บทที่ 1 กลับเมืองหลวง
สองเดือนหลังจากนั้น รถม้าคันหนึ่งกำลังฝ่าเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างหนักลอยลงมาบนแผ่นดินกว้างใหญ่เพื่อมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง
รถม้าคันนี้เพิ่งจะปรากฏตรงทางเข้าเมืองก็ดึงดูดสายตาของผู้คน สาเหตุไม่ใช่เป็นเพราะรถม้าคันนี้มีนกอินทรีทองแกะสลักด้วยหยก หรูหรางามวิจิตร แต่เป็นเพราะบรรทุกสินค้ารูปทรงประหลาดที่ระยิบระยับดึงดูดสายตาไว้เต็มคัน สินค้านั้นไม่ได้ห่อไว้อย่างพิถีพิถัน แต่ใช้เชือกป่านพันไว้รอบๆ วางกองไว้อย่างยุ่งเหยิงบนท้ายรถ กองหนึ่งที่ซ้อนกันสูงๆ ทำให้ขอบท้ายของรถม้าแทบจะโดนกดจนงอ
รถม้าแล่นผ่านไป หลงเหลือไว้ซึ่งร่องรอยของรอยล้อรถหนักๆ สายทางหนึ่ง
หน้ารถมีหนุ่มน้อยที่แต่งกายเป็นเด็กรับใช้นั่งอยู่อายุน้อยที่แต่งหน้าแต่งตานั่งอยู่ อายุประมาณสิบสี่ถึงสิบห้น้าปี สวมเสื้อกันหนาวแบบมีซับในบุฝ้าย สวมใส่หมวกผ้าสักหลาด ใบหน้าถูกลมหิมะกัดจนแม้ผิวข้างในจะคล้ำก็ยังเห็นว่าเป็นสีแดง จนเกือบแทบจะดูรูปร่างหน้าตางไม่ออก แม้ถูกผู้คนชำเลืองมองมา ก็ไม่ปล่อยให้ถูกหัวเราะเยาะได้แสดงท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด เร่งรถม้าบนถนนมุ่งตรงไปยังจวนจงหย่งโหว
รถม้าแล่นมาถึงประตูทางเข้าโรงเตี๊ยมโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง เด็กรับใช้คนนั้นสูดลมหายใจ มองเข้าไปข้างใน แต่ยังไม่ได้หยุดรถ
ทันใดนั้นมีซาลาเปาไส้เนื้อกระเด็นออกมาจากข้างใน กลิ้งหลุนๆ เข้าไปใต้ท้องรถ สุนัขสีดำตัวหนึ่งวิ่งตามซาลาเปาไส้เนื้อออกมาโดยทันที และลอดเข้าไปใต้ท้องรถเช่นกัน
เพียงได้ยินเสียงสุนัขร้อง “เอ๋ง” ม้าที่ลากรถอยู่ด้านหน้าก็ทรงตัวไม่อยู่ลื่นไถลหมอบไปลงกับพื้นในทันที รถม้าส่งเสียงตึงตัง “ปัง” ทำให้รถตะแคงเอียงจนล้มพังลงไปมา เด็กรับใช้คนนั้นควบคุมไม่ทัน ยังไม่ทันได้ทำอะไร ท่ามกลางความสับสนอลหม่านก็ถูกสะบัดตกโยนลงมาจากรถม้า กลิ้งไปบนพื้นหิมะ
อุบัติเหตุเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา คนเดินเท้าบนถนนที่คอยจับจ้อง่ระมัดระวังรถม้าคันนี้มาโดยตลอดต่างสูดหายใจเฮือกอย่างอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงถอนหายใจ
การเคลื่อนไหวจากข้างนอกโรงเตี๊ยมจวนรบกวนถึงคนที่อยู่ข้างใน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกับเด็กหนุ่มต่างรีบร้อนวิ่งออกมาข้างนอก
“ไอหยาโอ้โฮ แย่แล้วล่ะ สุนัขของคุณชายรสองเจิงผู้สูงส่งถูกทับตายแล้ว!” เด็กหนุ่มเริ่มกล่าวอย่างหวาดผวา
“นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร รีบไปบอกคุณชายสองคุณชายรองเร็ว!” เถ้าแก่เดินออกมา มองเหตุการณ์ที่หน้าประตู สีหน้าเริ่มซีดขาว
“คุณชายสองคุณชายรองรักสุนัขตัวนี้มาก วันนี้มาตายหน้าร้านของพวกเรา อาจจะต้องประสบกับหายนะแล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างตัวเสียงสั่นอีกครั้ง
ต่อมา หน้าประตูทางเข้าก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาชุมนุมกัน ต่างคนต่างแย่งกันพูด เรื่องที่พูดล้วนเป็นเรื่องสุนัขของคุณชายสองคุณชายรองผู้สูงส่ง
เซี่ยฟางซูฮว๋าหวา นอนหงายอยู่รอบนพื้นอยู่ครึ่งวันก็ไม่มีใครเข้ามาถามหล่อนนางสักประโยค ภายในใจนึกโกรธเคืองยิ่ง ตรงนี้ยังมีคนมีชีวิตอยู่ทั้งคนนะ! ทำไมไม่มีใครเดินเข้ามาถามหล่อนนางสักคนว่าตายหรือไม่ตาย
ความรู้สึกของหมารู้สึกว่าเทศกาลตรุษจีนปีใหม่นี้หมายังล้ำค่ากว่าชีวิตคนเสียอีก!
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ไม่ได้กลับมาเมืองหลวงหลายปี หล่อนนางก็ไม่เคยชินกับอะไรอีกแล้ว คุณชายสองคุณชายรองผู้สูงส่งเป็นลูกผู้รากมากดีจากไหน ผู้คนถึงได้กลัวกันนัก
ถ้อยคำรายงานไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มีผู้ชายสองสามคนเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม
หนึ่งในนั้น คนที่เดินนำหน้าอายุประมาณสิบหกถึงสิบเจ็ดปี ด้านหลังตามมาด้วยผู้ชายอีกสองสามคนอายุไล่เลี่ยกันกับเขา ทุกคนสวมผ้าต่วนแพรปักดอกลายก้อนเมฆมงคล เมื่อเดินออกมาก็ทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกได้ถึงฐานะอันสูงส่ง แม้กระทั่งดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าก็ราวกับว่าสว่างขึ้นเล็กน้อย
เซี่ยฟางซูฮว๋าหวานอนหงายอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ หรี่ตามองดูคนที่เดินออกมา
“เป็นสุนัขของข้าที่ถูกรถคันนี้ทับตายจริงหรือ” คนที่นำหน้าคนนั้นเดินมาข้างๆ รถ บนใบหน้าปรากฏสีหน้าราวกับยากที่จะเชื่อลง
“เรียนคุณชายสองคุณชายรอง เป็นสุนัขของท่านจริงขอรับ” เถ้าแก่ฝืนก้าวไปข้างหน้า
“นี่เป็นรถม้าของตระกูลไหน” คนคนนั้นเลิกคิ้ว
เถ้าแก่ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงเพิ่งคิดว่าจะทำให้เจ้าของรถที่ก่อหายนะเดือดร้อน มองไปรอบๆ ชี้ไปยังพื้นหิมะไม่ไกลทันที “คนๆ คนนั้น เขาเป็นคนขับรถขอรับ”
“โอ้?” คนคนนั้นหรี่ตา สายตาหยุดอยู่บนร่างของเด็กรับใช้ที่แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวติงเพราะถูกโยนลงมาจากรถม้าที่อยู่ไกลออกไป เห็นเพียงแค่ใบหน้าและร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยหิมะจนเกือบจะกลายเป็นมนุษย์หิมะ สายตาของเขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะยกเท้าเดินไปยังที่ตรงนั้น
เถ้าแก่เดินตามมาด้านหลังอย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่ด้านหลังเขาทันที
“ไป พวกเราก็ไปดูเถอะว่าเป็นทาสรับใช้ของตระกูลไหนที่ใจกล้าทับสุนัขของพี่ฉินเจิงตาย” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นไม่กี่ประโยค คนที่เหลือก็พอกันคล้อยตาม ตามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ติดสอยห้อยตามเดินไปยังเด็กรับใช้คนนั้น
ที่แท้เป็น ฉินเจิง คุณชายสองคุณชายรองของจวนอิงชินอ๋องหวาง!
เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาเหยียดมุมปาก รอจนคนเดินมาถึงบริเวณใกล้ๆเคียง
ไม่นาน รองเท้าหุ้มข้อบู๊ตพื้นหนาที่ให้อารมณ์อันฮึกเหิมคู่หนึ่งก็หยุดลงใกล้ๆ ร่างของหล่อนนาง บู๊ตด้านข้างของรองเท้าเย็บด้วยขนขนเตียว*สีขาวปุยคุณภาพดี ตรงกลางด้านบนของรองเท้าบู๊ตหุ้มข้อฝังด้วยไข่มุกตะวันออกเม็ดหนึ่ง นอกจากใต้พื้นรองเท้าแล้ว บริเวณด้านข้างไม่มีเกล็ดหิมะเกาะอยู่แต่อย่างใดเกล็ดหิมะก็ไม่เหนียวติดกัน
เพียงแค่รองเท้าหุ้มข้อบู๊ตคู่เดียวก็สามารถมองออกได้ว่าคนๆ คนนี้ใช้ชีวิตแบบสุรุ่ยสุร่าฟุ้งเฟ้อย ร่ำรวยจนน่าโมโห
“ตายแล้วรึว?” ฉินเจิงมอง ทันใดนั้นเสียงก็เริ่มกระจายออกไปก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา
ท่านเจ้าสิตาย! พวกเจ้าท่านทั้งตระกูลสิตายแล้ว! เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาแทบอยากจะด่ากราดบรรพบุรุษหลายชั่วคนของเขา
“เรียนคุณชายสองคุณชายรอง มือของเด็กรับใช้คนนี้เพิ่งจะขยับเล็กน้อยเมื่อครู่ น่าจะยังไม่ตายขอรับ” เถ้าแก่มองออก
“ที่แท้ก็ยังไม่ตาย!” เสียงของฉินเจิงราวกับเสียดายเล็กน้อย
สีหน้าของเถ้าแก่เปลี่ยนไป ขาก็อ่อนแรงลง “คะ…คุณชายสองคุณชายรอง เช่นนี้ควรลงโทษเขาอย่างไรดีขอรับ”
“ในเมื่อไม่ตาย ก็ปลุกเขาเสีย ถามดูว่าเป็นทาสของตระกูลไหนถึงไม่แหกตาดูจนทำร้ายสุนัขของข้า ข้าจะไปหาเจ้าของบ้านของเขาเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย” ฉินเจิงตอบอย่างหน้าตาเฉย
เถ้าแก่พยักหน้าแต่ยังไม่ได้ก้าวเข้าไป ทันใดนั้นด้านหลังของฉินเจิงมีคนวิ่งออกมาข้างหน้า ยกเท้าเตะเซี่ยฟางซูฮว๋าหวา ท่าทางและน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก “นี่เฮ้ เจ้ายังไม่ตายก็พูดสักคำสิ เจ้าเป็นคนติดตามบ่าวรับใช้ของตระกูลไหน”
คนนั้นใช้เท้าเตะร่างพร้อมกันกับเซี่ยฟางซูฮว๋าหวาก็ค่อยๆ ขยับตัวตามการเตะของคนผู้นั้น ค่อยๆ ได้สติ ลืมตาขึ้นช้าๆ
“เอ๊ะ? เด็กรับใช้นี่คนนี้ดำสุดๆ แต่กลับมีดวงตาที่คู่สวยมากทีเดียว” คนผู้นั้นแปลกใจในทันที
ฉินเจิงได้ยินก็มองแวบหนึ่ง พูดเสียงอย่างเย็นๆ ว่า “เยี่ยนถิง เจ้าต้องชอบแน่ ไม่สู้ไม่ถามให้แน่ใจว่าเป็นทาสของตระกูลไหนแล้วค่อยกลับจวนไปหารือกันขอกลับจวนหรือ ก็ไม่ใช่แค่ดวงตาไม่ใช่รึคู่นั้นใช่ไหมล่ะ ชอบก็ควักมันวางไว้ในมือถือไว้เพื่อชมเล่น เจ้าอาศัยตำแหน่งของจวนหย่งคัางโหวของเจ้าแล้วก็คงไม่มีใครกล้าว่าพูดอะไรหรอก”
เยี่ยนถิงได้ยินก็ถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความตื่นตกใจในทันที สีหน้าถลึงตามองฉินเจิงด้วยสีหน้าความประหลาดใจ “ข้าไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจสักหน่อย เจ้าไม่ต้องปากเสียขนาดนี้ก็ได้ เจ้าก็รู้ดีว่าตอนนี้ในเมืองหลวงอยู่ยาก พวกที่มีความดีความชอบยิ่งอยู่ยาก จะมีสักกี่คนเล่าะที่รอเข้าไปพัวพันกับความผิดชอบของจวนหย่งคัางโหว ถ้าหากเป็นเพราะข้าชื่นชอบดวงตาของใครก็ไปควักมาเล่นแล้ว พวกผู้ตรวจการหัวรั้นพวกนั้นไม่รายงานความประพฤติข้าสิแปลก”
“ดังนั้นข้าถึงกำลังเตือนสติเจ้า ดวงตาคู่สวยที่เกิดมาจากร่างของทาสคนหนึ่งก็เป็นเรื่องเสียเวลาเช่นกัน” ฉินเจิงกล่าว
เยี่ยนถิงเดิมทีแค่อยากเห็นว่าคนรับใช้ของตระกูลไหนถึงกล้าทับสุนัขสุดที่รักของฉินเจิงตาย ตอนนี้ได้ยินเขาพูดก็หมดความสนใจในตัวเด็กรับใช้คนนั้นในทันที โบกมือหย็อยๆ “เจ้ารีบถามเถอะ โต๊ะอาหารของพวกเราเพิ่งจัด ยังไม่ได้กินเลยสักคำก็วิ่งออกมาแล้ว เจ้าถามเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปกินกันต่อ”
“กินต่อ?” ฉินเจิงยิ้มเยาะ “สุนัขข้าตายไป ตอนนี้ยังจะกินลงอีกหรือ”
เยี่ยนถิงหายใจลำบาก มองสีหน้าของเขาเย็นชาลงโดยฉับพลัน ก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกหลัว ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“เจ้าเป็นทาสของตระกูลไหนยังไม่รีบพูดอีก!” เถ้าแก่เกรงว่าตนเองจะซวยไปด้วย รีบซักถามเซี่ยฟางซูฮว๋าหวาทันที
เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ของจวนจงหย่งโหวขอรับ!”
“ทาสในจวนพี่จื่อกุยหรือ” เยี่ยนถิงตกใจ
“เจ้าเป็นบ่าวคนรับใช้ในจวนพี่จื่อกุยจริงหรือ? เช่นนนั้นี้เจ้ามาจากไหน?” คนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังร่างเยี่ยนถิงก้าวออกมาซักถาม
“ไม่ใช่ขอรับ ข้าน้อยมาจากกองทัพม่อเป่ย ด้วยความเคารพเจ้านายของบ้านข้าด้วยชีวิตจึงมอบข้าน้อยได้รับคำสั่งจากนายท่านให้มาส่งสินค้าสำหรับของขวัญเฉลิมฉลองวันตรุษปีใหม่จีนให้แก่จวนจงหย่งโหว” เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก อดกลั้นต่อความเจ็บปวดหยิบแผ่นป้ายคำสั่งจากอ้อมอกออกมาแผ่นหนึ่งยื่นให้กับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ดู
คนผู้นั้นรับแผ่นป้ายไปดู ยื่นให้ฉินเจิง กล่าวอย่างรู้สึกลำบากใจ “พี่ชายฝั่งมารดาฝ่ายหญิงของฮูหยินจงหย่งโหวคือนายพลแม่ทัพอู่เว่ยที่ป้องกันพรมแดนม่อเป่ย ในเมื่อเป็นคนติดตามของนายพลแม่ทัพอู่เว่ย นั่นก็นับว่าเป็นคนของจวนจงหย่งโหวแล้ว พวกเรามีความสัมพันธ์อันดีสนิทสนมกับพี่จื่อกุยเป็นอย่างดี เจ้าจะกล้าไปบอก้าคงไม่กระดากใจที่จะให้เขาชดใช้หมาตัวหนึ่งให้เจ้าถึงบ้านเลยหรือให้ข้าหรอกนะ?”
ผู้คนได้ยินดังนั้นก็มองไปที่เด็กรับใช้หน้าตาที่ไม่เป็นที่สนใจของคนอื่นธรรมดาผู้คนนี้ทันที คิดไม่ถึงว่าภูมิหลังของเด็กรับใช้คนนี้ยิ่งใหญ่นัก ทั้งหมดมองไปยังฉินเจิง
ฉินเจิงจ้องมองแผ่นป้ายคำสั่งไปชั่วขณะ และมองไปยังเซี่ยฟางซูฮว๋าหวาที่กำลังดิ้นรนเพื่อจะยืนขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาดำสั่นไหว ค่อยๆ กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นคนที่มอบสินค้าสำหรับของขวัญเฉลิมฉลองวันปีใหม่ตรุษจีนให้กับจวนพี่จื่อกุย ตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่อาจกลับไปจวนจงหย่งโหวเพียงลำพังแล้ว” เขาชะงักไป กล่าวกับผู้คนที่อยู่ด้านหลัง “พวกเราต่างก็ไม่ได้เจอกับพี่จื่อกุยหลายวันแล้ว ดังนั้นก็ถือโอกาสไปเยี่ยมจวนจงหย่งโหวสักครั้ง ช่วยพาเด็กรับใช้คนนี้กับสินค้าเฉลิมฉลองของขวัญตรุษจีนปีใหม่กลับไปส่งในที่จวน”
เมื่อกล่าวถ้อยคำออกไป ผู้คนก็คล้อยตามว่าดีในทันที