by Harmonica
กฤชเดินออกมาสมทบกับอนาสเตเซียซึ่งยืนคอยอยู่ที่ระเบียงนั่งเล่น
ทั้งคู่เดินออกจากอาคารไปตามถนนที่เป็นขั้นบันไดด้วยกันอย่างเงียบ ๆ ต่างฝ่ายต่างซึมซับบรรยากาศอันสวยงามในแบบเฉพาะของเกาะซีโรส
ด้านบนสูงขึ้นไปจากสำนักงานกฎหมายของสเตฟานอสทางยอดเขาฝั่งตะวันออกซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะเป็นโบสถ์ที่สร้างอยู่บนเนินเขาด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เลียนศิลปะไบแซนไทน์ ชื่อว่าโบสถ์อนาสเตเซีย ด้านบนของโบสถ์สามารถมองลงมาเห็นได้ไกลถึงเกาะตินอส และมิโคนอส
เดินมาไม่ไกลนักทั้งคู่ก็มาถึงจัตุรัสเพอเตซี่ ที่ซึ่งอนาสเตเซียได้จอดรถคันเล็กที่เช่ามาจากมาริน่า หรือท่าจอดเรือยอร์จและเครื่องบินน้ำไว้ ภายในที่จอดรถขนาดเล็กนอกอาคารสามชั้นบริเวณนั้น
หญิงสาวจะเดินนำผ่านอาคารเพื่อไปลานจอดรถด้านหลัง หากแต่กฤชแตะต้นแขนรั้งเธอไว้
เขามองเธอด้วยแววตาที่ดูอบอุ่น อ่อนโยน
"รีบกลับหรือ อัณญ่า" ช่วงเวลาที่ห่างเหินกันนานถึงสิบสองปี ทำให้ความเป็นกันเองของทั้งคู่เลือนหายไป เหลือแต่กิริยามรรยาทอันสุภาพเรียบร้อยของคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
กระนั้นเขาก็ยังเรียกขานเธอด้วยชื่อสั้น ๆ อย่างสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อน
"ไปเดินเล่นกันหน่อยได้ไหม" เสียงของเขานั้นเรียบแต่มีแววเว้าวอนอยู่ในที
อนาสเตเซียนิ่งคิด เธอไม่มีธุระอะไร จูเลียนอยู่ที่บ้านกับซอนญ่าและมีเมลานีกับอีเนียสอยู่ด้วย หญิงสาวยืดตัวขึ้นเงยหน้ารับแดดอุ่นที่สาดทอลงมาบนร่างที่สวมชุดสูทกางเกงเนื้อบางเข้ารูปขาสี่ส่วนแบบเรียบสีครีม เสื้อแจ็คเก็ตเนื้อเดียวกันสีครีม และเสื้อเชิ้ตตัวในสีกาแฟนมเนื้อเนียนวาว
ลมเย็นที่พัดมาเรื่อย ๆ มอบความรู้สึกสบายให้กับเธอจนไม่อยากรีบไปไหน หญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ แล้วเดินตามกฤชไปตามทางเดินเล็กแคบของเมืองนั้น
ทั้งคู่เดินเรื่อย ๆ ผ่านบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอาคารสำนักงานต่าง ๆ ที่ล้วนเป็นสีขาวสะอาด ถนนเป็นตรอกเล็กตรอกน้อย และผ่านโรงละครอพอลโล่ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี 1864 โดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส เลียนแบบลา สกาล่าในมิลาน ประเทศอิตาลี โรงละครนี้ถือเป็นโรงละครโอเปร่าแห่งแรกของกรีซ และมีชื่อเสียงอย่างมากเกี่ยวกับภาพเขียนที่สวยงามของโมสาร์ทและแวร์ดี้ซึ่งแขวนอยู่บนผนังในโรงละคร
ห่างจากจัตุรัสนั้นมาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงจัตุรัสมิอาอูลิส ซึ่งเป็นจัตุรัสใหญ่และสำคัญที่สุดของเมืองเออเมาโปลี เมืองหลวงของเกาะซีโรส จัตุรัสแห่งนี้อยู่ติดกับศาลาว่าการเมือง เป็นจัตุรัสที่ปูด้วยหินอ่อน รอบด้านเรียงรายไปด้วยต้นปาล์ม ร้านกาแฟและร้านพิซเซอเรีย เป็นศูนย์รวมแหล่งท่องเที่ยว จุดนัดพบของคนโดยเฉพาะยามค่ำ ที่ผู้คนเลิกงานออกมากินดื่มหรือนัดพบกันที่บริเวณนี้
กฤชมองดูร้านพิซเซอเรียที่มีอยู่หลายร้านในย่านนั้นแล้วยกข้อมือดูนาฬิกา
"เที่ยงกว่าแล้ว หาอะไรกินกันดีไหม" เขาถามขึ้น
อนาสเตเซียซึ่งกำลังง่วนอยู่กับความคิดของตัวเองอย่างเงียบ ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจเล็กน้อย สายตาเธอสบเข้ากับดวงตาคมที่มีแววห่วงใยอาทรเธอเป็นพิเศษแล้วก็รู้สึกเก้อเขิน พูดไม่ออก
เธอพยักหน้าเงียบ ๆ หลบตาลงมองพื้น "ค่ะ"
"คุณอยากทานอะไร พิซซ่า หรือว่าอาหารกรีก" ชายหนุ่มถาม
"ตรงนี้มีร้านพิซซ่า งั้นพิซซ่าก็ได้ค่ะ"
กฤชเดินนำเข้าไปที่ร้านพิซเซอเรียขนาดเล็ก ที่ดูเก๋และน่านั่งร้านหนึ่ง เลือกโต๊ะแบบสองที่นั่งซึ่งตั้งอยู่บนลานนอกร้านเพื่อชมผู้คนที่เดินผ่านไปมาและทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งยังได้รับอากาศเย็นสบายและแดดอุ่นด้านนอกร้านด้วย เขาส่งเมนูที่วางอยู่บนโต๊ะให้อนาสเตเซียเลือกดูรายการอาหารก่อน
หญิงสาวตาพร่าจนมองแทบไม่เห็นรายการอาหาร และนึกโมโหตัวเองที่ทำประหม่าเก้อเขินราวกับเป็นเด็กสาวรุ่น อนาสเตเซียสงบใจและพยายามสำรวมอารมณ์ตัวเองอีกครั้งไว้ภายใต้สีหน้าที่พยายามให้ดูเรียบเฉย
เธอเลือกสั่งพิซซ่าหน้าไส้กรอกอิตาเลี่ยนกับมะกอกดำมาถาดหนึ่งพลางถามกฤชว่าเขาชอบทานอย่างเดียวกันหรือไม่ เนื่องจากเธอไม่คิดว่าตัวเองจะทานได้หมดคนเดียวทั้งถาด
กฤชพยักหน้า เขาเลือกสั่งเป็นแบบหน้าชีสเปล่าตามสไตล์อิตาเลี่ยนแท้ ซึ่งทางร้านทำให้แบบแบ่งหน้าละครึ่ง ช่วยให้ทั้งคู่สามารถทานร่วมกันและแบ่งกันได้ทั้งสองแบบในถาดเดียว
อนาสเตเซียสั่งซุปทะเลแบบเมดิเตอร์เรเนียนมาด้วยที่หนึ่งสำหรับรับประทานก่อนพิซซ่า ส่วนกฤชเลือกสั่งซุปผักอิตาเลี่ยนมินิสโตรนี่ และสั่งสลัดกรีกมารับประทานคนละจาน
ท่าทางสบาย ๆ และดูอบอุ่นของกฤชช่วยลดความประหม่าและเก้อเขินของเธอได้อย่างประหลาด หญิงสาวค่อย ๆ รู้สึกผ่อนคลายทำให้รับประทานอาหารมื้อนั้นได้อย่างอร่อยและออกรสเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ความคุ้นเคยสนิทสนมเก่า ๆ ค่อย ๆ ถูกรื้อฟื้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว น่าแปลกที่กฤชสามารถทลายกำแพงหินที่อนาสเตเซียได้ก่อไว้ขวางกั้นทุกคนไม่ให้เข้าถึงหัวใจเธอให้ทลายลงอย่างง่ายดาย เขาเป็นคนบุคลิกดี มีสง่า เชื่อมั่นในตัวเองแต่ไม่ล้นขอบ มีความอ่อนโยนในดวงตา และความสุภาพในกิริยาท่าทาง หากแต่คล่องแคล่วและฉลาดเฉลียวสมเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่บิดาและคุณตาของเธอมอบความไว้วางใจให้อย่างเต็มร้อย
ความอบอุ่นในดวงตาคมซึ้งและท่าทางที่คอยจับสังเกตและเฝ้าดูแลเธอ เป็นความคุ้นเคยและความอ่อนหวานที่ขาดหายไปนานจากชีวิตที่โดดเดี่ยวและอ้างว้าง ซึ่งอนาสเตเซียได้สร้างให้กับตัวเองมานานกว่าสิบสองปี
กฤชชวนคุยด้วยเรื่องทั่วไปเขารู้ว่าอนาสเตเซียได้ก่อตั้งและอุปถัมภ์สถานสงเคราะห์แม่และเด็กที่ถูกทารุณทำร้ายแห่งหนึ่งในเอเธนส์ และตัวเธอเองก็เข้าไปทำงานในสถานสงเคราะห์นั้นอยู่เป็นประจำ จึงเลือกชวนคุยในเรื่องเกี่ยวกับงานของเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอสนใจและสบายใจที่จะคุย
อนาสเตเซียเล่าให้เขาฟังถึงการเลือกสถานที่ก่อตั้ง บุคลากร และการประชาสัมพันธ์มูลนิธิ รวมถึงงานที่ทำเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวและเด็กที่น่าสงสารซึ่งต้องเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว
"ครั้งแรกที่เริ่มต้น เพราะฉันพบเห็นผู้หญิงที่ต้องเร่ร่อนขอทานหรือหางานทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามถนนบนเกาะโรดส์ พวกเธอสะพายลูกเล็กบ้างก็มีลูกที่ยังไม่โตเท่าไหร่เดินตามอยู่ข้าง ๆ แล้วฉันก็เห็นภาพแบบเดียวกันตามตรอกซอกซอยในแหล่งเสื่อมโทรมของเอเธนส์" หญิงสาวเล่าให้เขาฟังเรื่อย ๆ
"ยังมีผู้หญิงที่ตกระกำลำบาก จากการขาดความรู้ที่จะประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างเพียงพออยู่ในสังคมเราอีกมากเหลือเกินค่ะ คริส ผู้หญิงพวกนี้ต้องพึ่งพาสามี ถ้าสามีเลี้ยงดีก็โชคดีไป แต่มีไม่น้อยที่ถูกสามีทุบตี จะเนื่องจากความเครียดจากงานหรือสภาพเศรษฐกิจที่คนเป็นสามีเผชิญก็ตามแต่ มันก็เป็นภาพชีวิตที่น่าเศร้าเหลือเกินในสังคมมนุษย์เรา เด็ก ๆ ต้องทนเห็นภาพความรุนแรงภายในบ้าน และบางครั้งความรุนแรงพวกนั้นก็เกิดขึ้นกับตัวเด็ก ๆ เองด้วย"
"คุณเลยตัดสินใจก่อตั้งมูลนิธิขึ้นเพื่อช่วยเหลือพวกเขา"
กฤชต่อให้ เขารู้สึกมีความสุขกับการเฝ้ามองสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหวและจริงจังดูมีชีวิตชีวา ซึ่งเกิดจากการได้พูดถึงงานที่เธอทำเพื่อคนที่ขาดโอกาสทางสังคม อารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้ายามนั้นทำให้อนาสเตเซียกลายเป็นผู้หญิงมีเลือดเนื้อธรรมดา ไม่ใช่รูปปั้นหินอ่อนหรือภูเขาน้ำแข็งอย่างที่ใคร ๆ ต่างแอบค่อนขอดลับหลังเธอ
"ค่ะ" หญิงสาวรับ "ฉันเริ่มจากหาเงินสนับสนุนเบื้องต้นก่อน ก็ขอจากคุณตาแล้วก็คุณพ่อนั่นล่ะค่ะ ตัวฉันเองได้เงินในส่วนมรดกของคุณแม่มา ก็เอามาลงเป็นเงินหมุนเวียน"
"ใช่จำได้ว่าเคยมาขอเงินผมด้วย" กฤชพูดขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม
อนาสเตเซียยิ้มเขิน เมื่อนึกถึงว่าเขาอุตส่าห์จำได้ ปีนั้นจูเลียนอายุสองขวบ เธอพาเด็กชายไปเยี่ยมเขากับคุณตาที่บ้าน และพูดเรื่องเงินสนับสนุนโครงการช่วยเหลือของเธอ กฤชให้เงินบริจาคมาห้าหมื่นยูโร ขณะที่คุณตาของเธอเขียนเช็คให้มาหนึ่งแสนยูโร
"มีคนในศูนย์ช่วยเหลือนี่อยู่กี่คนครับ" กฤชถาม
"ตอนแรกเรามีเคสอยู่ประมาณสิบกว่าเคส ต่อมาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเรามีการประชาสัมพันธ์เรื่องโครงการช่วยเหลือออกไปทั่วเอเธนส์รวมถึงเกาะที่ยังมีคนยากจนอยู่มากนอกเขตคลิคลาเดสนี่ เราก็มีเคสเพิ่มขึ้นมากร่วมแปดสิบเคสแล้วค่ะตอนนี้"
"แล้วทุกเคสของคุณพักอยู่ที่ศูนย์หมดเลยหรือ"
"ไม่หรอกค่ะ เรามีการหมุนเวียน เริ่มต้นเราให้คำปรึกษากับผู้หญิงที่มีปัญหา ต่อมาถ้าดูว่าไม่ไหวแน่ ก็จะช่วยเหลือออกจากครอบครัว และปรับสภาพจิตที่ศูนย์สุขภาพจิต เมื่อจิตใจฟื้นฟูดีแล้วก็จะส่งต่อไปยังศูนย์ฝึกอบรมงานอาชีพ ให้พวกเขาได้พัฒนาฝีมือ และค้นพบสิ่งที่ถนัดเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว" อนาสเตเซียเล่าอย่างมีความสุข
"เราไม่ได้ช่วยฝึกอาชีพอย่างเดียว เรายังช่วยหาตลาดรองรับงานของพวกเขาด้วย ใครถนัดงานด้านสำนักงาน เราก็มีหน่วยจัดหางาน ช่วยหางานตามสำนักงานต่าง ๆ ให้ หลายคนตอนนี้เป็นพนักงานธุรการ เลขานุการ พนักงานขายตั๋ว แม่บ้านและพนักงานเสริฟในโรงแรม เราทำให้ผู้หญิงพวกนี้ยืนอยู่ได้ ไม่เพียงเท่านั้นเรายังส่งเด็ก ๆ กลับเข้าโรงเรียน และตั้งทุนการศึกษาสำหรับเด็กที่เรียนดีอีกด้วย"
"ดูคุณมีความสุขกับงานที่ทำมากเลยนะ อัณญ่า" ชายหนุ่มกล่าวขึ้น รู้สึกพอใจที่สามารถทำให้อนาสเตเซียที่กลายเป็นคนเงียบขรึมและเก็บตัว เปิดปากคุยอะไรได้ยาวถึงขนาดนี้
หญิงสาวนิ่งคิดด้วยสายตาที่แสดงให้เห็นถึงความสุขใจที่ไม่ค่อยได้พบบ่อยนักในดวงตาคู่นั้น
"ค่ะ งานนี้ทำให้ฉันรู้สึกตัวเองมีคุณค่าขึ้น น่าแปลกนะคะคริส ในขณะที่ฉันพยายามช่วยเหลือผู้คนที่ด้อยโอกาสและเดือดร้อนพวกนั้น ฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกช่วย" เธอยิ้มก่อนจะอธิบายต่อ
"พวกเขาช่วยให้ฉันมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และทุกครั้งที่เราสามารถทำให้ใครสักคนลุกขึ้นยืนและเดินต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งสุขทั้งภาคภูมิใจอย่างอธิบายไม่ถูกเชียวค่ะ"
อนาสเตเซียเล่าด้วยรอยยิ้มและดวงตาฝัน ทำให้เธอดูราวกับอนาสเตเซียเด็กสาวช่างฝันเมื่อสิบสองปีก่อน หญิงสาวสบสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักและชื่นชมในตัวเธอของกฤชแล้วก็รู้สึกเขินจนหน้าแดง
ทั้งคู่จิบไวน์ขาวชาร์ดอนเน่ย์รสดี แม้จะไม่เก่าปีนักแต่รสชาติใช้ได้ทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อแช่มาจนเย็นเฉียบ และจิบร่วมกับอาหารมื้อกลางวันที่แสนอร่อย ประกอบกับการพูดคุยในเรื่องต่าง ๆ ที่ทั้งคู่ทำตลอดระยะเวลาสิบสองปีที่ห่างเหินกันไป ช่วยสร้างความเพลิดเพลินจนเวลาล่วงเข้าไปกว่าบ่ายสามโมงครึ่ง
อนาสเตเซียไม่รู้ตัวว่าเธอเผลอยิ้มและหัวเราะบ่อยแค่ไหนในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนั้น รอยยิ้มของเธออ่อนหวาน น้ำเสียงก็ใสน่าฟังดุจระฆังเงิน ดวงตาสีฟ้าดุจน้ำทะเลยามเช้าเปล่งประกายระยับด้วยความสุข แสงแดดยามบ่ายทอทับเรือนผมดกหนาสีบลอนด์ทองอ่อน ๆ จนสะท้อนประกายแวววาวดุจเส้นไหมทองคำ ใบหน้าจิ้มลิ้มสวยหวานปานเทพธิดา งดงามจนกฤชเผลอเฝ้ามองอย่างไม่อาจถอนสายตาได้
เธอกลับมาเป็นอนาสเตเซียผู้มั่นใจและร่าเริง คุยสนุกอีกครั้ง ราวกับรูปปั้นหินอ่อนได้รับสัมผัสทิพย์จากทวยเทพจนกลับฟื้นชีวิตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งามสง่า อ่อนหวาน น่ารัก น่าปรารถนา มีเลือดเนื้อและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง กฤชเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงยามที่เธอเผลอถอดหน้ากาก และเกราะแห่งความเงียบขรึมเฉยชาออกไป และซึมซาบแทบทุกอณูในตัวเธอผ่านทางสายตาและโสตสัมผัส
หลังอาหารกฤชชวนเดินเล่นต่อลงไปจากจัตุรัสแห่งนั้นเลยลงไปจนถึงท่าเรือด้านล่าง นกทะเลสีขาวบินว่อนอยู่ที่ท่าเรือ แสงแดดสะท้อนขึ้นมาจากทะเลทอประกายระยับราวกับเกล็ดเพชร
กฤชมองไปที่หัวมุมถนน เห็นรถบัสที่บริการรับส่งผู้โดยสารระหว่างตัวเมืองเออเมาโปลีฝั่งวรอนทาโด้กับอาโน ซีโรส หรืออาโน ซิราจอดรอผู้โดยสารอยู่พอดี จึงเอ่ยชวนขึ้นอีกครั้ง
"รถบัสมาโน่นแล้วกำลังจะออกพอดีเลย" ชายหนุ่มพูดพร้อมกับหันไปมองดูรถบัสคันนั้นที่เขียนป้ายว่าไปอาโน ซิร่า "ไปเดินสำรวจอาโน ซีโรสกันหน่อยไหมอัณญ่า"
อนาสเตเซียลังเล หากแต่วันนี้เธอเพลิดเพลินและมีความสุขเกินกว่าจะกล้าขอให้มันจบลงเพียงเท่านี้ ตลอดเวลาสิบสองปีที่เธอทำโทษและปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่เรียกว่าความสุขและความรัก อย่างน้อยในเวลานี้ขอให้เธอได้มีวันนี้ กับชายผู้ครอบครองหัวใจเธอมาตลอดนับแต่วัยเด็ก ขอให้เธอมีเวลาที่ไม่ต้องคิดถึงอะไร ไม่ต้องเศร้าเสียใจ ไม่ต้องรู้สึกผิด และไม่ต้องรู้สึกเกลียดชังหรือประณามตัวเองอย่างที่เป็นมาตลอดนับจากการตายของอแนสซ่า
ขอเพียงวันนี้เท่านั้น
กฤชมองสำรวจอารมณ์อันหลากหลายบนใบหน้าของอนาสเตเซีย จากความลังเลไปจนถึงความสับสนและจบลงที่ความยินยอมพร้อมใจ หัวใจของเขารู้สึกปิติกับการตอบรับแบบเงียบ ๆ ของเธอ ราวกับมีผีเสื้อนับร้อยนับพันบินว่อนอัดแน่นอยู่ภายในใจ และส่งให้เขามีความสุขจนตัวเบาหวิวราวกับจะลอยละล่องขึ้นบนท้องฟ้า
เขาถือโอกาสคว้ามือเธอจูงให้วิ่งตามไปขึ้นรถบัสซึ่งจอดคอยอยู่ เขาจ่ายค่าโดยสารและเลือกที่นั่งคู่กันทางด้านหน้าของรถ ประมาณห้านาที คนขับก็ขึ้นมาขับรถบัสคันนั้นมุ่งหน้าสู่อาโน ซีโรส
เพียงไม่ถึงห้านาทีรถบัสคันนั้นก็มาจอดที่อาโน ซีโรส ซึ่งเป็นเขตเมืองแบบยุโรปยุคกลาง ออกแบบตามสถาปัตยกรรมแบบเวนิซ และเป็นถิ่นอาศัยของชาวคริสต์นิกายโรมัน คาธอลิค
สองหนุ่มสาวเดินลงจากรถและเดินสำรวจจากถนนที่เลียบทะเลผ่านคาแมร่าซึ่งเป็นทางเดินเก่าแก่สมัยโบราณเชื่อมต่อจากถนนภายนอกเข้าสู่ถนนภายในอาโน ซีโรส หรือเรียกว่าถนนปิอัตซ่า
ภายในอาโน ซีโรสถูกสร้างขึ้นราวกับเขาวงกตด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เต็มไปด้วยโค้งทางเดิน ภายในถนนแบบขั้นบันไดในตรอกเล็กสีขาวสะอาด เชื่อมต่อกันระหว่างตรอกเล็กตรอกน้อยที่เรียงรายด้วยบ้านรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตัดกับสีครีม
เมืองนี้เป็นเมืองที่ลาดชันด้วยถูกปลูกสร้างอยู่ตามแนวลาดเอียงของยอดเขาคู่ทางตอนเหนือ สองหนุ่มสาวเดินชมบ้านเรือนเล็ก ๆ เหล่านั้นแล้วก็รู้สึกประหลาดใจในความสามารถของสถาปนิกที่ก่อสร้างเมืองนี้ เนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่กะทัดรัดได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้พื้นที่แม้จะจำกัดและแคบ แต่กลับไม่รู้สึกอึดอัด
ตรอกเล็กตรอกน้อยเหล่านี้เล็กเกินกว่ารถจะเข้าได้ มีเพียงลา คนเดินที่สามารถสัญจรผ่านได้สะดวก
กฤชเดินนำอนาสเตเซียไปเรื่อย ๆ ชมร้านรวงต่าง ๆ และบ้านเรือนที่บางหลังผสมผสานศิลปะแบบไบแซนไทน์เข้ากับแบบเวนิซได้อย่างลงตัวน่าชม เขาชวนเธอคุยเรื่องทั่วไปและอธิบายประวัติของซีโรสให้เธอฟัง หญิงสาวเดินมานานจนเริ่มเมื่อย จึงมองหายานพาหนะ
"ที่นี่ไม่มีอะไรให้นั่งได้เลยนะคะ" อนาสเตเซียบ่นขึ้นมา
กฤชหันมองรอบตัวแต่ไม่เจออะไรที่จะใช้เป็นยานพาหนะได้
เขาก้มลงมองรองเท้าคัทชูแบบพื้นราบที่ไร้ส้นของเธอแล้วก็แปลกใจ เขาคงพาเธอเดินเยอะไปจริง ๆ เพราะไม่อาจโทษว่าเธอเมื่อยเนื่องจากสวมรองเท้าสูงได้
อนาสเตเซียเป็นคนไม่ชอบสวมรองเท้าส้นสูงหรือส้นตึก ร่างสูงระหงและช่วงขาทเรียวยาวรับกับบั้นท้ายกลมกลึงของเธอ ไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวช่วย
"เมื่อยหรืออัณญ่า"
"ก็เมื่อยเหมือนกันค่ะ" หญิงสาวตอบ
"เดี๋ยวเราไปนั่งพักที่ร้านกาแฟแล้วกัน แล้วค่อยเดินกลับถนนใหญ่หารถนั่ง" กฤชแนะ
ทั้งคู่เดินเลี้ยวมุมตึกอีกมุมออกมาตั้งใจจะมองหาร้านกาแฟ แต่กลับพบเจ้าลาสีน้ำตาลช็อคโกแล็ตตัวหนึ่งถูกผูกยืนอยู่หน้าร้านขายขนมหวาน
สองหนุ่มสาวมองหน้ากันคล้ายจะถามกันว่า "หรือจะขี่เจ้านี่ดี"
แล้วภาพของเจ้าลาโง่จากเรื่องเล่าของผู้หมวดไอวาน อลองโซ่ที่แอบได้ยินกันในสำนักงานกฎหมายของสเตฟานอส ลูคาสก็ผ่านเข้ามาในสมอง สองหนุ่มสาวหันมองหน้ากัน นึกภาพผู้หมวดหน้าตาเถรตรงร่างใหญ่ผู้นั้นขี่เจ้าลาตัวน้อย และบังคับให้มันเดิน แต่มันดื้อไม่ยอมเดิน หนำซ้ำยังพาเขาเดินถอยหลังลงจากเขาซึ่งเขาตั้งใจที่จะเดินขึ้นไปอีกด้วย ตาสบตาแล้วก็นึกขันจนหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างกลั้นไม่อยู่
เจ้าลาน้อยตัวนั้นยืนอยู่หน้าร้านขนมอย่างไม่สนใจว่าใครจะทำอะไร ช่างคล้ายกับลาโง่ตัวนั้นบนเกาะปาโรสที่ผู้หมวดอลองโซ่พร่ำบ่นถึง แม้ผู้หมวดจะไม่ได้บ่นให้พวกเขาฟัง แต่เสียงที่ไม่ค่อยเบาของไอวาน อลองโซ่ก็ทำให้เรื่องที่เล่าไม่เป็นความลับ และทั้งคู่ต่างก็นึกขบขันที่อลองโซ่เอาแต่บ่นถึงลาโง่ตัวนั้น โดยที่สารวัตรลาซารอสไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจฟังแต่อย่างใด
การหัวเราะช่วยลดความตึงเครียดทางจิตใจของทั้งคู่ลงได้มากทีเดียว เหมือนคืนวันเก่า ๆ ของสองหนุ่มสาวได้หวนกลับคืนมา ราวกับทั้งคู่ได้หวนกลับไปสู่อดีตที่สะอาด บริสุทธิ์ และมีความสุข ของวัยเด็ก
อนาสเตเซียซาหัวเราะแล้วและหยุดหันมามองกฤช ชายหนุ่มซาหัวเราะแล้วเช่นกันและกำลังแอบมองอนาสเตเซียอยู่ ตาสบตาแรงดึงดูดบางอย่างระหว่างคนทั้งคู่เหมือนจะหวนคืนมาและสะกดดวงตาสองคู่ไว้ไม่ให้ถอนออกจากกันได้ หญิงสาวรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่แก้มซึ่งแดงเรื่อของเธออย่างปิดไม่มิด เธอรวบรวมสติพยายามถอนสายตาออกมาจากดวงตาคมซึ้งที่มีอำนาจดึงดูดเธออย่างน่ากลัวของกฤช
"จะถึงเส้นทางที่เราเดินเข้ามาแล้วค่ะ" อนาสเตเซียกล่าวทำลายบรรยากาศล่อแหลม
กฤชถอนสายตาจากใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวอย่างยากเย็น
"ครับ ออกจากทางเดินโบราณนั่นก็ถึงถนนใหญ่แล้ว น่าจะมีร้านให้เช่ารถอยู่"
อนาสเตเซียรีบเดินนำเขาออกจากตรอกนั้นมาด้วยไม่ไว้ใจตัวเองพอ ๆ กับที่ไม่ไว้ใจเขา
ข้างหน้าตรงริมถนนใหญ่เลียบชายฝั่งทะเล ทั้งคู่พบร้านให้เช่ารถมอเตอร์ไซด์หลายขนาดและหลายสี
อะไรบางอย่างดลใจให้อนาสเตเซียกล่าวชวนขึ้นมา
"เช่ามอเตอร์ไซด์ไปขี่เล่นชมเกาะกันไหมคะ คริส"
หญิงสาวยังไม่อยากให้วันอันแสนสุขนี้จบลง เธออยากยืดเวลาแห่งความสุขนี้ออกไปอีกนิด
กฤชยิ้มและพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เขาเดินไปเลือกได้มอเตอร์ไซด์สีแดงสดที่ดูยังใหม่และสภาพเครื่องยังดีอยู่คันหนึ่งก็หันมามองอนาสเตเซียเป็นเชิงถามความเห็น
เมื่อเห็นอนาสเตเซียพยักหน้าตกลง กฤชก็เดินเข้าไปติดต่อขอเช่า
"อยากไปไหนล่ะ อัณญ่า" เขาถามขึ้น
"ที่ไหนก็ได้ค่ะ อยากชมวิวเล่นเท่านั้นเอง"
"ได้สิ มีอยู่ที่นึงซึ่งผมมักไปนั่งเล่นทุกครั้งที่มาซีโรส"
"ไกลไหมคะ" อนาสเตเซียถาม แม้ใจจะอยากโถมเข้าใส่ความสุขที่อยู่ตรงหน้า แต่เธอก็ไม่อาจทำได้อย่างอิสระ อย่างไรเสียเธอก็คือคนที่มีครอบครัวแล้ว
"ไม่หรอกครับ ขี่รถนี่ไปไม่ถึงสามสิบนาทีด้วยซ้ำ ไปทางตะวันตกของเกาะน่ะ" กฤชตอบ
ชายหนุ่มกำลังคิดถึงคินี่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ด้านในอ่าวแคบ ลึกเข้ามาในเกาะ มีรูปทรงเหมือนเกือกม้า คินี่มีหาดทรายสีทองอยู่สองหาดและเป็นสถานที่คนนิยมไปชมพระอาทิตย์อัสดงและดื่มเหล้าอูโซ่ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันอย่างมากในกรีซ
กฤชเคยมาที่หมู่บ้านนี้หลายครั้งเมื่อคราวที่เขาเคยพยายามมาเยี่ยมอนาสเตเซีย ณ สถานบำบัดจิตซึ่งอยู่เลยคินี่ไปไม่มากนักเมื่อสิบสองปีก่อน
ทุกครั้งที่อนาสเตเซียปฏิเสธไม่ยอมพบ เขาได้แต่มานั่งมองพระอาทิตย์ตกเหนือชายหาดที่หมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้ เฝ้าคิดถึงช่วงเวลาที่เขากับเธอมีแต่ความสุข ปราศจากทุกข์และมณฑิลใด ๆ ในหัวใจ
กฤชขึ้นขี่รถมอเตอร์ไซด์คันนั้น อนาสเตเซียลังเลอยู่ครู่ก่อนจะตัดสินใจขึ้นซ้อนท้าย เธอรู้สึกราวกับตัวเองกำลังหนีตามกฤชไปอย่างนั้น
'หากเป็นจริงตามนั้นได้ก็ดีสิ'
หญิงสาวตกใจกับความคิดตัวเอง 'เธอแต่งงานมีครอบครัวแล้วนะอัณญ่า' อนาสเตเซียแอบเตือนตัวเองในใจ
ชายหนุ่มขี่รถพาอนาสเตเซียออกนอกเมืองเออเมาโปลีที่อยู่ฝั่งตะวันออก ตัดข้ามเกาะไปทางฝั่งตะวันตกสู่คินี่
มอเตอร์ไซด์คันใหญ่นั้นแล่นได้เรียบพอใช้ผ่านถนนที่ตัดผ่านภูเขา สองหนุ่มสาวเพลิดเพลินกับสายลมพัดแรง กลางแดดซึ่งยอแสงลงมากแล้วในเวลาหกโมงเย็นกลางฤดูร้อน ที่แม้จะยังสว่างแต่ก็ไร้แดดจ้า ระหว่างทางผ่านคอนแวนต์ของกรีกออร์โธด็อกซ์ ชื่ออาเจีย วาร์ฟาร่า ซึ่งมีโดมและหลังคาโบสถ์สีแดง
ครั้งหนึ่งคอนแวนต์นี้เคยเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หากแต่แม่ชีในคอนแวนต์ได้ช่วยกันพัฒนาและเปลี่ยนเป็นโรงเรียนสอนการทอผ้าและถักไหมพรม รวมถึงผลิตภัณฑ์สิ่งทอต่าง ๆ จนปัจจุบันกลายเป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่สำคัญแห่งหนึ่งของเกาะซีโรส
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทั้งคู่ก็มาถึงคินี่ หมู่บ้านชาวประมงซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาทางฝั่งตะวันตกของเกาะ กฤชขี่มอเตอร์ไซด์อย่างชำนาญไปตามถนนสายเล็กในหมู่บ้านชาวประมงซึ่งเต็มไปด้วยบ้านทรงกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวนั้นออกสู่ถนนหน้าหาดซึ่งแบ่งออกเป็นสองหาดตามแนวอ่าวแคบลึกที่เว้าเข้ามาในตัวเกาะ
เขาเลือกได้ร้านเหล้าของชาวประมงร้านหนึ่งทางด้านใต้ของอ่าว มีบรรยากาศเป็นแบบท้องถิ่นแต่ดูสะอาดตา คนไม่พลุกพล่าน และวิวสวย
ชายหนุ่มจอดมอเตอร์ไซด์ไว้ข้างร้านแล้วพาอนาสเตเซียเดินเข้าไปในร้านเหล้า เขาสั่งอูโซ่ให้กับเธอและตัวเองคนละแก้ว แล้วเดินออกมานั่งที่เก้าอี้นอกร้านชมพระอาทิตย์ตก
ทั้งคู่นั่งจิบอูโซ่มองวิวทะเลของอ่าวแคบนั้นอย่างเงียบ ๆ ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไร มีแต่เพียงเสียงลมและคลื่นในทะเล เสียงผู้คนที่เดินผ่านไปมาทำกิจวัตรประจำวันนาน ๆ ครั้ง เสียงนักท่องเที่ยวที่มีอยู่ไม่มาก และเสียงนกทะเลที่เป็นสักขีพยานความสุขของอดีตคู่รักวัยเยาว์คู่นี้
เสียงเพลง 'Somewhere Over The Rainbow' ที่กลับมาขับร้องใหม่ล่าสุดโดยเจสัน คาสโทร ผู้ติดหนึ่งในสี่คนสุดท้ายในการแข่งขันร้องเพลงอเมริกันไอดอลปี 2008 แว่วออกมาจากเครื่องไอพ็อตของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันผู้นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านนอกไม่ไกลจากคนทั้งคู่สักเท่าไหร่
เสียงเพลงและท่วงทำนองที่อ่อนหวาน ซาบซึ้งเข้ากับบรรยากาศของเสียงคลื่นลมบนเกาะเป็นพิเศษช่วยขับกล่อมช่วงเวลาที่เงียบสงบของคู่รักได้อย่างโรแมนติค
' ณ ที่แห่งหนึ่งเหนือสายรุ้งสูงขึ้นไปบนฟากฟ้าไกล*
มีดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งฉันเคยได้ยิน..จากเพลงกล่อมเด็กขับขาน
ที่แห่งหนึ่งเหนือสายรุ้ง…ขึ้นไปท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใส
ที่ซึ่งความฝันของเธอจะกลายเป็นจริง… มิมีสิ่งใดหาญทัดทาน
สักวันหนึ่งฉันจะอธิษฐานขอพรต่อดวงดาว
และตื่นขึ้นมาในคราวที่เมฆหมอกสลายหายห่างไป
ที่ซึ่งอุปสรรคต่างๆ มลายหายดุจลูกกวาดละลายเลือน
ไกลออกไปเหนือยอดปล่องหลังคาเรือน
ที่นั้น ..คือที่ที่เธอจะพบกับฉัน
ณ ที่แห่งหนึ่งเหนือสายรุ้ง… นกสีฟ้าจะโบยบิน
โผบินเหนือสายรุ้ง
แล้วเป็นเพราะเหตุใด .. ไยฉันไม่อาจบิน
ถ้านกสีฟ้าตัวน้อยเริงร่าโบยบินเหนือสายรุ้งได้
แล้วไฉน ..ไยฉันจึงไม่อาจโผบินได้บ้าง'
อนาสเตเซียนั่งแปลเนื้อเพลงในใจแล้วก็ใจหายกับความหมายแฝงที่แสนเศร้าของเพลง ท่วงทำนองอ่อนหวานกับเนื้อเพลงที่มีนัยถึงความหวัง แต่ตัวเธอเองกลับไปตีความถึงความตาย สำหรับเธอปัญหาทั้งหมดคงมลายหายไปในยามที่วิญญาณของเธอล่องลอยอยู่สรวงสวรรค์ ที่ซึ่งท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสไร้เมฆหมอก และอยู่บนดินแดนเหนือสายรุ้ง
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพลงที่ท่วงทำนองอ่อนหวาน เนื้อหาชวนฝัน แต่สำหรับเธอแล้วกลับฟังดูเศร้าสร้อยได้ถึงเพียงนี้ หรือความตายจะเป็นทางออกเดียวที่เธอจะสามารถพบความสุขแบบที่เคยมีในวัยเด็ก และสามารถเริงร่าดั่งนกสีฟ้าในเพลง ได้โบยบินหวนกลับไปยังคืนวันที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาและไร้ทรงจำอันโหดร้ายของเธอ
อนาสเตเซียลอบถอนใจออกมาเบา ๆ พลางเอนกายลงพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาเหม่อลอยไปเบื้องหน้ายังท้องทะเลซึ่งพระอาทิตย์เตรียมจะลาขอบฟ้า เธอหักห้ามใจไม่ให้เหลือบมองไปทางกฤช แม้จะรู้สึกว่าเขาลอบมองดูเธออยู่บ่อย ๆ เกือบตลอดเวลา เธอกลัวที่จะประสานสายตากับเขาตรง ๆ กลัวความอ่อนแอของใจตัวเอง และกลัวดวงตาคมที่มีประกายกล้า และพลังดึงดูดเธออย่างน่ากลัวของชายหนุ่ม