by Harmonica
นิโคลาโยส วาลลาซนั่งเรือเร็วของคิโรสซึ่งขับกลับมาส่งเขาที่เกาะปาโรสอย่างอารมณ์เสีย
เขาหงุดหงิดอย่างมากกับพินัยกรรมของคิโรสที่ยกสิทธิ์ในหุ้นส่วนเกือบทั้งหมดของกลุ่มบริษัทในเครือคิริยาคอสให้กับนายคริส ไอ้หลานนอกไส้ของตระกูลอนาโตลาคิสคนนั้น
ไม่รู้พ่อตาของเขาคิดอะไร ทั้งที่อนาสเตเซียกับเขามีจูเลี่ยนเป็นทายาทให้อยู่แล้ว กลับอุตริไปยกบริษัทให้คนนอก
นายคริสนั่น เขาก็แสนจะไม่ชอบหน้า มันคงนึกว่าเขาไม่รู้ โธ่เอ๋ย! ผู้ชายด้วยกันดูกันออกหรอก ไอ้หมอนี่ชอบทำตาละห้อยทุกครั้งที่มองดูอนาสเตเซีย ส่วนแม่เมียรักของเขาเองก็คงมีจิตพิศวาสเจ้าคริสนี่ไม่น้อยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเจ้าหล่อนคงไม่กลายเป็นผู้หญิงจืดชืดเป็นน้ำยาเย็น และปิดกั้นตัวเองกับเขาอยู่แบบนี้ โดยเฉพาะเวลาร่วมเตียงกัน มันทำให้เขาหมดอารมณ์พิศวาสหล่อนไป แม้หล่อนจะสวยปานนางฟ้านางสวรรค์ก็ตาม ไม่มีผู้ชายคนไหนจะทนเมียที่สวยเป็นรูปปั้นแล้วก็เย็นชาเป็นน้ำแข็งได้หรอก
ยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียดขี้หน้านายคริสตอฟมากขึ้น เพราะความเย็นชาของอนาสเตเซีย ทำให้เขาทนร่วมเตียงกับหล่อนได้ไม่กี่ครั้งเพียงเพื่อให้มีทายาทกับหล่อนเท่านั้น แม้ความสวยของหล่อนจะดึงดูดใจและน่าพิศวาสเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อได้ร่วมรักกับหล่อนแล้ว ก็ช่างเย็นชาจืดชืดราวกับน้ำยาเย็น
เขาเบื่อหน่ายความเป็นผู้ดิบผู้ดีและความสำรวมกิริยาอาการของหล่อนภายในเวลาไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ทั้งหมดคงเพราะอนาสเตเซียแอบรักกับนายคริสตอฟ ทำให้หล่อนไม่เคยปล่อยอารมณ์ร่วมกับเขา ทั้งยังจืดชืดเย็นชา เก็บตัวแล้วก็เอาแต่หม่นเศร้าจนน่าเบื่ออีกด้วย
แล้วนี่พ่อตาของเขาก็ยังเหมือนจะเป็นใจ เจตนายกหุ้นส่วนบริหารแทบทั้งหมดในธุรกิจที่ตัวเองก่อร่างสร้างมาให้กับไอ้หลานนอกไส้ของเมียเก่านี่อีก ราวกับเจตนาจะยกลูกสาวให้กับมัน โดยข้ามหัวเขาไปกระนั้น ฝันไปเถอะไอ้เด็กกำพร้า หากเขายังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีวันยอมให้นายคริสตอฟสมหวังแน่
นิโคลาโยสหงุดหงิดมากเสียจนไม่สนใจมองทิวทัศน์รอบข้าง และไม่สนใจที่จะเอ่ยแสดงความยินดีกับอาคิลตามมารยาท หรือกระทั่งพูดคุยกับเขาขณะที่นั่งเรือกลับมาปาโรส
เมื่ออาคิลนำเรือเร็วแบบสปอร์ตมาจอดเทียบท่าเรือเล็กที่บ้านของเขาและอนาสเตเซีย นิโคลาโยสก็รีบลุกจากที่นั่งด้านหลังซึ่งเขาไม่ยอมไปนั่งคู่ด้านหน้ากับอาคิล แล้วก้าวขึ้นจากเรืออย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจจะเอ่ยคำอำลากับอาคิลที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเรือ
เขาลงและโบกมือให้อาคิลกลับหันหัวเรือออกไปเลย เพื่อกลับไปที่เกาะแอนติปาโรส
ชายหนุ่มนึกโกรธทุกคนในที่นั้นไปหมด เขาอยากโวยวายใส่สเตฟานอส นักกฎหมายที่จัดการเรื่องพินัยกรรม แต่ก็ยังพยายามเก็บอาการไว้ เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร สเตฟานอสเป็นเพียงนักกฏหมายที่ทำตามความประสงค์ของลูกค้าและไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรที่คิโรสทำไว้
เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็สู้เก็บอาการเอาไว้ดีกว่าจะปล่อยให้มีพิรุธให้ใครต่อใครจ้องจับผิด
แต่ลาซารอสนี่สิ ยั่วโมโหเขาพอตัวทีเดียว
นิโคลาโยสนึกถึงคำสนทนาระหว่างเขากับสารวัตรลาซารอสที่สำนักงานกฎหมายนั่น ดราโก้ถามเขาขึ้นมาหลังการอ่านพินัยกรรมเสร็จสิ้น ว่าเขารู้สึกยังไงที่พ่อตายกหุ้นส่วนในธุรกิจของตระกูลเกือบทั้งหมดให้กฤชไป
เขาจำได้ว่าเขามองหน้าสารวัตรนิ่ง พยายามวางสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด
"สารวัตรถามผมในฐานะอะไรล่ะ" เขาย้อน "ในฐานะสามีของอนาสเตเซีย ผมย่อมรู้สึกเฉย ๆ เพราะผมไม่ได้แต่งงานกับเธอเพื่อหวังในทรัพย์สิน ไม่เช่นนั้นผมคงไม่ยอมเซ็นสัญญาก่อนแต่งนั่นหรอก"
"ผมรู้ว่าคุณยอมเซ็นชื่อในสัญญาข้อตกลงก่อนแต่งงานไป แต่นั่นมันก่อนที่คุณกับมาดามวาลลาซจะมีทายาทด้วยกัน คุณจะบอกว่าคุณรู้สึกว่ามันยุติธรรมดีแล้วที่คุณคิริยาคอสยกธุรกิจของตระกูลให้กับคนในตระกูลอนาโตลาคิส ไปอย่างนั้นหรือ" สารวัตรกล่าว
นิโคลาโยสหลุบตาลง ยักไหล่นิดหนึ่ง
"ถ้านั่นเป็นความประสงค์ของคนที่เป็นตาของลูกผม แล้วผมจะไปทำอะไรได้ ในเมื่อมันไม่ใช่สิทธิ์ของผมที่จะไปโต้แย้งอะไร และสารวัตรคงไม่คิดว่าผมจะไปโวยวายกับคนที่ตายไปแล้วหรอกนะ"
ก่อนดราโก้จะพูดอะไรต่อ สเตฟานอสก็เดินมาเรียกอนาสเตเซียซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างนิโคลาโยส
"มาดามวาลลาซ ผมต้องขอเชิญคุณกับคิริโยสอนาโตลาคิสที่ห้องทำงานส่วนตัวของผมหน่อย"
"มีอะไรหรือคะ" อนาสเตเซียเอ่ยถามเบา ๆ
สเตฟานอสนิ่งไปเพียงนิดหนึ่งก่อนพูด
"เกี่ยวกับพินัยกรรมที่ประกาศไป มีเอกสารกับข้อสัญญาที่คุณกับคิริโยสอนาโตลาคิสต้องไปอ่านให้ละเอียด และเซ็นชื่อรับทราบ คงต้องใช้เวลานานสักหน่อย"
เขาพูดจบก็มองหน้านิโคลาโยส
"ไม่ทราบคุณวาลลาซจะสะดวกนั่งคอยอยู่ที่ห้องรับรองไหม ผมจะสั่งให้เขาเอากาแฟมาเพิ่ม"
นิโคลาโยสทำสีหน้าส่อแววหงุดหงิดนิดหนึ่ง ให้เขานั่งคอยอยู่แล้วรอให้ตำรวจสองนายนี่คอยจับผิดและซักถามโน่นนี่เขาเห็นจะไม่มีทางหรอก
"ขอโทษนะคุณทนาย" เขาพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ ที่จุดประกายเสน่ห์เน้นความหล่อคมเข้มอย่างน่ามอง "ผมมีนัดที่โรงแรม ต้องไปให้ทันบ่ายนี้ คุณต้องการเวลาจากภรรยาผมนานขนาดไหนล่ะ"
สเตฟานอสนิ่งไป ขณะที่อนาสเตเซียอึดอัด ตอนนี้เองที่สารวัตรลาซารอสเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ
"ไม่เป็นไรนี่ครับ คุณโรคาซขับเรือเร็วมาพร้อมกับคุณอนาโตลาคิสไม่ใช่หรือ คุณก็นั่งเรือเร็วกลับไปพร้อมกับคุณโรคาซก่อนก็ได้นี่ครับ หรือถ้าสะดวกเครื่องบินน้ำมากกว่าคุณก็ไปนั่งคอยกับผมก็ได้ ผมยินดีเลี้ยงกาแฟ"
ดราโก้ ลาซารอสตบท้ายด้วยคำถาม เขามองสีหน้าพิพักพิพ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนิโคลาโยส อย่างขบขันก่อนจะพูดต่อ
"ถ้าคุณวาลลาซไม่มีเวลาดื่มกาแฟกับผม ก็คงต้องใช้เรือเร็วกลับ คุณอนาโตลาคิสก็ต้องกลับเครื่องบินน้ำพร้อมมาดามวาลลาซแทน"
นิโคลาโยสกวาดสายตาคมกริบของตนไปยังกฤชกับอนาสเตเซีย และย้อนกลับไปที่สเตฟานอส เขารู้สึกหงุดหงิดไม่รู้มีอะไรหมกเม็ดไว้อีกหรือเปล่าที่สเตฟานอสไม่ต้องการให้เขารู้
เมื่อเห็นทุกคนรุมเสนอแนะขนาดนั้น อีกทั้งตัวเขาเองก็ต้องการไปให้พ้นจากนายตำรวจจอมแส่สองนายนั่นโดยเร็ว ให้ไปนั่งดื่มกาแฟกับเจ้าสารวัตรลาซารอสนั่นเห็นจะไม่มีทาง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ายอมรับอย่างไว้เชิง
"ดีเหมือนกัน" เขาพูดด้วยรอยยิ้ม "ถ้างั้นผมลาเลยแล้วกันครับ สารวัตรและทุก ๆ คน"
นิโคลาโยสพูดจบก็ลุกขึ้น ด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาหันไปรวบตัวอนาสเตเซียไว้ในอ้อมกอดด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะก้มลงจุมพิตเธออย่างดูดดื่มโดยเจตนาต่อหน้าคนอื่นในห้องอยู่หลายวินาที ไม่เพียงแค่จุมพิต แต่มือข้างว่างยังแกล้งขยำลงที่บั้นท้ายกลมมนของอนาสเตเซียด้วย
"อย่านานนะที่รัก"
เขากระซิบเบา ๆ ที่ริมหูหลังจากถอนริมฝีปากออกแล้ว เสียงแหบพร่านั้นเต็มไปด้วยความหมาย และมีเจตนาให้คนข้าง ๆ ได้ยิน
สีหน้าตกตะลึงและโกรธเคืองของกฤชสร้างความสะใจให้กับนิโคลาโยสเป็นอย่างมาก เขาเจตนาจูบอนาสเตเซียอย่างดูดดื่ม และขยำบั้นท้ายหล่อนอย่างมีความหมายต่อหน้าธารกำนัล เพียงเพื่อเย้ยกฤชเล่นเป็นการแก้เผ็ดให้หายหมั่นไส้
นิโคลาโยสปล่อยมือจากร่างของภรรยาที่ตัวแข็งไปด้วยความโกรธ ชายหนุ่มคว้าหมวกที่วางไว้มาสวม รอยยิ้มที่มุมปากบ่งบอกความสะใจอย่างเหลือแสน เขาเอามือแตะหมวกก้มศีรษะนิดหนึ่งเป็นการอำลา ก่อนจะก้าวนำอาคิลออกจากห้องไป
สารวัตรลาซารอสและผู้หมวดอลองโซ่นั่งอยู่มุมอีกด้านที่มองไม่เห็นมือข้างที่เขาขยำบั้นท้ายของอนาสเตเซียอย่างหยาบหยาม ซึ่งเขาเจตนาแสดงเพื่อหยามน้ำหน้ากฤชเท่านั้น ไม่คิดจะทำลายภาพพจน์สามีผู้น่ารักต่อหน้าคนอื่นโดยเฉพาะนายตำรวจทั้งสอง
ทว่านิโคลาโยสสามารถสะกดกลั้นความโกรธไว้ได้เพียงเท่านั้น เมื่อพ้นอาคารหลังนั้นออกมา เขาก็ไม่อาจเก็บซ่อนความไม่พอใจไว้ได้อีกต่อไป นิโคลาโยสนิ่งเงียบตลอดทางที่เดินผ่านตรอกคนเดินเล็ก ๆ เพื่อลงไปยังถนนใหญ่ด้านล่างสู่ท่าเรือซึ่งอาคิลจอดเรือเร็วไว้ เขาไม่สนใจที่จะผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อคอยอาคิลแต่เดินนำลิ่วไปไกล
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนหยามน้ำหน้าอย่างแรง การที่คิโรสยกหุ้นส่วนในบริษัทเกือบทั้งหมดให้กฤช มันเป็นการแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าคิโรสอยากได้กฤชเป็นลูกเขยขนาดไหน
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งชังน้ำหน้าไอ้หนุ่มลูกครึ่งจากประเทศไทยคนนั้นมากขึ้น
ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้ธุรกิจที่ควรจะต้องตกเป็นของจูเลี่ยน ไปเป็นของคนอื่นอย่างไม่ชอบธรรมเช่นนี้ เขาเฝ้าฝันมานานแล้วว่าชื่อของนิโคลาโยส วาลลาซจะต้องกลายเป็นชื่อที่มีความสำคัญ เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ที่เพียงแค่เอ่ยนามใครต่อใครก็รู้จักและยำเกรง
นิโคลาโยสกดโทรศัพท์ไปนัดพบคาริสซ่า รอสซี่ แม่นางแบบสาวผมแดงที่แสนจะร้อนแรงนั่นน่าจะช่วยดับโมโหให้เขาได้ เมื่อวางสายจากหล่อนเขาก็ตัดสินใจฉับพลันกดไปหาใครอีกคนหนึ่ง
"ฮัลโหล คาร์ลอสหรือ" เขาพูดเมื่อปลายทางรับสาย "ฉันเอง นิคกี้"
สารวัตรลาซารอสเฝ้ามองความเป็นไปในวันนั้นอย่างสนใจ
ทุกคนออกจากห้องไปหมดแล้ว นิโคลาโยสออกไปพร้อมกับอาคิล ส่วนอนาสเตเซียกับกฤชเดินออกไปอีกห้องพร้อมกับสเตฟานอส
เขารู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่ขอให้มีการเปิดพินัยกรรมและขอเข้ามานั่งฟังด้วย
สายสัมพันธ์ทางใจที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ท่าทางเรียบเฉยของอนาสเตเซียและกฤชนั้นเป็นเหมือนเชือกเส้นบาง ๆ ที่เชื่อมคนทั้งสองไว้ด้วยกันโดยไม่มีใครมองเห็น
บางทีข้อสงสัยของผู้หมวดอลองโซ่ที่เกี่ยวกับกฤชอาจจะไม่พลาดเป้ามากนักก็ได้ ดราโก้เริ่มหันมาจับสายตามองที่นายคริสตอฟ อนาโตลาคิสผู้นี้ เหตุใดคิโรสจึงยกธุรกิจของตระกูลให้กับคนอื่น แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหลานชายของอดีตภรรยาผู้ล่วงลับ แต่ก็ไม่ได้สืบทอดสายเลือดใด ๆ ของตระกูลเขาเลย ธุรกิจเหล่านั้นมีมูลค่าหลายพันล้านเหตุใดจึงไม่มอบให้กับ อนาสเตเซีย หรือไม่ก็จูเลียนหลายชายแท้ ๆ ของเขาเอง
แล้วทำไมเขาจึงเปลี่ยนพินัยกรรม ตัดชื่อภรรยากับลูกชายที่ยังไม่คลอดออก คิโรสมีส่วนรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับการหายตัวไปของลีย่าหรือไม่
ปริศนาเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบหรือคำอธิบายใด ๆ ที่ฟังดูมีเหตุมีผลมีน้ำหนักเพียงพอ เขารู้สึกว่ามีหลายอย่างที่ขาดหายไปซึ่งเขาไม่รู้ และนั่นคือเงื่อนงำของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
"สารวัตรไม่มีอะไรจะถามมาดามวาลลาซหรือ" ไอวานถามขึ้นมา
"ตอนนี้ยังหรอก"
"ทำไมล่ะครับ แล้วนายอนาโตลาคิสนั่นล่ะ" ผู้หมวดยังสงสัย
ลาซารอสยิ้มนิด ๆ จุดประกายความคมสันของใบหน้าให้ดูมีเสน่ห์ชวนมอง แม้อายุเขาจะล่วงเข้าวัยปลายสามสิบ เป็นหนุ่มใหญ่แล้วก็ตาม แต่ความคมเข้มของเขากลับไม่ได้ลดลงตามวัย
"ตอนนี้เราใช้การจับสังเกตก่อนดีกว่า บางครั้งเราอาจมองอะไรได้ชัดกว่า หากมองจากภาษากายของพวกเขา แทนที่จะฟังสิ่งที่พวกเขาจะพูด" เขาพูดก่อนจะเสริมขึ้น
"และเมื่อเราอ่านพฤติกรรมกับความคิดของพวกเขาได้พอสมควร เราค่อยเลือกถามคำถามที่เหมาะสม ก็ยังไม่สาย"
"ว่าแต่นายเช็คกับหน่วยค้นหาหรือยังว่ามีความคืบหน้าเรื่องมาดามคิริยาคอสอย่างไรบ้าง" ดราโก้ถาม
"เช็คแล้วครับ แต่ยังไม่พบเหมือนเคย"
สารวัตรหนุ่มใหญ่นิ่วหน้า ลีย่า คิริยาคอสหายตัวไปพร้อมลูกในท้องนานถึงห้าวันแล้ว แต่พวกเขายังไม่พบร่องรอยอะไรเลย ไม่มีจดหมายหรือโทรศัพท์ติดต่อเรียกร้องขอเงินค่าไถ่ใด ๆ ซึ่งยืนยันถึงข้อสงสัยของเขาที่ว่านี่ไม่ใช่คดีเรียกร้องค่าไถ่อย่างที่ใคร ๆ คิดในตอนแรก
"แล้วทีมค้นหาของทางคุณวาลลาซล่ะ" ดราโก้ถามขึ้นอีก
"ที่ถามนายวาลลาซไปเมื่อเช้า เห็นว่ายังไม่รู้ความคืบหน้าครับ" ไอวานตอบ
"ฉันหมายถึงให้นายไปสืบดูว่า พวกเขาส่งทีมค้นหาอย่างไร และค้นที่ไหนบ้าง" สารวัตรอธิบาย
"เท่าที่ทราบจากทางหน่วยของเรา ทางนายวาลลาซส่งทีมค้นหาจริง แต่เป็นเพียงหน่วยเล็ก ๆ หาอยู่ไม่กี่ครั้ง มีทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ และจำกัดบริเวณเฉพาะบนเกาะปาโรส กับแอนติปาโรสเท่านั้น ไม่ได้เลยไปค้นหาตามเกาะแก่งเล็ก ๆ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่น้อยในบริเวณใกล้เคียงนี่ครับ"
"งั้นหรือ" ดราโก้นิ่งคิด "งั้นทีมค้นหาของเราไปในที่ ๆ นายวาลลาซไม่ได้ส่งทีมไปด้วยก็แล้วกัน ลองไปดูตามเกาะเล็กเกาะน้อยแถวนี้ดู"
"ได้ครับ" ไอวานรับคำ
อนาสเตเซียโกรธจัดจนไม่อาจพูดอะไรกับใครได้
พฤติกรรมของนิโคลาโยสสร้างความอับอายขายหน้าให้กับเธออย่างเหลือประมาณ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองถูกลดระดับลงเป็นเพียงผู้หญิงข้างถนนหรือโสเภณีคนหนึ่ง ที่นิโคลาโยสจะกระทำประเจิดประเจ้อด้วยอย่างไม่มีกาลเทศะอย่างไรก็ได้
อนาสเตเซียไม่เข้าใจว่าเหตุใดสามีของเธอจึงเจตนาหยามเธอด้วยการขยำบั้นท้ายต่อหน้าธารกำนัล การจุมพิตเป็นสิ่งปกติที่รับได้ แต่การขยำบั้นท้าย พระเจ้าช่วย เขาเจตนาทำให้เธอดูเหมือนผู้หญิงสำส่อนที่เขาไม่จำเป็นต้องให้เกียรติในสถานที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ และแท้ที่จริงเขาก็ไม่ได้นึกพิศวาสเธอด้วยซ้ำ เขากระทำเพียงเพื่อดูถูกหรือเหยียดหยามเธอเท่านั้น
เธอรู้ดีว่าเขาไม่เคยมีจิตใจพิศวาสเธอมาแต่ไหนแต่ไร และเลิกเสแสร้งว่ารักใคร่ใยดีเธอนับแต่ที่เธอตั้งครรภ์จูเลียนไม่นาน ความห่างเหินที่เขาปฏิบัติต่อเธอจนชาชินได้สร้างเกราะกำบังใจให้กับเธอมานานเกือบสี่ปีแล้ว
เขาคงหงุดหงิดมากที่คิโรสทิ้งหุ้นส่วนในกิจการต่าง ๆ ให้กับเธอเพียงเล็กน้อย ซึ่งนั่นหมายความว่าจูเลียน วาลลาซ บุตรชายคนเดียวของคนทั้งคู่จะไม่ได้สิทธิ์ในการบริหารอะไรในธุรกิจของตระกูลคิริยาคอสไปด้วยในอนาคต นิโคลาโยสจึงเจตนาระบายความโกรธแค้นของเขา ด้วยการแสดงพฤติกรรมเหยียดหยามลดค่าของเธอต่อหน้าผู้อื่น
หญิงสาวรู้ดีว่าเขารู้สึกเดือดร้อนแทนลูกชาย เพราะไม่ว่านิโคลาโยสจะหมางเมินเย็นชากับเธอเพียงใด สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ว่าเขามีคือความรักอย่างจริงใจให้กับจูเลียน เขาอาจจะแทบไม่เคยซื้อของขวัญหรือให้เวลากับลูกชายมากมาย แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่บ้าน จูเลี่ยนจะมีความสุขอย่างมากที่ได้เล่นและใกล้ชิดกับพ่อของเขา
เธอรู้สึกสะท้อนใจในความไม่สมบูรณ์แบบของครอบครัวตนเอง ใช่! ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลของคิโรสเช่นกัน ทั้งที่ดูบิดาของเธอจะรักใคร่จูเลียนไม่น้อยไปกว่าเธอและสามี แต่เหตุใดคิโรสจึงเจตนาตัดเธอและครอบครัวออกไปจากธุรกิจของครอบครัวที่คิโรสเป็นคนสร้างจนยิ่งใหญ่ขึ้นมาด้วยตัวเอง
เธอเดินตามกฤชไปที่ห้องทำงานของสเตฟานอสอย่างเงียบขรึมยิ่งกว่าเคย ใบหน้าขาวเนียนเรื่อแดงด้วยความโกรธปนอาย
อนาสเตเซียรู้สึกอับอายขายหน้ามากจนไม่กล้ามองหน้าใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฤช เธอรู้สึกอับอายกฤชเป็นพิเศษกว่าคนอื่น หญิงสาวเดินตัวแข็งตรงไปนั่งหน้าโต๊ะทำงานของสเตฟานอสอย่างเงียบ ๆ โดยมีกฤชเลื่อนเก้าอี้ให้ และลงนั่งที่เก้าอี้อีกตัวข้าง ๆ เธอ
กระแสความร้อนจากตัวกฤชส่งผ่านมายังตัวเธอขณะที่เดินผ่านในระยะใกล้ มันเจือออกมาพร้อมกลิ่นหอมจางของอาฟเตอร์เชฟชั้นดี ที่สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดและอ่อนไหวบางอย่างให้เกิดขึ้นกับเธอ อนาสเตเซียก้มหน้าสำรวมกิริยาให้นิ่งและไม่พยายามมองไปทางกฤช แม้ว่าเธอจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเขานั่งอยู่ข้าง ๆ นี่เอง
ขายาว ๆ ของเขามันเหยียดยาวออกมาให้เธอมองเห็นได้ทางหางตา
สเตฟานอสปิดประตูปิดกั้นห้องทำงานที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือเต็มสามด้านนั้นออกจากโถงทางเดินภายนอก เขาเปิดซองที่เตรียมไว้พร้อมกับซองพินัยกรรม และหยิบเอกสารออกมาส่งให้คนทั้งคู่
"นี่เป็นเอกสารที่คุณสองคนต้องอ่านให้ละเอียดแล้วเซ็นชื่อกำกับทุกหน้า" เขาพูด ขยับแว่นมองชายหนุ่มหญิงสาวตรงหน้า สเตฟานอสรับปรึกษาด้านกฎหมายให้กับคิโรสมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว เขาเคยเห็นและรู้จักคนหนุ่มสาวตรงหน้าเขาทั้งคู่ แม้จะไม่สนิทสนมใกล้ชิดด้วยก็ตาม
"คุณสองคนเอากลับไปอ่าน หรือจะอ่านแล้วเซ็นที่นี่ก็ได้" เขาแนะ
กฤชรับเอกสารมาพิจารณา
"ผมจะเอากลับไปให้นักกฎหมายของผมช่วยตรวจดูก่อนครับ แล้วจะเซ็นคืนส่งมาให้คุณทีหลังหากไม่พบข้อแก้ไขอะไร" กฤชพูดเมื่อเห็นว่าข้อความในเอกสารนั้นต้องพิจารณาอย่างละเอียด และเต็มไปด้วยภาษาทางกฎหมาย
สเตฟานอสหันมามองหน้าอนาสเตเซียเหมือนจะถามว่าเธอจะเซ็นเลยไหม
"ฉันต้องกลับไปอ่านก่อนเช่นกันค่ะ" เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ "แล้วจะส่งกลับคืนให้ภายในสองสามวัน"
สเตฟานอสพยักหน้ารับก่อนจะเปิดเอกสารซองเดิมหยิบซองจดหมายสีครีมมีตราประทับของตระกูลคิริยาคอสเป็นครั่งผนึกไว้ที่มุมปิดซอง เขายื่นซองนั้นมาตรงหน้าอนาสเตเซีย
"นี่เป็นจดหมายของคิริโยสคิริยาคอสที่ฝากให้กับคุณตอนวันที่ท่านทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นมา"
อนาสเตเซียรับจดหมายฉบับนั้นมาอย่างมึนงง เหตุใดบิดาของเธอจึงเตรียมจดหมายไว้ให้เธอผ่านทนายความ ในวันที่ทำพินัยกรรมฉบับนี้ ราวกับรู้ว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่ออีกนานหลังจากเปลี่ยนพินัยกรรม
สเตฟานอสมองดูอนาสเตเซียที่นั่งลูบคลำจดหมายอยู่เงียบ ๆ ราวกับลังเลที่จะเปิดออกอ่าน
"เก็บไว้อ่านคนเดียวนะครับ" เขาพูดขึ้น "ท่านสั่งไว้ว่าเป็นความลับ สำหรับคิเรียอนาสเตเซียเท่านั้น"
หญิงสาวมองหน้าเขา ลังเลเล็กน้อย รู้สึกอยากจะถามอะไรอีกมากมายแต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเก็บจดหมายฉบับนั้นเข้ากระเป๋าถือโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
เธอเงยหน้าขึ้นมองสเตฟานอส
"หมดธุระของฉันแล้วใช่ไหมคะ" หญิงสาวถามพลางเก็บเอกสารที่ต้องนำกลับไปอ่านและเซ็นชื่อเข้าไว้ในกระเป๋าด้วย เธออยากออกไปจากห้องนี้โดยเร็วด้วยไม่อาจทนต่อความใกล้ชิดระหว่างเธอกับกฤชได้ หลายปีแล้วที่เธอคอยหลบหน้าเขา หากแต่วันนี้เธอกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา และความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนที่แฝงได้ด้วยความถวิลหา ได้แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจที่เธอใส่เกราะปิดกุญแจไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้ามาได้เป็นเวลากว่าสิบสองปี
"ครับ แต่เข้าใจว่าคุณต้องคอยกลับพร้อมคุณอนาโตลาคิสไม่ใช่หรือครับ"
อนาสเตเซียพยักหน้า
"คุณอยากออกไปนั่งคอยที่ข้างนอกไหมครับ ถ้าไม่อยากรออยู่ในห้องนี้" สเตฟานอสแนะ
อนาสเตเซียพยักหน้ารับ เธอกล่าวขอบคุณพร้อมกับขอตัวก่อนลุกจากเก้าอี้เดินตัวตรงออกประตูไป
เธอเดินย้อนกลับไปตามโถงทางเดิน ผ่านประตูบานใหญ่ด้านหนึ่งที่เปิดออกสู่ระเบียงซึ่งเหมือนถูกจัดไว้เป็นที่นั่งเล่นดื่มกาแฟและอาบแดดอุ่นให้กับพนักงานซึ่งมีไม่กี่คนในช่วงพัก หญิงสาวก้าวเดินออกไปที่ระเบียงซึ่งขณะนั้นไม่มีใครอยู่ เธอเดินไปเกาะราวระเบียงมองออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้าผ่านอาคารบ้านเรือนที่สร้างไล่ระดับกันลงไปตามเนินเขาต่ำลงไปสู่ชายหาดด้านล่างแบบขั้นบันได
อนาสเตเซียสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ปนมากับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ฤดูร้อนซึ่งปลูกไว้ด้านหน้าอาคารเก่าหลังนี้ แสงแดดอบอุ่นในเดือนมิถุนายนสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ลมเย็นสบายช่วยคืนความสดชื่นให้เธอได้อย่างน่าอัศจรรย์
ภายในห้องทำงานของสเตฟานอสหลังจากอนาสเตเซียลุกออกไป เขาก็ลุกไปหยิบสมุดเขียนภาพเล่มหนึ่งจากตู้ข้างผนังมาวางตรงหน้ากฤช
"ท่านฝากไว้ให้คุณ บอกว่าถ้าคุณเห็นแล้วจะเข้าใจ" สเตฟานอสบอก
กฤชมองดูสมุดเขียนภาพนั้นนิ่งอยู่ครู่ มันดูคุ้นตามากแม้ว่าหน้าปกที่ทำจากหนังแท้สีครีมมีลายเส้นสีดำนั้นจะดูเก่าจนเหลืองแล้วก็ตาม เขาหยิบสมุดขึ้นมาเปิดดู ภาพสเก็ตตามหน้าต่าง ๆ แต่ละหน้านั้นเกิดจากลายเส้นที่คุ้นตาซึ่งเป็นลายเส้นของเขาเอง เขามีนิสัยชอบบันทึกภาพความทรงจำที่ประทับใจต่าง ๆ ไว้ในสมุดเขียนภาพ และสมุดเล่มนี้แองเจลลิก้ามารดาของเขาเป็นคนซื้อให้ที่อิตาลีช่วงฤดูร้อนปีที่เขาไปพำนักกับญาติของเธอตอนเป็นวัยรุ่น
เขาเปิดดูไปเรื่อย ๆ เห็นภาพทิวทัศน์ริมทะเล ชายหาดที่เต็มไปด้วยต้นมะกอก และแนวโขดหินริมหน้าผาที่ทอดยาวลงไปในทะเลจากมุมมองบนเรือใบซึ่งเขาเคยไปทอดสมอปิกนิกกับอนาสเตเซีย
ชายหนุ่มเปิดมาพบหน้าที่เขาวาดภาพอนาสเตเซียไว้จากความทรงจำเมื่อครั้งที่เป็นเด็กสาวแรกรุ่น ภาพสวนหลังบ้านที่พวกเขานั่งร่วมวงดื่มน้ำชายามบ่ายกัน ภาพวาดคู่กันของอนาสเตเซียกับอเล็กซิสลูกพี่ลูกน้องของเขา ภาพของอแนสซ่าที่นั่งถักนิตติ้งอย่างอบอุ่นบนเก้าอี้ที่มองออกไปเห็นหน้าผาและทะเลที่สวยงามของเกาะแอนติปาโรส ภาพภูเขาทางตอนเหนือของอิตาลีในฤดูใบไม้ร่วงที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงามตั้งแต่ส้มเหลืองและแดงตัดกับท้องฟ้าใสที่มีเมฆสีขาวลอยอยู่ประปราย ภาพบิดาและมารดาของเขาในความทรงจำนั่งคู่กันที่เก้าอี้ในสนามหลังบ้าน และภาพบ้านเรือนแบบเวนิซที่ปลูกอยู่ริมชายหาดที่ริมินี่
ความทรงจำครั้งเก่าผ่านเข้ามาในความคิดของชายหนุ่มอย่างช้า ๆ ราวกับความฝัน ภาพวาดในหน้าสุดท้ายเป็นภาพของไร่องุ่นในเขตที่ดินของปู่เขาเองที่บ้านพักตากอากาศในซานโตรินี
ภาพความอุดมสมบูรณ์ของไร่องุ่นถูกฉาบทอด้วยแสงสีส้มและสีเหลืองที่ปลายขอบฟ้ายามอาทิตย์อัสดงตัดกับสีคล้ำมัวของท้องฟ้ายามเย็น
มีภาพวาดของคนคู่หนึ่งเป็นภาพเล็ก ๆ ตรงกลางซึ่งไม่ได้วาดให้เห็นใบหน้าชัดเจน เพียงแต่มองก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงกับผู้ชายที่ยืนจุมพิตกันอย่างแสนหวานและอ่อนโยนกลางไร่องุ่นในหุบเขา ที่ทาบทอด้วยแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์อัสดงเท่านั้น
กฤชมองดูลายเซ็นของตัวเองที่มุมภาพนั้นซึ่งเขียนไว้ว่า 'ตราบสิ้นกาลเวลา' นิ้วเรียวยาวของเขาลูบไล้เบา ๆ เฉพาะบนลายเซ็นนั้นเพื่อถนอมสีที่วาดบนกระดาษไว้ไม่ให้เสียหาย
เสียงของสเตฟานอสเอ่ยขึ้นขัดเข้ามาในห้วงความคิดของเขา
"คุณคิริยาคอสสั่งว่าให้คุณถนอมรักษาให้ดี ให้สมกับที่ท่านไว้ใจและเชื่อในตัวคุณ"
กฤชพยักหน้าเงียบ ๆ โดยไม่กล่าวอะไร เขาเข้าใจถึงความนัยของสมุดภาพที่คิโรสเคยขอจากเขาไปเมื่อสิบปีก่อน และความหมายที่คิโรสต้องการจะสื่อให้เขาทราบเป็นอย่างดีโดยไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายใด ๆ
บิดาของอนาสเตเซียฝากฝังอนาสเตเซียและธุรกิจของตระกูลให้เขาช่วยดูแล แต่เขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่ออนาสเตเซียไม่ใช่สิทธิ์ของเขาที่จะเป็นคนดูแล เธอเป็นภรรยาตามกฎหมายของชายอื่น แม้ว่าคิโรสจะอยากหรือไม่อยากยอมรับความจริงข้อนั้นก็ตาม สามีของเธอก็ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะไม่ยอมปล่อยเธอไปอย่างง่ายดายนัก