ท้องพระโรง
นายทหารสี่คนได้แบกเสลี่ยงชนิดแบบเปิดโล่งเข้ามาในท้องพระโรงและวางลงบนพื้นหินอ่อนอย่างระมัดระวัง จากนั้นพวกเขาก็เดินออกไป
ผู้ที่นั่งมาบนเก้าอี้ไม้แบบมีพนักพิงหลัง ก็คือเยี่ยอ๋องนั่นเอง
ห่างกันไม่กี่นาที เยี่ยชิงเซียวก็ได้เดินตามหลังเข้ามาติด ๆ และมาหยุดยืนอยู่ข้างบิดา ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงและถวายความเคารพต่อฮ่องเต้
"หม่อมฉันเยี่ยชิงเซียวและบิดา ขอถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
มีเพียงเยี่ยชิงเซียวเท่านั้นที่เปล่งเสียงออกมากล่าวแสดงความนอบน้อมต่อฮ่องเต้ ส่วนเยี่ยอ๋องนั้นกลับนั่งนิ่งเงียบไม่ไหวติง
ขุนนางหลายคนในท้องพระโรงต่างพากันไม่พอใจในพฤติกรรมนี้ของเขา เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้ ทุกคนจะต้องกล่าวถวายความเคารพ หากมีผู้ใดเมินเฉยหรือตั้งใจละเลยก็ถือว่าเป็นการลบหลู่เบื้องสูงนั่นเอง
แต่ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยดีว่าเหตุใดเยี่ยอ๋องถึงได้แสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา เพราะพระองค์ทรงได้รับรายงานจากสำนักหมอหลวงถึงอาการป่วยของอ๋องผู้นี้มาก่อนแล้วนั่นเอง
แต่เยี่ยชิงเซียวก็ไม่ได้ปล่อยให้ผู้อื่นกังขาหรือมองบิดา ว่าเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสมนานเกินไปมากกว่าที่เป็นอยู่
"กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยพระองค์แทนบิดาด้วยเพคะ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันประทานสมรสของหม่อมฉันกับแม่ทัพหลง..."
เยี่ยชิงเซียวได้พูดมาถึงท่อนนี้ จู่ ๆ นางรู้สึกเจ็บปวดจี๊ดขึ้นมาในใจราวกับถูกเข็มด้ามเล็ก ๆ ทิ่มแทงดวงใจจึงหยุดพูดไปครู่หนึ่ง พลางหันไปมอง หลงอี้หลิงกับฟ่งหลันหลั่นซึ่งยืนอยู่ทางด้านข้าง และเห็นทั้งสองคนกำลังกุมมือกันไว้แน่น
ภาพนั้นยิ่งทำให้นางเจ็บปวดใจขึ้นเป็นทวีคูณ
อีกทั้งเมื่อนางได้หวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนในวันนั้น วันที่ถูกพรากความปรารถนาอันสูงสุดไป ดวงตาสีดำเรียวคมก็เผยแววตาของความเจ็บปวดออกมา มือน้อยบอบบางทั้งสองข้างที่วางซ้อนทับกันอยู่บนหน้าตักก็ขยำอาภรณ์สีอำพันจนเกิดรอยย่นเข้าหากันอย่างชัดเจน
ตอนนี้ธิดาอ๋องไม่สามารถจะทำอะไรในเรื่องนี้ได้แล้ว นางแพ้ให้กับฟ่ง-หลันหลั่นอยากราบคาบ สิ่งที่นางจะต้องทำในตอนนี้คือทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องบิดาให้พ้นผิด
เมื่อคิดได้เช่นนั้นธิดาอ๋องจึงพยายามตั้งสติและควบคุมอารมณ์ของตนให้นิ่ง จากนั้นก็หันหน้ากลับมาทางฮ่องเต้และกล่าวต่อ
"...ในวันนั้นบิดาของหม่อมฉันถูกซ่งเฉาเกาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถที่จะใช้ขาทั้งสองข้างได้ดังเดิม และเขายังไม่ยอมพูดจากับใครเลยสักคำ แม้แต่หม่อมฉัน ผู้เป็นธิดาของเขาก็ตาม ดังนั้นขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตาและอย่าได้ถือสาหาความเอาผิดเพียงเพราะเขาไม่สามารถนั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระพักตร์ได้"
พอเหล่าขุนนางหลายคนได้ยินดังนั้น พวกเขาก็หันไปซุบซิบพูดคุยกันอย่างสงสัยแคลงใจไปคนละทิศคนละทาง
"นางคงคิดวางแผนหาทางออกนี้ไว้ เพราะหวังให้บิดาพ้นผิดและไม่ถูกลงโทษกระมัง"
"ใช่ ๆ จะเป็นไปได้ยังไง เยี่ยอ๋องแค่ถูกซ่งเฉาเกาใช้ดาบแทงเข้าทางด้านหลัง เรื่องเดินไม่ได้มันก็มีความเป็นไปได้อยู่หรอกนะ แต่เรื่องที่พูดไม่ได้..มันชักจะแปลก ๆ อยู่นะ พวกท่านว่าหรือไม่"
ฮ่องเต้จึงทรงตรัสเสียงดังขึ้น เพื่อแก้ไขข้อกังขานั้นให้กับเหล่าขุนนาง ที่กำลังซุบซิบกันจนเกิดเสียงดัง
"เรื่องนั้น...เราได้รับรายงานจากสำนักหมอหลวงเรียบร้อยแล้วว่าแต่เยี่ยอ๋องเป็นเช่นนี้ เจ้าเลยต้องการที่จะเป็นตัวแทนของเขาในการแก้ต่างการไต่สวนคดีของวันนี้ใช่หรือไม่"
พระสุรเสียงทุ้มของฮ่องเต้ตรัสถามเยี่ยชิงเซียว แม้ว่านางจะเคยทำผิดมาก่อน แต่ความกตัญญูต่อบิดาที่นางกำลังพยายามปกป้องเขา ทำให้สายพระเนตรทอดมองนางด้วยความเห็นอกเห็นใจในสตรีนางนี้อยู่ไม่น้อย
"เพคะฝ่าบาท" ธิดาอ๋องตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"เราอนุญาตให้เจ้าเป็นตัวแทนแก้ต่างแทนบิดาของเจ้าได้"
"ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท"
หลังจากที่เยี่ยชิงเซียวกล่าวจบ ฮ่องเต้ก็ทรงหันไปทางเจ้ากรมยุติธรรม
"เจ้ากรมยุติธรรม เริ่มการไต่สวนคดีของเยี่ยอ๋องได้"
เจ้ากรมยุติธรรมซึ่งยืนอยู่หัวแถวสุด เขาก็ได้เดินออกมาจากแถว และขานรับต่อรับสั่งของฮ่องเต้อย่างแข็งขัน "พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
จากนั้นเขาก็หันหน้ากลับไปทางทุกคนในท้องพระโรงพร้อมกับกล่าวเสียงดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่นั้น
"ขอเบิกตัวผู้ที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในคดีนี้ องค์หญิงอวี้หลันพร้อมกับหลักฐานเข้ามาได้"
ขุนนางทุกคนในท้องพระโรงแห่งนั้นต่างพากันตื่นตระหนกตกใจและประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อได้ยินนามต้องห้ามนี้ ดังขึ้นจากปากของเจ้ากรมยุติธรรม
ขุนนางระดับสูงผู้หนึ่งเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ จนหลุดปากโพล่งกล่าวคำพูดเสียงดังออกมาอย่างลืมตัว
"องค์หญิงอวี้หลันรึ! มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ในเมื่อพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้วเมื่อสิบปีก่อนมิใช่หรือ นี่พวกเราฟังอะไรผิดไปหรือไม่ท่านเจ้ากรมยุติธรรม"
อะ ฮึ่ม! เจ้ากรมยุติธรรมจึงแกล้งกระแอมเสียงดังขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ขุนนางท่านนั้นรู้ตัว และเพื่อบอกเป็นนัยว่าให้ขุนนางท่านอื่นเงียบเสียงซุบซิบลง เพราะหลังจากนี้คือช่วงเวลาตึงเครียดและสำคัญยิ่งนัก
ทุกคนจึงได้พากันเงียบเสียงลงทันที
ครู่ต่อมาคนของกรมยุติธรรมก็ได้ยกถาดขนาดกลางเข้ามา พร้อมกับมีขวดแก้วสีขาวใบเล็กใบหนึ่งวางตั้งอยู่ พร้อมทั้งเอกสารจำนวนหลายชุดวางซ้อนกันบนถาดนั้นด้วย และเขาได้ไปยืนอยู่ข้าง ๆ กับเจ้ากรมยุติธรรม
จังหวะนั้นเอง ฟ่งหลันหลั่นก็ได้เดินแยกตัวออกมาจากหลงอี้หลิง และได้เดินมานั่งคุกเข่าลงตรงกลางท้องพระโรง ในระนาบเดียวกับเยี่ยชิงเซียว
"ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันอวี้หลัน ธิดาของอ๋องอวี้ ผู้ที่เป็นโจทย์กล่าวฟ้องเยี่ยอ๋องในคดีนี้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี"
ขุนนางทุกคนถึงกับเบิกตาโพลงสูงขึ้นอย่างตกใจกันถ้วนหน้า
และขุนนางฝ่ายตงฉินระดับสูงท่านหนึ่ง ได้เดินออกมานอกแถวและตรัสแทรกถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจในสถานการณ์ตรงนั้นอย่างที่สุด และเขาก็ต้องการฟังความจริงอย่างกระจ่างแจ้ง รวมทั้งคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
"ทูลฝ่าบาท นี่มันเรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ สาวใช้ส่วนตัวของแม่ทัพหลง กลายมาเป็นองค์หญิงอวี้หลัน ธิดาเพียงคนเดียวขององค์ชายรัชทายาท องค์ก่อนได้เช่นไรกัน...และหากเป็นจริงดั่งที่สตรีผู้นี้กล่าวอ้าง แล้วพระศพที่ฝังอยู่ในสุสานหลวงนั้นเป็นผู้ใดกันพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้จึงทรงหันไปตรัสกับเขาอย่างพระทัยเย็น
"เรื่องนั้นท่านปุโรหิตจงใจเย็นและรอฟังจนจบการไต่สวนนี้ก่อนเถิด แล้วพวกท่านทุกคนจะเข้าใจกระจ่างแจ้งถึงความเป็นมานั้นเอง"
ขุนนางระดับสูงผู้นั้นได้ฟังรับสั่งจากฮ่องเต้ เขาก็รู้สึกตัวได้ทันทีว่าตัวเขาเองได้บังอาจหมิ่นเบื้องสูง กล่าวแทรกแซงในระหว่างการพิจารณาคดีของฮ่องเต้และเจ้ากรมยุติธรรม ที่กำลังดำเนินการอยู่ในเวลานี้
"พระอาญามิพ้นเกล้า ขอทรงโปรดประทานอภัยให้ต่อความโง่เขลาเบาปัญญาของกระหม่อม ที่บังอาจหมิ่นเบื้องสูงแทรกแซงการไต่สวนคดีของพระองค์ในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ"
"เอาเถอะ ๆ คราวนี้เราหวังว่าจะไม่มีใครกล่าวแทรกขึ้นมาอีกนะ"
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
ขุนนางทุกคนขานรับขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
จากนั้นเจ้ากรมยุติธรรมจึงได้ทำหน้าที่ของเขาต่อ
"ฟ่งหลันหลั่น เจ้าอ้างตัวว่าตนเองคือองค์หญิงอวี้หลัน ธิดาของอ๋องอวี้ องค์ชายรัชทายาทองค์ก่อน ซึ่งทุกคนทั่วทั้งแคว้นโหย่วต่างรู้กันดีว่า ทั้งสองพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
และพระศพยังคงถูกฝังอยู่ที่สุสานหลวงมานานนับสิบปี...เจ้ามีหลักฐานใด ถึงได้มั่นใจหนักหนาในสิ่งที่กล่าวมา รู้ตัวหรือไม่ว่าหากเจ้ากล่าวคำเท็จต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ จะมีโทษทัณฑ์สถานใด"
เจ้ากรมยุติธรรมกล่าวถามสตรีน้อยและย้ำคำรวมทั้งน้ำเสียงอย่างหนักแน่น ขึงขังและจริงจัง แม้จะรู้ความจริงอยู่แล้วแก่ใจแล้ว แต่เขายังต้องทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์
ฟ่งหลันหลั่นนั่งยืดหลังตรง ชูคอและเชิดหน้าสูงขึ้น แววตาและสีหน้าเผยความมุ่งมั่นแน่วแน่ พร้อมกับตอบเจ้ากรมยุติธรรมกลับไปด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดทุกถ้อยคำ
"ข้ามีหลักฐานว่าข้าคือองค์หญิงอวี้หลันผู้นั้น"
เมื่อกล่าวจบนางก็ได้ก้มหน้าลงเล็กน้อย พร้อมกับดึงป้ายหยกมรกตที่ห้อยอยู่ช่วงเอวชูขึ้นมา จากนั้นก็ส่งมอบให้กับเจ้ากรมยุติธรรม
"นี่คือป้ายหยกประจำตัวของข้า ซึ่งมีชิ้นเดียวในโลกใบนี้ ด้านหลังจะมีนามของข้าและตราสัญลักษณ์เป็นรูปดอกอวี้หลันสลักอยู่บนหยกชิ้นนั้น และข้าคิดว่าขุนนางเก่าแก่บางท่านในห้องนี้ อาจจะเคยเห็นมันมาก่อนเช่นกัน"
สตรีน้อยกล่าวจบเจ้ากรมยุติธรรมก็ได้ถือป้ายหยกเดินตรงดิ่งไปมอบให้กับปุโรหิตเฒ่าเป็นผู้ตรวจสอบด้วยตา และเพื่อยืนยันในคำพูดของผู้ที่ กล่าวอ้าง เพราะฮ่องเต้และตัวเขานั้นต่างก็ได้ตรวจสอบมาก่อนแล้วนั่นเอง
ทันทีที่ขุนนางชั้นสูงผู้นั้นรับป้ายหยกมรกตจากมือของเจ้ากรมยุติธรรม เขาก็ใช้ปลายนิ้วสัมผัสลูบไล้และใช้สายตายาวของตน
จ้องมองมันอย่างใกล้ ๆ ด้วยความพินิจพิจารณา ใช้เวลาเพียงไม่นาน ขุนนางตงฉินท่านนี้ก็ได้นั่งคุกเข่าลงและหันหน้าไปทางฟ่งหลันหลั่น พร้อมกับโขกศีรษะของตนลงกับพื้นทันที
"พิโธ่ถัง! องค์หญิงน้อยอวี้หลันของเกล้ากระหม่อม ข้ารองบาทไม่คิดไม่ฝันเลยว่าฟ้าดินยังมีเมตตา ช่วยให้พระองค์ได้ทรงรอดพ้นจากเคราะห์กรรมร้ายในครั้งนั้นจนปลอดภัยมาถึงวันนี้ได้ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานอภัยที่ในตอนนั้นหม่อมฉันไร้ความสามารถจึงไม่อาจจะปกป้องพระองค์และพระบิดาไว้ได้ทันการณ์"
เขาพรั่งพรูและระบายความอัดอั้นคับคั่งใจที่เก็บไว้มานานออกมาจนหมดสิ้น และเมื่อปุโรหิตผู้มีตำแหน่งขุนนางระดับสูงได้กล่าวยืนยันเช่นนั้น ขุนนางคนอื่น ๆ หลายคนก็ยอมเชื่อแต่โดยดี แต่ยังมีขุนนางกังฉินบางคนที่ตั้งแง่หาเรื่องไม่เชื่อในสิ่งนั้น
"ทูลฝ่าบาท พระอาญามิพ้นเกล้า กะอีแค่ป้ายหยกอันเดียว ใคร ๆ ก็สามารถปลอมแปลงมันขึ้นมาได้ สิ่งนี้จะนับว่าเป็นหลักฐานได้เช่นไรว่าสตรีนางนี้พูดความจริงพ่ะย่ะค่ะ"
ฟ่งหลันหลั่นได้ยินเช่นนั้นนางก็กำหมัดแน่น และตั้งท่าจะหันไปกล่าวโต้แย้งขุนนางผู้นั้น แต่หลงอี้หลิงก็ได้ส่งสายตาห้ามปรามนางเอาไว้เสียก่อน ประจวบเหมาะกับฮ่องเต้ก็ทรงได้ตรัสสวนขึ้น
"เรื่องนั้น...พวกท่านไม่ต้องกังวล เราได้ให้สำนักหมอหลวงช่วยตรวจสอบความสัมพันธ์ของเรากับนางทางสายเลือดเรียบร้อยแล้ว
และผลที่ได้คือ โลหิตของเรากับของฟ่งหลันหลั่นสามารถผสมเข้ากันได้ถึงสามในสี่ส่วน นั่นแปลว่า นางกับเรามีสายเลือดเดียวกัน และหากพวกท่านยังไม่เชื่อ เราจะเรียกตัวหมอหลวงใหญ่ให้เข้ามาอธิบายต่อหน้าพวกท่านทุกคนอีกครั้งในภายหลังจากที่ไต่สวนคดีนี้เสร็จสิ้นลง"
พระสุรเสียงเข้มขึงขัง และสายพระเนตรจริงจังของฮ่องเต้ ที่ทรงแสดงออกมาในตอนนี้ ต้องการสื่อให้ทุกคนที่ยังกังขาอยู่จงสงบปากของตนเองลงและตั้งใจฟังการตัดสินคดีให้จบเสียก่อนที่จะมาร้องแรกแหกกระเชอโวยวายอย่างไร้สาระไม่จบสิ้น
และมันก็ได้ผลตามพระประสงค์ของฮ่องเต้
ทุกคนในท้องพระโรงต่างเงียบกริบลงทันที จากนั้นเจ้ากรมยุติธรรมจึงได้ทำการไต่สวนต่อ
"เยี่ยชิงเซียว ตามที่เจ้าได้เขียนคำสารภาพไว้ ว่าเยี่ยอ๋อง บิดาของตน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในคดีการลอบสังหารอ๋องอวี้ องค์ชายรัชทายาทองค์ก่อน และการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงอวี้หลันเมื่อสิบปีก่อน และเจ้ายังกล่าวอ้างว่าตนเป็นพยานและมีหลักฐานในการทำผิดนั้นของบิดา ทั้งหมดที่เรากล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่"
เยี่ยชิงเซียวได้ฟังคำถามนางก็นั่งนิ่งเงียบอยู่นาน ไม่เอ่ยคำใดออกมา จากนั้นเจ้ากรมยุติธรรมจึงได้กล่าวถามทวนซ้ำอีกรอบอย่างช้า ๆ และชัดเจน เพื่อไม่ให้คำพูดของเขาตกหล่นไปจากเอกสารในมือ
เยี่ยชิงเซียวได้ฟังคำถามที่ทวนซ้ำ นางก็นั่งลังเลใจอยู่ต่อครู่หนึ่ง สองมือขยำอาภรณ์ของตัวเองไว้แน่นอีกครั้ง พลางหันไปชำเลืองมองหน้าบิดาของตน ซึ่งเขากำลังนั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าดูไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตอนนี้กำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น
"ท่านพ่อ ลูกต้องขออภัยต่อท่านด้วย เพราะลูกไม่อยากให้ท่านทำผิดอีกต่อไปแล้ว"
ธิดาอ๋องเอ่ยกับบิดาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยและฟังดูเจ็บปวดมาก
แต่เยี่ยอ๋องกลับยังคงนั่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่เช่นเดิม
จากนั้นธิดาอ๋องจึงได้หันหน้ามาทางเจ้ากรมยุติธรรม แววตาแน่วแน่
"เป็นความจริงตามนั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ในตอนที่หม่อมฉันอายุสิบสองขวบ หม่อมฉันได้แอบเห็นบิดาและซ่งเฉาเกานัดแนะพูดคุยกันอยู่หลายครั้งในห้องหนังสือที่จวนอ๋อง เพื่อวางแผนลอบสังหารอ๋องอวี้ และรับรู้มาตลอดว่าท่านพ่อมีความเจ็บแค้นฝังใจจากการกษัตริย์พระองค์ก่อน ท่านพ่อมักระบายความอัดอั้นออกมาในทุกครั้งที่ขาเมามายจากฤทธิ์ของสุรา ว่าตนไม่ได้รับความรักความเมตตาและความยุติธรรมจากผู้เป็นบิดา ท่านพ่อจึงเกิดความอิจฉาริษยาและเป็นเหตุให้ตัดสินใจกระทำความผิดในสิ่งที่ไม่น่าจะให้อภัย"
ในขณะที่เยี่ยชิงเซียวกำลังนั่งกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ฟ่งหลันหลั่นซึ่งนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ กัน นางก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธและความเคียดแค้นเอาไว้อย่างสุดแสนจะเจ็บปวดทรมาน
สองมือยังคงกำหมัดไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือดใหญ่สีเขียวฟกขึ้นมาบนหลังมือจนเห็นได้ชัด
เยี่ยชิงเซียวหยุดพักหายใจครู่หนึ่ง พลางใช้หางตาชำเลืองมองไปทางฟ่งหลันหลั่นเล็กน้อย จากนั้นนางก็ได้กล่าวต่อ
"...ส่วนเรื่องการลอบวางยาพิษองค์หญิงอวี้หลัน ไม่ว่าจะเป็นการแอบผสมผงปลิดวิญญาณลงไปในอาหารและเครื่องดื่มวันละนิด และแม้แต่ผสมลงไปในสระอาบน้ำส่วนตัวของนาง...ทั้งหมดก็ล้วนเป็นฝีมือของหม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียว หม่อมฉันเกิดความริษยาในทุกสิ่งที่องค์หญิงน้อยผู้นั้นมี แม้ว่านางจะเป็นพระญาติ แต่ทุกคนต่างก็พากันรุมล้อมและมอบความรักให้กับ นางเพียงผู้เดียว และเมื่อได้พบกับนางอีกครั้ง ๆ ทั้ง ๆ ที่ควรจะตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน นางกลับมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า..."
เยี่ยชิงเซียวหยุดพักทิ้งช่วงเพื่อหายใจอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวต่อ
"...แถมนางยังมาแย่งชายคนที่ข้ารักไปอีก ดังนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน ข้าจึงได้วางแผนฆ่านางอีกครั้ง ด้วยการใช้ผสมลงปลิดวิญญาณลงในขนมหวาน แต่โชคดีที่นางรอดชีวิตมาได้ และเรื่องนี้ท่านแม่ทัพหลงกับคนของสกุลหลงต่างก็เป็นพยานได้ ส่วนท่านพ่อ...เพียงแค่ต้องการปกป้องหม่อมฉันในฐานะบิดาเท่านั้น"
ฟ่งหลันหลั่นอดทนนั่งฟังเยี่ยชิงเซียวพูดจนจบ แต่แล้วนางก็ได้สติแตกและระเบิดอารมณ์ออกมาต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้ และต่อหน้าทุกคน
"ไม่จริงเพคะฝ่าบาท! ทั้งหมดที่เยี่ยชิงเซียวกล่าวมาล้วนแต่เป็นคำเท็จทั้งนั้น ผู้ที่สั่งลอบสังหารบิดาของหม่อมฉันและวางยาพิษให้กับหม่อมฉันหวังปลิดชีพ ก็คือเยี่ยอ๋องผู้นี้"
สตรีน้อยกล่าวโต้แย้งในคำพูดของธิดาอ๋อง พร้อมกับชี้นิ้วไปทางเยี่ยอ๋อง จากนั้นนางก็หันไปทางเยี่ยชิงเซียวและกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวอย่างเดือดดาล
"เยี่ยชิงเซียว! ข้าเข้าใจดีถึงความรักที่เจ้าต้องการจะปกป้องบิดาของตน จึงยอมรับผิดเอาไว้เอง แต่ตอนนั้นเจ้าเพียงมีอายุแค่สิบสองปีไม่มีทางที่เจ้าจะมีจิตใจโหดเหี้ยมและคิดวางแผนการทุกอย่างได้เป็นขั้นเป็นตอนโดยสมบูรณ์แบบเยี่ยงนั้นได้ ทางที่ดี เจ้าจงพูดความจริงออกมาเสียเถอะ! ยังไงซะคนที่ทำผิดตัวจริงก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์ของตัวเองที่ได้กระทำไว้ ไม่มีผู้ใดสามารถรับโทษแทนผู้อื่นได้ แม้จะเป็นสายเลือดเดียวกันก็ตาม"
เยี่ยชิงเซียวกลับนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้คำพูดใดของฟ่งหลันหลั่นไปสักคำ นางยังคงยืนกรานในคำสารภาพเดิมที่กล่าวออกไปก่อนหน้านี้อย่างหนักแน่น แววตาฉายความเด็ดเดี่ยว เหมือนหัวใจของนางไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว และเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นอย่างดีว่าจะยอมรับโทษทัณฑ์ทั้งหมดแทนบิดาของตน
ด้านเยี่ยอ๋องผู้ที่นั่งเอียงคอไปทางด้านข้าง และทำหน้าตาเอ๋อเหรอไม่รับรู้เรื่องราวอยู่นาน เขาก็ได้มีปฏิกิริยาบางอย่างแสดงออกมาให้เห็นทันที
เขาเริ่มกลอกตาไปมาเล็กน้อย จากนั้นน้ำตาก็เอ่อล้นท่วมตาเบ้าตาและไหลหยดแหมะลงมาบนผิวหน้าอันขรุขระและเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นตามอายุขัย พร้อมกับส่งเสียงขึ้นมาในลำคอเบา ๆ
"ซะ เซียวเอ๋อร์...พะ พอได้แล้วลูก"
เขาพยายามเปล่งเสียงออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก และพยายามยกแขนของตัวเองขึ้นมาวางบนหน้าตัก
ธิดาอ๋องได้ยินเสียงพูดของเยี่ยอ๋อง นางก็รีบหันขวับไปมองทางเขา และเมื่อเห็นว่าบิดากำลังพูดกับตนและพยายามขยับร่างกายของเขา นางก็พุ่งตัวเข้าไปสวมกอดเขาทันที พร้อมกับปล่อยโฮออกมาด้วยความดีใจ
"ฮือ ฮือ...ท่านพ่อ ข้าดีใจยิ่งนัก ในที่สุดท่านก็ยอมพูดกับข้าเสียที ฮือ ฮือ..."
จากนั้นเยี่ยชิงเซียวก็คลายอ้อมกอดออกจากบิดาและนั่งลงต่อหน้าเขา นางรวบมือหนาทั้งสองมาวางลงบนหน้าตักกว้างของผู้เป็นพ่อและวางมือของตัวเองซ้อนทับด้านบน
ดวงหน้าสะสวยมองหน้าบิดาผู้เป็นที่เคารพรัก น้ำตายังคงหยดแหมะเป็นพวงไม่ขาดสาย จากนั้นก็กล่าวขึ้น
"เซียวเอ๋อร์นั่งอยู่ตรงหน้าท่านพ่อแล้ว ลูกปลอดภัยดี ท่านพ่อไม่ต้องกังวลและไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ท่านพ่อนั่งรอเงียบ ๆ ก่อนนะเจ้าคะ ส่วนเรื่องที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกจัดการเอง..."
และนางพยายามฝืนยิ้มให้กับบิดา
เยี่ยอ๋องค่อย ๆ ยกมือแขนของตัวเองขึ้นอย่างสั่นเทา และวางฝ่ามือหนาอันเหี่ยวย่นลงบนดวงหน้างามของธิดาเพียงคนเดียว เขาสัมผัสอย่างทะนุถนอม แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความรักที่มีต่อนาง
"เซียวเอ๋อร์ พอได้แล้ว ลูกไม่ต้องออกตัวรับผิดอะไรแทนพ่อทั้งนั้น"
เยี่ยอ๋องกล่าวกับธิดาของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและอบอุ่น จากนั้นเขาก็ละสายตาจากบุตรสาวและหันกลับมายังคนที่นั่งอยู่ตรงบัลลังก์ทอง ทางเบื้องหน้าของตน
เยี่ยอ๋องพยายามขยับตัวและยกขาทั้งสองข้างของเขาเพื่อที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเคลื่อนตัวไปนั่งคุกเข่าลงบนพื้น จนแทบจะล้มหัวคะมำหน้าฟาดไปทางด้านหน้า
เยี่ยชิงเซียวจึงรีบเข้าไปพยุงร่างกายของบิดาไว้อย่างรวดเร็ว แต่เนื่องด้วยเขามีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาก ทำให้สองพ่อลูกหกล้มคะมำไปยังพื้นตรงนั้นด้วยกัน ในสภาพที่แย่มาก
ทุกคนในห้องนั้นที่ได้มองดูพวกเขา ต่างก็รู้สึกสมเพชเวทนา
เยี่ยอ๋องกับธิดาผู้เคยหยิ่งยโส ทระนงในยศถาบรรดาศักดิ์ของตน มาในตอนนี้ ทั้งสองแทบไม่เหลือสภาพให้น่าเกรงขาม และไม่มีสง่าราศีอีกต่อไป
"ฝ่าบาท เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการตายของอ๋องอวี้และการลอบวางยาพิษต่ออวี้หลัน ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตเมื่อสิบปีก่อนจวบจนมาถึงปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของหม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียว ธิดาของหม่อมฉัน...นางไม่มีส่วนรู้เห็นใด ๆ ในการกระทำเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
ขอพระองค์ทรงโปรดเมตตา อย่าดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้องในวังวนบาปนี้ของหม่อมฉันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"
น้ำเสียงแหบแห้งอยู่ในลำคอและถ้อยคำบางเบาราวกับสายลมของเยี่ยอ๋องกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก เนื่องด้วยร่างกายของเขายังฟื้นกลับมาไม่สมบูรณ์นัก แต่เขาไม่อยากให้บุตรสาวอันเป็นที่รักต้องมาเดือดร้อนไปด้วย เขาจึงพยายามรวบรวมพลังกายและพลังใจ พูดสารภาพความผิดทั้งหมดออกมา
เยี่ยชิงเซียวเป็นห่วงบิดายิ่งนัก นางจึงกล่าวแทรกขึ้นทันที
"ทูลฝ่าบาท พระองค์อย่าทรงไปฟังสิ่งที่บิดาของหม่อมฉันพูดนะเพคะ ท่านพ่อไม่ได้ทำอะไรผิด เขาเพียงแค่ต้องการจะปกป้องหม่อมฉัน คนที่ทำผิด คือหม่อมฉันเพคะ ขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตาท่านพ่อ และขอทรงโปรดตรัสรับสั่งลงโทษหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ"
เยี่ยชิงเซียวกล่าวทูลต่อฮ่องเต้ และออกตัวรับผิดแทนบิดาอย่างหนักแน่น เพื่อหวังจะให้เขาปลอดภัยและรอดพ้นต่อความผิด
และในขณะที่ทุกคนกำลังยืนมองดูเหตุการณ์อยู่อย่างสนใจ
ด้านฮ่องเต้ก็ทรงกำลังนั่งชั่งพระทัยและไตร่ตรองอย่างหนักว่าพระองค์ควรจะจัดการเช่นไรกับสองพ่อลูกคู่นี้ดี
ส่วนแม่ทัพหนุ่ม เขายังคงยืนนิ่งและมองจ้องไปยังสตรีน้อยอย่างไม่วางตาด้วยความระแวดระวัง เพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อย่างเช่นที่เกิดขึ้นในศาลยุติธรรมอีก
สลับไปทางฟ่งหลันหลั่น นางนั่งนิ่งเงียบและอดทนฟังสองพ่อลูกคู่นี้มาพักใหญ่ และจู่ ๆ เรือนร่างอรชรก็สั่นระริกขึ้นทั้งตัว
ทันใดนั้นองค์หญิงอวี้หลันหรือฟ่งหลันหลั่นก็ได้ลุกพรวดพราดขึ้นยืนอย่างขึงขัง พลางหันขวับไปทางสองพ่อลูกและเดินตรงดิ่งไปหาพวกเขาทันที
หลงอี้หลิงซึ่งเฝ้ายืนมองสังเกตการณ์อยู่แล้ว พอเห็นนางอันเป็นที่รักขยับตัวและตรงดิ่งไปหาคู่กรณีเช่นนั้น เขาก็ขยับตัวและอยู่ในท่าตั้งท่าเตรียมพร้อมเคลื่อนไหวทันที หากเกิดสิ่งใดไม่คาดคิดขึ้น
ทันใดนั้นเอง ฟ่งหลันหลั่น ได้กระทำในเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดขึ้น
เพียะ!
เพียะ!
ใช่แล้ว สตรีน้อยวาดแขนออกไปทางด้านข้าง และตบฉาดอย่างแรงลงไปบนใบหน้าของสองพ่อลูกตระกูลเยี่ย คนละที
ท่ามกลางความตกใจและตกตะลึงของทุกคนในท้องพระโรงแห่งนั้น
รวมไปถึงสองพ่อลูกตระกูลเยี่ย
และฮ่องเต้กับหลงอี้หลิงก็เช่นเดียวกัน
ทุกคนก็ต้องอึ้งไปตาม ๆ กันกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขา
....
เซียงไค 盛開