webnovel

ข้ากลายเป็นสาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม

องค์หญิงอวี้หลัน องค์หญิงน้อยผู้แสนอาภัพ แห่งแคว้นโหย่ว ในวัยเพียงแปดชันษา พระองค์ต้องเผชิญชะตากรรมที่แสนเศร้าและเจ็บปวด ทั้งการกลั่นแกล้ง ใส่ความให้ร้ายของเหล่าคนรอบกาย เพื่อหวังจะยึดครองตำแหน่งองค์หญิงสุดที่รักจากท่านอ๋องใหญ่บิดาของนาง ซึ่งเป็นถึงองค์ รัชทายาทของแคว้นโหยว ความโชคร้ายไม่จบสิ้น มีคนร้ายได้ลอบวางยาพิษลงในสระน้ำส่วนตัวขององค์หญิงน้อย ทำให้นางต้องจบชีวิตลงในชั่วพริบตาที่สูดดมกลิ่นหอมพิษ ซึ่งโชยขึ้นมากับไอน้ำ ก่อนที่จะสิ้นใจตายพระนางได้อธิษฐานว่า ถ้าหากได้เกิดใหม่ ตนก็ปรารถนาเกิดเป็นคนธรรมดา แม้จะไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ไม่มีชีวิตที่สบาย ไม่ร่ำรวยเงินทองอย่างที่เคยเป็น ก็ยินดีเช่นนั้น และแล้ว องค์หญิงน้อยก็ได้สิ้นพระทัยลงต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ตลอดช่วงชีวิตที่มีมา องค์หญิงน้อยพบว่าไม่เคยมีใครสักคนที่รักนางจริงแม้แต่คนเดียว แต่พระนางคิดผิด... สิบปีผ่านไป องค์หญิงผู้แสนอาภัพ ได้มีชีวิตใหม่ในนาม ฟ่งหลันหลั่น หญิงสาวชาวยุทธ์ทั่วไป แม้ฝีมือด้านวิทยายุทธ์จะไม่เก่งกาจมากนัก แต่นางนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและคุณธรรมหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ด้วยนิสัยรักความยุติธรรมมากเกินไป นางจึงมักเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่หลายครั้ง จนมีครั้งหนึ่ง ฟ่งหลันหลั่นได้เกิดพลาดพลั้งเสียทีให้กับศัตรูที่ตามมาแก้แค้น หนึ่งในคนพวกนั้นได้ใช้อาวุธลับ ซัดใส่นางเองจนนางถูกพิษชนิดหนึ่งเข้า และทำให้สูญเสียวรยุทธ์ไปชั่วคราว พอรู้สึกตัวอีกที ฟ่งหลันหลั่นก็ได้กลายมาเป็นสาวใช้คนใหม่ของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหย่ว แม่ทัพใหญ่ของจวนนี้คือ หลงอี้หลิง ผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงเลื่องลือเกรียงไกรด้านการรบ นามของเขานั้นเป็นที่โจษจันและเกรงกลัวของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก หลงอี้หลิง ได้ใช้พลังหยินในตัวของเขา ช่วยขับพิษในกายให้ฟ่ง-หลันหลั่น และได้เผลอเปิดจุดลมปราณที่เคยถูกสกัดไว้ให้นางด้วย ทำให้ความทรงจำที่เคยหายไปกลับคืนมา องค์หญิงอวี้หลันทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของตนได้ทั้งหมด ว่าตนไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นเพราะพระองค์พยายามลบความทรงจำที่เจ็บปวดเลวร้ายนั้นให้หายไป เมื่อองค์หญิงน้อยอวี้หลันจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ จึงอยากที่จะเอาคืนทุกคนที่เคยทำร้ายนาง แต่ด้วยต้องแลกความทรงจำให้กลับมา ด้วยการที่ต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปโดยถาวร ทำให้ต้องตกเป็นหน้าที่ของหลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่ผู้คลั่งรักต้องออกโรง ช่วยแก้แค้นแทนและทวงคืนความยุติธรรมให้กับสาวใช้ของตน เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไง หลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหยว จะช่วยฟ่งหลันหลั่นหรือองค์อวี้หลัน แก้แค้นและทวงความยุติธรรมได้หรือไม่ ต้องมาติดตามไปพร้อม ๆ กัน

Anastazia23_Boss · 歴史
レビュー数が足りません
91 Chs

ตอนที่ ๘๗ การไต่สวนพิจารณาคดีของหยวนจูวเย่ ๑.๒

ท้องพระโรง

  หลายวันต่อมา ฮ่องเต้ก็ทรงเปิดทำการไต่สวนคดีในความผิดของเยี่ยอ๋องและหยวนจูวเย่ขึ้นยังท้องพระโรง โดยมีขุนนางระดับสูงทั้งหลาย ต่างก็มาเข้าเฝ้าและร่วมเป็นพยานในการตัดสินคดีครั้งนี้ 

 รวมไปถึงหลงอี้หลิงโดยเขาได้รับพระราชาอนุญาตให้พาตัวฟ่งหลัน-หลั่นเข้ามาในวังหลวงด้วย ในฐานะเป็นผู้ติดตามและอีกหนึ่งฐานะที่สำคัญ คือนางเป็นโจทย์ในการยื่นฟ้องหนึ่งในสองคดีที่เกิดขึ้นในวันนี้นั่นเอง

 "เจ้ากรมยุติธรรมช่วยเบิกตัวหยวนจูวเย่ผู้นั้นและคนของเขาเข้ามาพร้อมกันได้เลย" ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชากับเจ้ากรมยุติธรรมให้ทำการเบิกตัวจำเลยคู่แรกเข้ามาเพื่อทำการไต่สวนและตัดสินคดีความ

 เจ้ากรมยุติธรรมเดินออกมาจากแถวของเหล่าขุนนางและมาหยุดยืนตรงกลางท้องพระโรง พร้อมกับกล่าวน้อมรับพระบัญชา

 "รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" 

 เมื่อกล่าวจบเขาก็หันขวับไปทางด้านหลัง ซึ่งเบื้องหน้าคือประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงถูกได้เปิดโล่งโจ้งเอาไว้

 เจ้ากรมยุติธรรมกล่าวเสียงดังก้องขึ้นทั่วท้องพระโรง เพื่อบอกให้ทหารมหาดเล็กทางด้านนอกได้ยินโดยทั่วกัน

 "เบิกตัวหยวนจูวเย่และผู้คุ้มครองของเขาเข้ามาได้"

 หลังจากนั้นก็มีเสียงของทหารมหาดเล็กขานรับต่อกันเป็นทอด ๆ ดังไกลออกไป

 "เบิกตัวหยวนจูวเย่และผู้คุ้มครองของเขาเข้ามาได้"

 เวลาผ่านไปราวครึ่งจิบน้ำชา หยวนจูวเย่และคนของเขาก็เดินตามหลังทหารองครักษ์เข้ามาในท้องพระโรง ทั้งสองนั่งคุกเข่าลงตรงกลางห้อง พร้อมกับกล่าวถวายบังคมฮ่องเต้ขึ้นพร้อมกัน

 "ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"

 ผู้เป็นลูกน้องอยู่ในท่าหมอบกราบ แต่หยวนจูวเย่เพียงแค่คุกเข่าเท่านั้น เขายังคงนั่งยืดแผ่นหลังตรง ใบหน้านิ่ง สีหน้าแววตาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ แสดงออกมา 

 ทหารองครักษ์เดินเข้าไปจับแขนของบุรุษรูปงามไขว้ไปทางด้านหลัง และกดแผ่นหลังและศีรษะของเขาให้หมอบกราบลงบนพื้น 

 นายทหารกระทำการอันหยาบกระด้างต่อหน้าทุกคนในนั้น เพื่อต้องการให้เขาแสดงความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้เฉกเช่นทุกคน

 แต่เจ้าตัวยังคงขัดขืนและสู้แรงของนายทหารผู้นั้นอย่างดื้อดึง

 ฮ่องเต้จึงทรงชูพระหัตถ์ขึ้นเพื่อปรามทหารองครักษ์ให้หยุดการกระทำนั้น 

 "ไม่เป็นไร ปล่อยเขาเถอะ"

 ทหารองครักษ์จึงได้วางมือและถอนตัวออกไปยืนคุมเชิงด้านช้างทันที 

 "พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"

 ตามจดหมายสั่งลาของเฉากงกงซึ่งได้เขียนและมอบไว้ให้ฮ่องเต้ เขาได้สารภาพผิดและบอกเล่าทั้งประวัติและเรื่องราวของหยวนจูวเย่ผู้นี้เอาไว้เรียบร้อยในเนื้อความนั้น

 และจากที่กรมยุติธรรมได้ตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ดังนั้นหยวนจูวเย่ผู้นี้ ก็มีบรรดาศักดิ์เป็นพระอนุชาต่างมารดาของฮ่องเต้นั่นเอง

 ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองไปยังหยวนจูวเย่ บุรุษรูปงามผู้ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางท้องพระโรง แม้ว่าเขาจะถูกสั่งคุมขังมาหลายวัน ตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าก็ต้องย่อมดูสกปรกเลอะเทอะเป็นธรรมดา แต่ทว่าไร้ซึ่งบาดแผล และเขายังดูมีราศีของเชื้อสายกษัตริย์อยู่บนตัว เพราะพระองค์ได้ทรงสั่งกำชับว่าห้ามผู้ใดลงโทษหรือทำร้ายเขาเป็นอันขาด

 ฟ่งหลันหลั่นทอดมองสายตาไปยังหยวนจูวเย่ด้วยความรู้สึกเห็นอก เห็นใจ เพราะตัวนางเองก็เคยสูญเสียบิดาอันเป็นที่รักและตาเฒ่าฟ่ง จากความทะเยอทะยานอยากได้อำนาจของคนเพียงกลุ่มเดียว

 แต่มันก็ไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของแม่ทัพหนุ่มได้ เขาเอื้อมแขนไปกุมมือสตรีน้อยและออกแรงบีบรัดอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ จนนางต้องเบนสายตา หันขวับกลับมามองหน้าเขาทันที

 ทั้งสองสบตาและจ้องหน้ากันราวสามวินาที

 'ท่านเป็นบ้าอะไรกัน ข้าเจ็บนะ! ปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้เลย'

 สตรีน้อยพยายามขยิบตาถี่ใส่เขาอยู่หลายครั้ง พลางคิดต่อว่าเขาในใจ ส่วนมือน้อยก็พยายามจะกระชากให้หลุดออกจากฝ่ามือหนาของอีกฝ่าย

 ทว่าแม่ทัพหนุ่มกลับขมึงตาสวนกลับใส่นาง ดวงตาคมกริบฉายแววดุดันและวางอำนาจอยู่ในที ส่วนมือหนาก็ยังคงบีบรัดมือน้อยหนักแรงขึ้น

 'เจ้าเป็นคนของข้า จงสงวนท่าทีและความรู้สึกของตนที่มีต่อบุรุษผู้นั้นเอาไว้ด้วย ไม่เช่นนั้นกลับถึงเรือน พวกเราได้เห็นดีกันแน่'

 ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังดึงมือกันไปมาอยู่นั้น สายพระเนตรของฮ่องเต้ก็ทรงเหลือบไปเห็นอากัปกิริยาของพวกเขาเข้าพอดี

 'ดูเจ้าบ้านั่นทำเข้า! เขาคงจะหึงฟ่งหลันหลั่นกับหยวนจูวเย่ จนไม่เห็นหัวของเราแล้วสินะ เห็นทีเราคงจะต้องรีบทำการพิจารณาไต่สวนคดีให้เสร็จโดยเร็วเสียแล้ว'

 พอฮ่องเต้ทรงคิดในใจได้เช่นนั้น พระองค์ก็เบนสายพระเนตรกลับมายังคนทั้งสองตรงกลางท้องพระโรง

 "หยวนจูวเย่ เจ้ารู้ความผิดของตนที่ได้กระทำเอาไว้หรือไม่"

 พระสุรเสียงของฮ่องเต้ที่ทรงตรัสถามออกมา ไม่มีความโกรธหรืออาฆาตเคียดแค้นแต่อย่างใด พระองค์ตรัสขึ้นอย่างสุขุมและพระทัยเย็น 

 ใบหน้าของหยวนจูวเย่มองตรงไปยังฮ่องเต้ เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โดยไม่มีท่าทียี่หระแต่อย่างใด 

 "หม่อมฉันรู้ความผิดของตนเองที่ได้กระทำไว้เป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ และไม่ว่าพระองค์จะตัดสินลงโทษเยี่ยงไร ก็สุดแล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงเมตตา ทว่าคนของหม่อมฉันไม่มีความผิดอันใด เขาเพียงทำตามคำสั่งของหม่อมฉันเท่านั้น หากเขาจะต้องถูกลงโทษ หม่อมฉันขอรับโทษทัณฑ์ทั้งหมดไว้เองพ่ะย่ะค่ะ"

 น้ำเสียงและแววตามุ่งมั่นในการยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว เพื่อต้องการปกป้องคนของตนได้ส่งไปถึงฮ่องเต้อย่างชัดเจน

 ผู้คุ้มกันของเขาได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความซาบซึ้งในน้ำใจต่อผู้เป็นนาย เขาเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยและหันไปชำเลืองมองคุณชายของตนและกล่าวห้ามปรามอย่างกังวลใจ 

 เขาไม่ใช่คนขี้ขลาดและไม่ต้องการให้คนผู้นี้ออกรับผิดแทนตนเอง

 "ข้าขอบคุณในน้ำใจนั้นของคุณชายยิ่งนัก หากแต่ข้าไม่มีวันจะทอดทิ้งท่านเป็นเด็ดขาด"

 จากนั้นผู้คุ้มครองก็หันไปหมอบกราบเช่นเดิม พร้อมกับตะโกนทูลกล่าวต่อฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 "พระอาญามิพ้นเกล้า ทูลฝ่าบาท คุณชายไม่ได้กระทำสิ่งใดผิด ขุนนางแก่ทั้งหลายที่ยืนหัวโด่อยู่ในห้องนี้ต่างหากที่เป็นฝ่ายกระทำผิดต่อเขา หากคนพวกนั้นไม่มาพรากชีวิตของมารดาไปในครั้งที่คุณชายยังทรงเยาว์วัย จนชีวิตของเขาต้องพลิกผันระเห็จระเหินและตกระกำลำบากจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เรื่องเช่นนี้ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้น และหากพระองค์จะทรงไต่สวนหาคนผิด ก็คงต้องลงโทษพวกเขาเหล่านั้นด้วยเช่นกัน ส่วนความผิดของคุณชายหม่อมฉันขอยินดีน้อมรับผิดนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว ขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

 หยวนจูวเย่ได้ฟังเช่นนั้น เขาก็รีบกล่าวปรามคนของตนทันที

 "หยุดนะ! เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง"

 ด้านเหล่าขุนนางเฒ่าฝ่ายกังฉินระดับสูงทั้งหลาย ได้ฟังเช่นนั้นต่างก็พากันร้อนตัวจนอยู่ไม่เป็นสุข เริ่มจากขุนนางผู้หนึ่งซึ่งเดินออกมาจากแถว เพื่อทูลถวายคำคัดค้านต่อฮ่องเต้อย่างร้อนรนใจทันที 

 "กราบทูลฝ่าบาท พระองค์อย่าทรงไปหลงเชื่อคำพูดเหลวไหลไร้สาระและไร้หลักฐานของคนชั่วนะพ่ะย่ะค่ะ"

 จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงสนับสนุนจากขุนนางอีกหลายคนที่เดินทยอยออกมาจากแถว เพื่อทูลคัดค้านฮ่องเต้จนเกิดเสียงดังอื้ออึงราวผึ้งแตกรังไปทั่วท้องพระโรง

 ฮ่องเต้ทรงทนนั่งฟังพวกเขาแก้ตัวอยู่นาน ในที่สุดพระองค์ก็หมดความอดทนและทรงกริ้วขึ้น พร้อมกับโยนเอกสารที่วางอยู่ด้านข้างพระวรกายทิ้งไปทางเบื้องหน้าพระพักตร์

 "พอได้แล้ว! พวกเจ้าเป็นถึงขุนนางมีตำแหน่งใหญ่โตแต่กลับกินปูน ร้อนท้อง ดิ้นพล่านร้อนตัวจนเผยท่าทีกังวลกระวนกระวายใจถึงขนาดคุมสติของตัวเองไม่อยู่ ต่อหน้าเรา พวกเจ้ายังกล้าสร้างความวุ่นวายจนไร้ซึ่งระเบียบเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน เบิกตาของพวกเจ้าดูเอาเองเถิด...ว่าผู้ใดกันแน่ที่กล่าวคำเท็จโป้ปดต่อหน้าเรา และสมควรจะต้องถูกลงโทษ"

 จากนั้นเจ้ากรมยุติธรรมจึงได้เดินเข้าไปหยิบเอกสารฉบับนั้นละนำมายื่นใส่มือให้กับขุนนางเฒ่าผู้หนึ่ง 

 และเมื่อคนผู้นั้นได้เปิดอ่านเนื้อความบนกระดาษแผ่นนั้น เขาถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันที 

 จากนั้นเอกสารก็ได้ถูกส่งต่อเป็นทอด ๆ ไปจนถึงคนสุดท้ายที่เดินออกมาจากแถวก่อนหน้านี้ได้อ่านจนครบทุกคน

 เวลาต่อมา ทั้งหมดก็ได้นั่งหมอบกราบลงบนพื้นและส่งเสียงดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงด้วยประโยคเดียวกัน

 "พระอาญามิพ้นเกล้า พวกหม่อมฉันทำผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตา ประทานอภัยให้กับพวกเราด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

 "ขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

 ฮ่องเต้ทรงได้ทอดพระเนตรการกระทำอย่างสิ้นท่าของพวกขุนนางกังฉินทั้งหลาย ซึ่งพวกเขากำลังร้องขอความเมตตาและร้องขอชีวิตจนเสียงดังอื้ออึงไปทั่วท้องพระโรง 

 นาทีต่อมา พระองค์ก็ทรงพระสรวลออกมาด้วยความรู้สึกผิดหวัง

 "หึ ๆ ก่อนทำผิด เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ใช้สมองไตร่ตรองดูให้ดีก่อน แต่ละคนก็รับตำแหน่งขุนนางมานานหลายสิบปี บางคนนานกว่าระยะเวลาที่เราได้ขึ้นครองบัลลังก์นี้เสียอีก เพียงแค่ต้องการขยายอำนาจในมือของตน พวกเจ้าถึงขนาดวางแผนสังหารชีวิตของผู้อื่นได้อย่างง่ายดายโดยไร้ซึ่งความสำนึกผิด เช่นนั้น...การกระทำของพวกเจ้าก็ไม่ต่างจากซ่งเฉาเกาเลยสักนิด!"

 ฮ่องเต้ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงโกรธเกรี้ยวต่อหน้าธารกำนัลและขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน 

 ทุกคนต่างยืนฟังตัวเกร็งนิ่ง ไม่มีผู้ใดกล้าทูลกล่าวแทรกแซง ยกเว้นเหล่าขุนนางที่กำลังถูกล่าวโทษ พวกเขาต่างก็ก้มหมอบกราบและส่งเสียงร้องขอพระเมตตาจากองค์ฮ่องเต้ไม่หยุดปาก

 "ทูลฝ่าบาท ที่พวกหม่อมฉันได้กระทำลงไปทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแต่หวังดีและจงรักภักดีต่อพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ"

 คำกล่าวนี้ของขุนนางเฒ่าผู้หนึ่งมันได้จี้จุดปมในใจของฮ่องเต้ ราวกับมีคนแผลงศรเคลือบยาพิษไปปักลงที่พระทัยของพระองค์

 ฉึก!

 พระหัตถ์ทั้งสองข้างของฮ่องเต้กำหมัดแน่นและวางไว้เหนือพระชานุ[1] 

 "จงรักภักดีต่อเรากระนั้นรึ!"

 ฮ่องเต้ทรงตรัสย้อนถามขุนนางผู้นั้น และทรงทอดพระเนตรมองเขาด้วยสายพระเนตรเจ็บปวด พระสุรเสียงเต็มไปด้วยความโทมนัสอย่างที่สุด

 "พวกเจ้าถือตนว่าเป็นขุนนางเก่าแก่ของกษัตริย์องค์ก่อน เพียงแค่ต้องการรักษาอำนาจของพวกตน จึงบังอาจรวมหัวกันสมคบคิดวางแผนและตัดสินใจกันเองโดยไม่มีใครถามความสมัครใจของเราเลยสักนิด ว่าเราอยากจะเป็นฮ่องเต้หรือไม่!"

 ประโยคนี้ของฮ่องเต้ได้ทำให้ทุกคนภายในท้องพระโรงได้รู้ถึงความในพระทัยที่พระทรงเก็บความขมขื่นมานาน

 "...พวกเจ้าไม่เพียงแค่พรากมารดาของเด็กน้อยคนหนึ่งไปจากเขา แต่พวกเจ้ายังพรากความฝันและความสุขของเราที่เหลืออยู่ไปทั้งชีวิตอีก เฉกเช่นนี้แล้ว พวกเจ้ายังมีหน้ามาเรียกร้องขอความเมตตาจากเราอยู่งั้นรึ!"

 เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างที่พากันนั่งหมอบกราบอยู่ตรงกลางท้องพระโรงได้ฟังพระฮ่องเต้ตรัสด้วยพระสุรเสียงกริ้วเช่นนั้น พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงภัยอันใกล้ที่กำลังคืบคลานเข้ามา จึงพากันนั่งตัวสั่นเทา ราวกับลูกนกเปียกฝน เพราะเกรงกลัวต่ออาญาจากฮ่องเต้

 "พระอาญามิพ้นเกล้า พวกหม่อมฉันสำนึกผิดแล้วขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตาลูกนก ลูกกา ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

[1] พระชานุ หมายถึง หัวเข่า

 ฮ่องเต้ทรงตรัสสวนกลับด้วยพระสุรเสียงโกรธขึ้งอย่างไม่รอช้า

 "เมตตากระนั้นรึ! ได้! เราจะให้สิ่งนั้นตามที่พวกเจ้าร้องขอ"

 เหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้นต่างก็พากันส่งเสียงโห่ร้องดีใจ และทูลกล่าวอยากซาบซึ้ง

 "ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"

 เหล่าขุนนางฝ่ายตงฉินคนอื่น ๆ ซึ่งยืนฟังอยู่ในแถวต่างก็พากันเกิดความกังขาในพระดำรัสของฮ่องเต้ขึ้นมาทันที

 รวมไปถึงฟ่งหลันหลั่น และแม้แต่หยวนจูวเย่และคนของเขา ทั้งสามคนต่างก็พากันเผยสีหน้าผิดหวังในตัวของฮ่องเต้ยิ่งนัก ที่ได้ยินพระองค์ทรงตรัสเช่นนี้

 มีเพียงหลงอี้หลิงและเจ้ากรมยุติธรรมที่ยังคงวางตัวและสีหน้านิ่งเฉยอยู่เช่นเดิม

 เวลาผ่านไปชั่วครู่ ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงปล่อยให้ทุกคนมีข้อกังขาอยู่ในใจนาน พระองค์ได้ทรงหันพระพักตร์ไปยังเจ้ากรมยุติธรรมและตรัสขึ้นกับเขาด้วยสุรเสียงเข้มดุดัน 

 "เจ้ากรมยุติธรรม เช่นนั้นท่านช่วยเราอ่านคำพิพากษาคดีนี้ได้"

 "พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" 

 เจ้ากรมยุติธรรมน้อมรับพระบัญชาจากฮ่องเต้เสร็จเรียบร้อย ลูกน้องของเขาก็ได้เดินถือม้วนผ้าสีแดงมาส่งให้กับเขา จากนั้นเจ้ากรมท่านนี้ก็คลี่มันออก

 "รับราชโองการ สืบเนื่องจากการเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ซึ่งเป็นวันพระราชทานมงคลสมรสของแม่ทัพหลงอี้หลิงกับธิดาอ๋อง เยี่ยชิงเซียว และมีคดีเกิดขึ้นหลายคดี กรมยุติธรรมได้รับบัญชาจากเรา ให้สืบหาความจริงและหาหลักฐานเพื่อจะเอาตัวคนผิดมาลงโทษ และตามหลักฐานที่กรมยุติธรรมได้รับมาจากหนึ่งในผู้กระทำผิด ซึ่งเขาได้ทำการสารภาพและส่งมอบหลักฐานทั้งหมดพร้อมกับรายชื่อผู้สมรู้ร่วมคิดทุกคนมอบให้กับกรมยุติธรรม ดังมีรายชื่อต่อไปนี้..."

 จากนั้นเจ้ากรมยุติธรรมก็ได้อ่านรายชื่อของขุนนางที่ร่วมทำผิดจากคนแรกไปจนถึงคนสุดท้าย และก็เป็นจำนวนเท่ากับเหล่าขุนนางทั้งหลายที่พากันนั่งหมอบกราบร้องขอพระเมตตาอยู่นั่นเอง

 "...และตามรายชื่อทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้ เพื่อให้สาสมต่อความผิดที่พวกเจ้าได้กระทำเอาไว้ เรา ฮ่องเต้ขอสั่งปลดตำแหน่งขุนนางของพวกเจ้า ทุกคน และสั่งริบทรัพย์สินเงินทองข้าวของมีค่าทุกชิ้นทั้งหมดให้กลับคืนสู่ท้องพระคลัง ส่วนสมาชิกและครอบครัวรวมไปถึงบ่าวไพร่ ให้ส่งเนรเทศทุกคนไปทำงานหนักยังชายแดนทางเหนือสุดของแคว้นโหย่วเป็นเวลายี่สิบปี และตัวการขุนนางที่ทำผิด ให้ตัดหัวเสียบประจานเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อคนรุ่นหลัง! น้อมรับราชโองการจากเรา ลงชื่อ ฮ่องเต้แห่งแคว้นโหย่ว"

 ทันทีที่เจ้ากรมยุติธรรมอ่านราชโองการพิจารณาตัดสินคดีโทษของฮ่องเต้เสร็จสิ้นลง เหล่าขุนนางที่มีรายชื่อในม้วนราชโองการต่างพากันส่งเสียงโหยหวนวิงวอนร้องขอพระเมตตาจากฮ่องเต้ แต่ก็ไม่เป็นผล 

 เหล่าทหารองครักษ์ได้เข้ามาทำหน้าที่ของตนอย่างรวดเร็ว ด้วยการลากพวกเขาทุกคนออกไปรับโทษทัณฑ์ตามพระราชโองการของฮ่องเต้

 "ฝ่าบาท โปรดเมตตาพวกเราด้วยเถิด"

 "ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย"

 "ฝ่าบาท..."

 เสียงวิงวอนร้องขอชีวิตและร้องขอพระเมตตายังคงดังเข้ามาในท้องพระโรงอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แม้ว่าตัวของพวกเขาจะถูกลากออกไปนานแล้วก็ตาม

 จากนั้นไม่นานความเงียบสงบก็กลับมาสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง

 เจ้ากรมยุติธรรมได้หยิบม้วนราชโองการอีกอันหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน

 "หยวนจูวเย่และผู้คุ้มกัน รับราชโองการ"

 หยวนจูวเย่และคนของเขาจึงได้นั่งคุกเข่าทั้งสองลงบนพื้นและยกมือขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะลงต่ำ

 "หยวนจูวเย่ เพราะความทะเยอทะยานและกระหายในอำนาจของเหล่าขุนนางกังฉินทั้งหลายเมื่อครั้งอดีต จึงเป็นสาเหตุทำให้เจ้าสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย ชีวิตต้องระเห็จระเหินเร่ร่อนและตกระกำลำบากจนแทบเอาตัวไม่รอด แต่ยังโชคดี นับว่าฟ้ายังมีตา เจ้ากรมการคลังได้ไปพบเจ้าและรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม เลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่และอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี ส่วนเจ้าก็ไม่เคยเอาเปรียบหรือทำให้ผู้ใดเดือดร้อน 

 ทว่าการกระทำของเจ้าในวันพระราชทานมงคลสมรสของแม่ทัพหลง แม้ว่าเจ้าจะวางแผนกระทำสิ่งนั้นไปเพื่อต้องการแก้แค้นให้กับมารดาที่จากไปของตน และการที่เจ้าจับตัวฟ่งหลันหลั่นไปกักขังเอาไว้จนอีกฝ่ายเกิดอันตรายขึ้นนั้น..."

 เจ้ากรมยุติธรรมหยุดพักหายใจไปครู่หนึ่ง ส่วนคนอื่น ๆ ในท้องพระโรงต่างก็เงียบกริบและตั้งใจฟัง จากนั้นก็เขากล่าวต่อ

 "...สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความผิดยิ่งนัก โดยเฉพาะเจ้าได้คิดวางแผนผสมยาพิษลงในอาหารและเครื่องดื่มให้กับเหล่าแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยงวันนั้น ยิ่งนับว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ แต่โชคดีที่สวรรค์ยังเห็นใจและให้โอกาสเจ้า เพราะฟ่งหลันหลั่นและหลงอี้หลิง เขาทั้งสองคนได้ช่วยกันแก้ไขสถานการณ์และช่วยเหลือผู้คนไว้ได้ทันการณ์ ดังนั้นโทษทัณฑ์ของเจ้าจึงได้เบาลง และเพื่อคืนความยุติธรรมที่เจ้าได้สูญเสียไปในครั้งยังเยาว์วัย โทษประหารจึงได้รับการยกเว้น แต่โทษทัณฑ์อื่นยังต้องได้รับ"

 เจ้ากรมยุติธรรมหยุดพักหายใจอีกเป็นรอบที่สอง จากนั้นก็กล่าวต่อ

 "...เพื่อเป็นการลงโทษในความผิดนั้น เราจะส่งเจ้าไปประจำอยู่หัวเมืองชายแดนทางใต้ และให้เจ้าทำหน้าดูแลผู้คนที่นั่นในฐานะผู้ตรวจสอบ จงทำงานให้หนักเพื่อชดใช้ความผิดของตน และห้ามกลับเข้ามาเหยียบเมืองหลวงจนกว่าจะได้รับอนุญาต และเรา...ในฐานะกษัตริย์องค์ปัจจุบันผู้ที่พรากทุกอย่างไปจากเจ้า แม้จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เราต้องกล่าวขอโทษเจ้าจากใจจริงกับความสูญเสียที่เจ้าเคยได้รับมา (ลงชื่อ ฮ่องเต้แห่งแคว้นโหย่ว)" 

 เหล่าขุนนางที่เหลือในท้องพระโรง ได้ฟังคำตัดสินของฮ่องเต้ในครั้งนี้ พวกเขาทุกคนต่างยอมรับและไม่มีผู้ใดกล่าวทัดทานหรือโต้แย้งเลยสักคำ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าการทำงานในดินแดนหัวเมืองชายแดนทางใต้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเต็มไปด้วยปัญหาน้ำท่วมและโรคระบาดเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ผู้คนก็อดอยากและใช้ชีวิตกันอย่างแร้นแค้นมาก

 หยวนจูวเย่และคนของเขา ทูลกล่าวเสียงดังก้องขึ้นอย่างพร้อมเพรียง แม้ว่ามันจะไม่สามารถทดแทนในสิ่งที่เขาสูญเสียไปได้ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายเสียเลยทีเดียว

 "หม่อมฉันหยวนจูวเย่ น้อมรับราชโองการ ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นพระกรุณายิ่งนัก ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"

 ด้านฟ่งหลันหลั่นก็ได้แสดงความดีใจให้กับหยวนจูวเย่ ด้วยการโปรยยิ้มและส่งสายตาสดใสเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเขา

 การกระทำของนางมันยิ่งทำให้หลงอี้หลิงต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตนเอาไว้ให้ได้ หากที่นี่ไม่ใช่ท้องพระโรงและไม่ใช่ต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้ เขาคงจะไม่ทนยืนมองเฉย ๆ อยู่เช่นนี้เป็นแน่

 ไม่นานหยวนจูวเย่และคนของเขาก็ถูกพาตัวออกไปจากท้องพระโรง ตามมาด้วยเสียงเบิกตัวจำเลยคนต่อไปของเจ้ากรมยุติธรรมดังก้องขึ้นไปถึงด้านนอกประตูใหญ่

 "เบิกตัวเยี่ยอ๋องพร้อมกับธิดา เยี่ยชิงเซียว เข้าเฝ้าได้"

 จากนั้นเสียงของทหารทางด้านนอกก็ส่งเสียงขานรับกันดังเป็นทอด ๆ 

 "เบิกตัวเยี่ยอ๋องพร้อมกับธิดา เยี่ยชิงเซียว เข้าเฝ้าได้"

 และแล้วช่วงเวลาอันแสนยาวนานที่ฟ่งหลันหลั่นได้เฝ้ารอคอยก็มาถึงเสียที นางยืนตัวสั่นเทาอย่างหนักสองมือกำหมัดเอาไว้แน่น ดวงตากลมสดใสที่มอบให้หยวนจูวเย่ก่อนหน้านี้ ดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 หลงอี้หลิงเห็นเช่นนั้น เขาก็กุมมือของนางเอาไว้แน่น แต่ความรู้สึกที่ถ่ายทอดไปให้นางในตอนนี้มันต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

 "หลั่นเอ๋อร์ เจ้าเพียงแค่ยืนเคียงข้าเช่นนี้อย่างที่เคยเป็นมาก็พอแล้ว อย่ากดดันตัวเองและทำตัวผ่อนคลายเถิด เรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าจัดการเอง เชื่อใจข้านะ! ยอดรักของข้า"

 น้ำเสียงทุ้มอันอบอุ่น แววตาที่แสนอ่อนโยน รวมทั้งถ้อยคำหวานหูของหลงอี้หลิงที่ถ่ายทอดออกมาให้กับฟ่งหลันหลั่น ทุกสิ่งที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ มันได้สื่อเข้าไปถึงดวงใจดวงน้อยอันแสบเจ็บปวดของนาง 

 ความรักที่เขามีต่อนางอย่างล้นพ้น มันได้ละลายความแค้นที่อัดแน่นฝังรากลึกอยู่ในดวงใจดวงนี้ ให้สงบลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

 ฟ่งหลันหลั่นมองหน้าหลงอี้หลิงและตอบเขากลับสั้น ๆ แม้ว่าเรือนร่างอรชรยังคงสั่นเทาหนักอยู่ก็ตาม

 "อื้ม" 

 จากนั้นสายตาของฟ่งหลันหลั่นและหลงอี้หลิงก็ต่างจ้องมองไปยังประตูบานใหญ่หน้าท้องพระโรงอย่างใจจดจ่อ มือของทั้งคู่ยังคงกุมมือกันเอาไว้แน่นหนาไม่คลาย

....

เซียงไค 盛開