webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Eastern
Not enough ratings
867 Chs

006 บัณฑิต (2)

บทที่ 6 บัณฑิต (2)

"แอ่งกระทะนี้เหมือนจะเป็นรังของตั๊กแตนทมิฬ เกือบทุกที่มีตั๊กแตนทมิฬตัวเล็กตัวใหญ่หนาแน่น และเสียงฉินทำให้เหมียวอี้หลบหลีกตั๊กแตนทมิฬจำนวนมากนั้นได้พอดิบพอดี "

เห็ดนได้ชัดมากว่า ถ้าเหมียวอี้ไม่ได้มาเพราะได้ยินเสียงฉิน หากถลันเข้าไปผิดที่ คงโดนตั๊กแตนทมิฬจับกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้ว

"ตอนเสียงฉินหยุดลง เขาได้มาถึงทะเลสาบแห่งหนึ่งที่มีไอหนาวปกคลุม น้ำในทะเลสาบเงียบสงบ และตรงริมฝั่งทะเลสาบ มียอดเขาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ เสียงฉินจู่ๆ ก็หายไปแล้ว"

"เสียงฉินหยุดลงแล้วจริงๆ เพราะ 'บัณฑิต' หยุดดีดฉินแล้ว เขายืนอยู่ข้างหน้าผา ชุดคลุมสีเขียวอ่อนตัวนั้นกลับมาอยู่บนบ่าเขาแล้ว"

เหมียวอี้มองไม่เห็นเขา แต่เขามองเห็นเหมียวอี้ที่มองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวังและสับสนตรงตีนเขาด้านล่างแล้ว

บัณฑิตยืนสองมือไขว้หลัง ชำเลืองลงมองเหมียวอี้ที่อยู่ข้างล่างภูเขา อ้าปากพูดด้วยท่าทางสงบนิ่งว่า "ผู้ที่ไร้โชคไร้ดวง หากเข้ามาในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งนี้ได้ ถ้าไม่ตายโหงก็กลับไปมือเปล่า ยากจะเข้าใกล้แอ่งกระทะยี่สิบลี้นี้ได้ หากไม่ใช่ผู้ที่มีทั้งสติปัญญาและความกล้าหาญ ก็ยากจะเข้าใกล้ที่นี่ หากไม่ใช่ผู้มีปณิธานแน่วแน่ เข้ามาถึงนี่เกินครึ่งเดือนก็ต้องรีบกลับไป เจ้ามีดีอะไรจึงมาพบข้าเล่าล่ะ? หากไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจเชื่อมโยงกับข้า ก็ยากจะได้ยินเสียงของข้า หากล่้วงล้ำเข้ามาย่อมไม่ได้ตายดีแน่ เพียงดีดนิ้วก็ผ่านไปแล้วแสนปี ในเมื่อมาเพราะได้ยินเสียง เหตุใดจึงมัวเสียเวลา ยังไม่รีบขึ้นมาหาข้าอีก!"

พอเสียงพูดหยุดลง หมอกหนาที่อยู่ไกลๆ ก็ตลบม้วนเข้ามาทันที หากยืนบนยอดเขา มองลงไปจากมุมสูง จะเห็นรางๆ ว่า มีตั๊กแตนทมิฬยั้วเยี้ยที่ถูกหมอกหนารอบๆ ลอยมาปกคลุมลอยเข้ามาอำพรางอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ที่อยู่ด้านล่างภูเขาไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร ยังคงจ้องมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เสียงฉินหายไปไหนแล้ว?

เขามองเห็นตรงตีนเขามีบันไดหินที่คนงานขุดเจาะไว้ตรงตีนเขา เหมือนจะนำทางขึ้นไปยังบนนั้น เหมียวอี้ถือมีดฆ่าหมูเดินเข้าไปใกล้ แล้วย่ำเท้าเหยียบขึ้นไปช้าๆ

พอเหยียบถึงยอดเขา ก็ถูกดึงดูดด้วยก้อนหินมหึมาก้อนหนึ่งทันที บนหินนั้นวาดสลักรูปผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังทะยานสู่ฟ้าอย่างนิ่มนวลอ่อนช้อย แม้จะเป็นแค่รูปสลัก แต่สลักได้อย่างมีจิตวิญญาณมาก สวยจนน่าตะลึง อดไม่ได้ที่จะมองซ้ำอีก

‘ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!’'

ตัวอักษรใหญ่สีแดงเลือดแนวตั้งสองแถว ข้างๆ รูปสลักผู้หญิง คล้ายกับคำอธิบาย เลือดร้อนน่าเกรงขาม มีพลังอำนาจไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าแฝงความหมายอะไรอยู่

หน้าตาของผู้หญิงที่กำลังทะยานฟ้ามีเสน่ห์ดึงดูดมาก แต่ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์สุนทรีที่จะมาค่อยๆ เชยชมช้าๆ เนิบๆ เขากุมมีดฆ่าหมูไว้แน่นแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ

เดินไปได้สิบกว่าเมตร ภาพที่เห็นทำให้เหมียวอี้ต้องหยุดเดิน เป็นชายคนหนึ่งยืนตัวตรงเอามือไขว้หลังอยู่ข้างหน้าผา เหมียวอี้เขาถือมีดฆ่าหมูขึ้นมาด้วยความประหม่าเล็กน้อยและถามว่า "เป็นท่านเองหรือที่ดีดฉิน?"

‘บัณฑิต'’ หมุนตัวช้าๆ สายตากำลังมองสำรวจอยู่ที่ตัวเหมียวอี้

พอมองหน้าตาของอีกฝ่าย เหมียวอี้ตกตะลึงทันที เขาไม่เคยเห็นผู้ชายที่ดูดีขนาดนี้มาก่อน ลักษณะเหมือนนั่งอยู่บนก้อนเมฆ สายตาที่เหมียวอี้มองเขาราวกับ เหมือนเห็นเซียนบนสวรรค์ชั้นเก้ากำลังก้มลงมองลงมาที่มนุษย์ธรรมดา

"เซียนเหรอ?" เหมียวอี้ถามด้วยความกังวล

บัณฑิตส่ายหัว

เหมียวอี้ถามอีก "ปีศาจ?"

บัณฑิตส่ายหัวอีก

ทันใดนั้นเหมียวอี้ก็เอามือตบหน้าผากตนเอง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา รู้สึกตัวเองคิดมากไปหน่อย ไม่ว่าจะเป็นเทพเซียนหรือภูตผีปีศาจ แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเวลานี้นอกจากมนุษย์ธรรมดา ใครก็เข้ามาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเซียนข้างนอกคงเข้ามาตั้งนานแล้ว

เหมียวอี้หัวเราะ "ท่านอา ท่านหน้าตาหล่อมากเลย "

บัณฑิตพยักหน้ายิ้มเล็กน้อย เหมือนกำลังพูดว่าขอบคุณที่ชม

พอเห็นบนตัวบัณฑิตไม่ได้พกอาวุธ เหมียวอี้ก็วางใจไปเยอะ แล้วเอ่ยถามว่า "เมื่อครู่นี้เป็นท่านใช่มั้ยที่กำลังดีดฉิน?"

"ข้าถูกเสียงฉินดึงดูดให้มาที่นี่" ในที่สุดบัณฑิตก็เอ่ยปากพูดแล้ว น้ำเสียงราบเรียบสุขุมผิดปกติ โบกมือชี้ไปยังกู่ฉินบนโต๊ะหินที่อยู่ไม่ไกลนัก "เห็นแต่ฉิน ไม่เห็นคน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนดีด"

"เอ..." สายตาเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนโต๊ะหิน อึ้งเล็กน้อย ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ชี้ เขาคงจะไม่สังเกตเห็นจริงๆ ว่าเจ้าตัวใหญ่มหึมานั่นเป็นฉิน เขาเดินไปดูใกล้ๆ รู้สึกใจหายใจคว่ำทันที

ไม่ใช่เพราะความใหญ่ของฉิน แต่พอเข้าใกล้ฉินตัวนี้แล้ว มีความรู้สึกกดดันอึดอย่างอธิบายไม่ถูก เหมือนกับมองหลายๆ ครั้งแล้วจะตัวสั่นด้วยความกลัว

"นี่เป็นฉินจริงๆ หรือ? "เหมียวอี้ถามออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

บัณฑิตตอบเงียบๆ "น่าจะใช่"

"ฉินใหญ่ขนาดนี้..." ทันใดนั้นเหมียวอี้ก็ตาเป็นประกาย ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ พอมองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีคนอื่น ก็พลันยื่นแขนโอบไว้ นอนคว่ำหน้าร้องโอดโอยอยู่บนฉินเป็นเวลานาน เกร็งอึดอัดจนแดงก่ำไปทั้งหน้า

สายตาบัณฑิตแสดงความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร?

ดูอยู่ตั้งนานจนคล้าย เหมือนจะมองออกในที่สุดแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ

เขาเดาไม่ผิด เหมียวอี้เดาออกแล้วว่านี่คือสมบัติล้ำค่า เพราะคนธรรมดาไม่สามารถใช้ฉินใหญ่ขนาดนี้ได้ เข้าทางเหมียวอี้แล้ว เห็นบริเวณรอบๆ ไม่มีคนอื่น บัณฑิตก็ดูไม่เหมือนคนที่จะชกต่อยได้ อีกทั้งในมือก็ไม่มีอาวุธ แต่ในมือตนมีมีด ดังนั้นเขาจึงอยากใช้โอกาสนี้แย่งชิงกู่ฉินตัวนี้หนีไป

แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้กลัดกลุ้มก็คือ เขาใช้แรงอย่างสุดกำลังแล้ว กู่ฉินตัวนี้กลับก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย หนักเหมือนกับภูเขาลูกหนึ่ง

ยกไม่ขึ้นจริงๆ สุดท้ายก็คลายมือออก เขาหัวเราะแล้วพูดว่า " ข้าลองทดสอบน้ำหนักดูหน่อยน่ะ หนักมากเลยนะ… ท่านอาชื่ออะไรเหรอ?"

"เรียกข้าว่าเหล่าไป๋ก็ได้ " บัณฑิตยิ้ม มองที่กู่ฉินแล้วถามว่า "เจ้าอยากนำมันกลับไปด้วยเหรอ?"

เหมียวอี้พูดแบบดูถูก "อย่าบอกนะว่าท่านไม่อยากนำมันกลับไป ?"

บัณฑิตพูด "ข้าก็ย้ายไม่ไหวเช่นกัน"

เหมียวอี้ลองถาม "ท่านเตรียมจะกลับไปหาคนมาช่วยหามออกไปเหรอ ?"

บัณฑิตส่ายหัวเบาๆ แล้วพูดว่า "ข้าขอแนะนำว่าตอนเจ้าออกไปแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องฉินตัวนี้ ไม่เช่นนั้นจะมีแต่สร้างความยุ่งยากให้เจ้า "

เหมียวอี้สงสัย "ทำไมล่ะ?"

บัณฑิตยิ้มบางเบาๆ แล้วพูดว่า "ตลอดทางที่มาที่นี่ เจ้าไม่รู้เลยเหรอว่าอันตรายมาก? ถ้าเซียนที่อยู่ข้างนอกรู้เข้า ก็ต้องส่งคนมาช่วยเจ้าหามออกไป และต้องให้เจ้าเข้ามานำทางด้วยแน่ ดังนั้นตอนข้าออกไป ข้าจะไม่พูดเรื่องฉินตัวนี้ เพราะข้าไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเอง "

เหมียวอี้ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ต้องยอมรับว่าที่อีกฝ่ายพูดมีเหตุผล อย่าเพิ่งไปพูดถึงเวลาที่ค่ายกลปิดเลย ความอันตรายของที่นี่ตัวเองก็ได้บทเรียนมาแล้ว เดินมาถึงที่นี่ได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ถ้าถูกเซียนมนุษย์บังคับให้เข้ามานำทางอีก จะมีชีวิตกลับไปได้หรือไม่นั่นแหละคือปัญหา

พอคิดได้แล้วก็ทำได้เพียงหยุดคิดเรื่องฉินไว้ก่อนชั่วคราว เขามองบนตัวของบัณฑิตที่สะอาดไร้ฝุ่น แล้วถามด้วยความสงสัยว่า "เมื่อครู่ท่านไม่เห็นจริงหรือว่าใครเป็นผู้ดีดฉิน?"

"ถ้าเจ้าบอกว่าเมื่อครู่นี้ เมื่อครู่ข้าถือโอกาสบรรเลงดูหลายครั้ง" บัณฑิตเดินไปข้างๆ ฉิน ยื่นมือออกมาดีดสายฉิน เสียงฉินติงๆ ตังๆ ราวกับน้ำไหลดังขึ้นอีกครั้ง

ขณะที่เสียงฉินดังขึ้น เหมียวอี้ก็สั่นไปทั้งตัว พฤติกรรมผิดปกติในชั่วพริบตาเดียว มองสายฉินที่สั่นไหวเบาๆ ด้วยความล่องล่อยไร้สติ

"เจ้าอายุยังน้อย เหตุใดจึงมาเสี่ยงอันตรายที่นี่?" บัณฑิตไม่หันกลับมา จ้องห้านิ้วของตัวเองที่กำลังดีดฉินแล้วถามเบาๆ

เหมียวอี้พลันเหมือนอยู่ในความฝัน คนอื่นถามอะไร ตนเองก็ตอบความจริงไปแบบซื่อๆ

หลังจากถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้จนชัดแล้ว 'ตึง' บัณฑิตใช้นิวชี้หยุดอุดสายฉินไว้ เหมียวอี้ตื่นจากความเหม่อลอยทันที

ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ตอบว่าเกิดอะไรขึ้น บัณฑิตก็แบมืออกมา ในมือมีสายคล้องหนึ่งเส้น เขายื่นให้ตรงหน้าเหมียวอี้

แล้ว

เป็นลูกประคำสีเขียวเข้มร้อยอยู่บู่บนเชือกเส้นหนึ่ง เหมือนเป็นสร้อยคอ ดูธรรมดาแต่มองแล้วกลับสบายตา

เหมียวอี้กล่าวแบบงงๆ "ให้ข้าเหรอ?"

…………………………