมังกรที่เจียระไนอย่างประณีตเสมือนมีชีวิต หากไม่มองดีๆ อาจจะเข้าใจผิดนึกว่าสายฉินนี้คือมังกรย่อส่วน

พอจะมองออกได้ว่า กู่ฉินตัวนี้เดิมทีคงจะมีสายมังกรแบบนี้แปดสาย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด กู่ฉินที่ประณีตงดงามเช่นนี้จึงพังไปแล้วห้าสาย เหลืออยู่เพียงสามสาย

ผู้ชายรูปร่างสูงยาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกู่ฉินที่วางบนโต๊ะหิน ชุดบัณฑิตขงจื๊อตัวยาวสีขาวล้วน ชุดคลุมด้านนอกโปร่งบาง เหมือนผ้าคลุมสีเขียวอ่อนที่ถูกซักจนกลายเป็นสีขาว เสื้อผ้าดูเหมือนจะธรรมดาไปเสีย หมด ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะทรงผม คงถูกเข้าใจผิดเอาง่ายๆ ง่ายว่าเป็นบัณฑิตบ้านยากจนที่แต่งกายสะอาดสะอ้าน

ผมยาวสะอาดตาปล่อยลงมาคลุมเอวด้านหลัง หน้าผากกลมเกลี้ยงแวววาว

น่าเสียดายที่ผมยาวดำขลับมีจุดที่ไม่งามอยู่ เพราะจอนผมทั้งสองข้างเป็นสีขาวน้ำค้าง

จอนผมขาวทั้งสอง แบ่งส่วนหนึ่งเป็นปอยย้อยลงข้างหน้าอกสองฝั่งทั้งสองข้าง แล้วอีกส่วนหนึ่งปอยเก็บเฉียงไปด้านหลังศีรษะ ถักเปียเล็กๆ ตรงท้ายทอย บังคับไม่ให้มัดผมสลวยดำขลับที่สยายยาวคลุมด้านหลังไม่ให้ยุ่งเหยิงเกินไป

รูปร่างหน้าตาของ ‘บัณฑิต’ ผู้นี้ แม้จะมีท่าทางเป็นผู้ใหญ่แบบชายวัยกลางคน แต่กลับสง่าเสียจนเกือบบรรยายไม่ถูก

จมูกสันเป็นคม หน้าตาคมเข้มแต่อ่อนโยน ดวงตาเหมือนหงส์ ลูกตาดำดุจเหมือนดวงดาวในค่ำคืนฤดูหนาว บนโหนกแก้มที่ดุดันเผยความรู้สึกนุ่มนวลเหมือนสายน้ำและขุนเขา ริมฝีปากอ่อนนุ่มนี้ทำให้สาวงามที่ได้จุมพิตลุ่มหลงได้

บอกไม่ถูกว่าทั้งตัวเขาให้ความรู้สึกแบบไหน พอมองไปแล้ว มีทั้งกลิ่นอายคุณธรรมและความชั่วร้ายปนกัน มีความสูงส่งและความธรรมดา มีความเย่อหยิ่งร่วมกับความอ่อนโยน ไม่ขาดความกล้าหาญและความนุ่มนวล ตอนหันกลับมาจะเผยให้เห็นท่าทางหยิ่งยโสโดยไม่ทันระวัง

มีคำกล่าวหนึ่งที่เรียกว่า งดงามหลายมิติ แต่แต่คำว่าหลายมิติของเขานั้น ไม่เหมือนกับคำว่างดงามหลายมิติที่ใช้อธิบายลักษณะผู้หญิง

ยังมีคำที่ใช้บรรยายลักษณะผู้หญิงอีกแบบหนึ่งที่ใช้กับร่างกายเขาได้ นั่นก็คืองดงามมีเอกลักษณ์!

นี่คือผู้ชายที่งดงามมีเอกลักษณ์ หาได้ยากในโลกนี้!

ยอดเขาที่มีหมอกหนาลอยอยู่ 'บัณฑิต' ยืนตัวตรงอยู่ข้างกู่ฉินบนโต๊ะหิน มองไปที่ไกลๆ มือหนึ่งอยู่ด้านหลัง ห้านิ้วของอีกมือหนึ่งดีดดึงสายฉินสามเส้นเบาๆ ประหนึ่งว่านิ้วมือกำลังสั่นไหวตามแรงลม เสียงฉินที่เหมียวอี้ได้ยินก็มาจากมือของเขานั่นเอง

ภายในบริเวณรอบนอกยี่สิบลี้ที่มียอดเขานี้เป็นจุดศูนย์กลาง เป็นที่ราบลุ่มแอ่งกระทะแอ่งหนึ่ง เสียงฉินที่เขาบรรเลงออกมาเหมือนกับคลื่นเสียงค้างคาว ใครก็ตามที่บุกเข้ามา ไม่มีทางเล็ดลอดหูของเขาไปได้

เขาไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าเหมียวอี้มาเพราะถูกเสียงฉินดึงดูดหรือไม่ เป็นไปได้เหมือนกันว่าจะถลันเข้ามาผิดที่ แต่เขาสังเกตเห็นว่างกตุเห็น เหมียวอี้ที่หยุดก้าวเดินด้วยความลังเล

ห้านิ้วปลุกปั่นสายฉินต่อไปอย่างสบายอารมณ์ ยกมือที่ไขว้หลังอยู่ขึ้นมาที่หน้าอก ดึงเชือกที่ผูกมัดชุดคลุมออกเบาๆ

ชุดคลุมลอยออกไปเอง ลอยขึ้น ลอยออกจากหัวไหล่ของเขา ลอยไปแล้ว ลอยหลบเข้าไปท่ามกลางหมอกหนา

เหมียวอี้ที่ที่หยุดเดินด้วยความลังเลก็ตกตะลึงงัน รู้สึกว่าเสียงฉินเหมือนกำลังเคลื่อนที่ เปลี่ยนไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

นี่มันอะไรกัน? เหมียวอี้เอามือเกาหัว มองไปรอบๆ ด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย สุดท้ายก็บังคับตัวเองให้เดินไปยังต้นเสียงอีกครั้ง

‘บัณฑิต’ 'ที่อยู่บนยอดเขา เคลื่อนลูกตาลงต่ำแล้วกะพริบเล็กน้อย เอียงคอช้าๆ มองดูทิศทางของเหมียวอี้

เขาแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้ได้รับการรบกวนจากเสียงฉินแล้วจริงๆ ภายนอกเขาดูสงบนิ่ง แต่จิตใจเหมือนจะได้รับผลกระทบแล้ว เขาเร่งความเร็วของนิ้วทั้งห้าที่กำลังบรรเลงปลุกปั่นขึ้นเล็กน้อย

เสียงฉินเปลี่ยนทิศทางหลายครั้ง เหมือนมีคนกำลังถือฉินวิ่ง เหมียวอี้ถูกดึงดูดจนรีบเร่งฝีเท้า อยากจะเห็นว่าใครกันแน่ที่ดีดฉินอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่นี่

เขาเองอาจจะยังไม่สังเกตเห็น ว่าตัวเอง ตัวเขาด้ถูกเสียงฉินพาวิ่งมาเป็นรูปอักษร ‘จือ’ (之) ถึงเส้นทางรูปซิกแซ็กแล้ว

และแต่ตรงข้างนอกเส้นทางอักษร ‘จือ’ รูปซิกแซ็ก มีตั๊กแตนสีดำที่ แต่ละตัวกางขาหน้ารูป 'เคียว' อันใหญ่จนน่ากลัว ปล้องขายาวมีหนังลอกอัปลักษณ์ เหมือนกำลังใส่เสื้อเกราะ หนวดและเขาแตะสัมผัสกัน บ้างก็กำลังผสมพันธุ์กัน บ้างก็ใช้ส่วนปากที่แหลมคมกัดแทะศพอาบเลือดที่ล่ามาได้

…………………………

^1 อุปมาว่า รักเกลียดชัดเจน ไม่ชอบความรู้สึกคลุมเครือ