webnovel

ข้ากลายเป็นสาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม

องค์หญิงอวี้หลัน องค์หญิงน้อยผู้แสนอาภัพ แห่งแคว้นโหย่ว ในวัยเพียงแปดชันษา พระองค์ต้องเผชิญชะตากรรมที่แสนเศร้าและเจ็บปวด ทั้งการกลั่นแกล้ง ใส่ความให้ร้ายของเหล่าคนรอบกาย เพื่อหวังจะยึดครองตำแหน่งองค์หญิงสุดที่รักจากท่านอ๋องใหญ่บิดาของนาง ซึ่งเป็นถึงองค์ รัชทายาทของแคว้นโหยว ความโชคร้ายไม่จบสิ้น มีคนร้ายได้ลอบวางยาพิษลงในสระน้ำส่วนตัวขององค์หญิงน้อย ทำให้นางต้องจบชีวิตลงในชั่วพริบตาที่สูดดมกลิ่นหอมพิษ ซึ่งโชยขึ้นมากับไอน้ำ ก่อนที่จะสิ้นใจตายพระนางได้อธิษฐานว่า ถ้าหากได้เกิดใหม่ ตนก็ปรารถนาเกิดเป็นคนธรรมดา แม้จะไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ไม่มีชีวิตที่สบาย ไม่ร่ำรวยเงินทองอย่างที่เคยเป็น ก็ยินดีเช่นนั้น และแล้ว องค์หญิงน้อยก็ได้สิ้นพระทัยลงต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ตลอดช่วงชีวิตที่มีมา องค์หญิงน้อยพบว่าไม่เคยมีใครสักคนที่รักนางจริงแม้แต่คนเดียว แต่พระนางคิดผิด... สิบปีผ่านไป องค์หญิงผู้แสนอาภัพ ได้มีชีวิตใหม่ในนาม ฟ่งหลันหลั่น หญิงสาวชาวยุทธ์ทั่วไป แม้ฝีมือด้านวิทยายุทธ์จะไม่เก่งกาจมากนัก แต่นางนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและคุณธรรมหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ด้วยนิสัยรักความยุติธรรมมากเกินไป นางจึงมักเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่หลายครั้ง จนมีครั้งหนึ่ง ฟ่งหลันหลั่นได้เกิดพลาดพลั้งเสียทีให้กับศัตรูที่ตามมาแก้แค้น หนึ่งในคนพวกนั้นได้ใช้อาวุธลับ ซัดใส่นางเองจนนางถูกพิษชนิดหนึ่งเข้า และทำให้สูญเสียวรยุทธ์ไปชั่วคราว พอรู้สึกตัวอีกที ฟ่งหลันหลั่นก็ได้กลายมาเป็นสาวใช้คนใหม่ของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหย่ว แม่ทัพใหญ่ของจวนนี้คือ หลงอี้หลิง ผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงเลื่องลือเกรียงไกรด้านการรบ นามของเขานั้นเป็นที่โจษจันและเกรงกลัวของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก หลงอี้หลิง ได้ใช้พลังหยินในตัวของเขา ช่วยขับพิษในกายให้ฟ่ง-หลันหลั่น และได้เผลอเปิดจุดลมปราณที่เคยถูกสกัดไว้ให้นางด้วย ทำให้ความทรงจำที่เคยหายไปกลับคืนมา องค์หญิงอวี้หลันทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของตนได้ทั้งหมด ว่าตนไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นเพราะพระองค์พยายามลบความทรงจำที่เจ็บปวดเลวร้ายนั้นให้หายไป เมื่อองค์หญิงน้อยอวี้หลันจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ จึงอยากที่จะเอาคืนทุกคนที่เคยทำร้ายนาง แต่ด้วยต้องแลกความทรงจำให้กลับมา ด้วยการที่ต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปโดยถาวร ทำให้ต้องตกเป็นหน้าที่ของหลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่ผู้คลั่งรักต้องออกโรง ช่วยแก้แค้นแทนและทวงคืนความยุติธรรมให้กับสาวใช้ของตน เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไง หลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหยว จะช่วยฟ่งหลันหลั่นหรือองค์อวี้หลัน แก้แค้นและทวงความยุติธรรมได้หรือไม่ ต้องมาติดตามไปพร้อม ๆ กัน

Anastazia23_Boss · 歴史
レビュー数が足りません
91 Chs

ตอนที่ ๗๗ จุดจบของผู้ร้าย ๑.๑

ห้องโถงภายในเรือนรับรองของจวนแม่ทัพ

 เหมือนว่าทุกอย่างได้ถูกวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะทันทีที่ฟ่งหลันหลั่นได้รับพระราชานุญาตจากฮ่องเต้ นางก็ได้หันไปส่งสัญญาณให้กับบ่าวของจวนแม่ทัพ และไม่นานโต๊ะทรงกลมขนาดกลางตัวหนึ่งได้ถูกนำมาวางตั้งไว้ตรงกลางห้องโถง และมีจำนวนเก้าอี้วางล้อมอยู่จำนวน 5 ตัว

 "ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลขอพระบรมราชาอนุญาตอีกหนึ่งเรื่องเพคะ หม่อมฉันต้องการท้าดวลดื่มสุรากับพวกเขาทั้งสี่ได้จะได้หรือไม่เพคะ" 

 ฟ่งหลันหลั่นทูลถามฮ่องเต้ จากนั้นนางก็ผายมือออกไปทางด้านข้างและเอ่ยชื่อพวกเขาทั้งสี่คนออกมา

 คำกล่าวของสตรีน้อยได้สร้างความกังขาและความสงสัยต่อทุกคนภายในห้องนั้น ยกเว้นหลงอี้หลิง เขายังคงวางสีหน้าเรียบตึง นิ่งเฉย และยืนดูเหตุการณ์ด้วยท่าทีสุขุม 

 "ท้าดวลดื่มสุรา ?" 

 ฮ่องเต้ทรงย้อนถามอย่างแปลกใจ

 "เพคะ ท้าดวลดื่มสุรา" สตรีน้อยทูลตอบกลับอย่างฉะฉาน แววตาแน่วแน่

 องค์ฮ่องเต้ได้รับฟังคำตอบของนางที่ย้ำชัดเจนเช่นนั้นก็ทรงนั่งนิ่งเงียบไป

 หลงอี้หลิงจึงได้กล่าวแสดงความคิดเห็นขึ้น เพื่อสนับสนุนในสิ่งที่สาวใช้ของตนต้องการ

 "ฝ่าบาท! เพียงแค่ดวลสุราเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรับรองด้วยเกียรติของแม่ทัพของพระองค์"

 ฮ่องเต้ทรงได้รับการยืนยันของแม่ทัพหนุ่ม จึงทรงทอดสายพระเนตรมองมายังขันทีเฒ่าของตน 

 "หม่อมฉันยินดีที่จะรับคำท้าดวลของแม่นางฟ่งผู้นั้น ขอฝ่าบาททรงโปรดอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

 เฉากงกงกล่าวทูลต่อองค์ฮ่องเต้อย่างชัดถ้อยชัดคำ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าสตรีน้อยนางนั้นกำลังคิดวางแผนอะไรไว้อยู่กันแน่

 ตัดสลับไปยังซ่งเฉาเกา พอได้ฟังหลงอี้หลิงพูด และได้ยินคำตอบตกลงจากเฉากงกง ซึ่งเป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ ยอมตกปากรับคำท้าดวลจากฟ่งหลันหลั่น 

 และพอหันไปสังเกตสีพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ พระองค์ดูเหมือนว่าจะเห็นดีเห็นงามตอบอนุญาต

 ขุนนางขั้นสามมีสีหน้าซีดขาว แววตาตื่นกลัว และแสดงท่าทีร้อนรนใจในบางอย่างออกมาทันที

 "ฝ่าบาท! สถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้เร่งด่วนยิ่งนัก เพื่อความปลอดภัยของพระองค์และทุกคนภายในเรือนแห่งนี้ และเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาต่อประชาชนด้านนอกนั่น พระองค์ควรจะเรียกให้เหล่าทหารองครักษ์เข้ามาควบคุมและนำตัวผู้กระทำผิดไปรับโทษดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ"

 คำกราบทูลของเขาที่พูดแทรกแซงขึ้นอย่างร้อนรนใจได้สร้างความขุ่นเคืองพระทัยต่อฮ่องเต้อย่างที่สุด

 "บังอาจ! เจ้าเป็นแค่ขุนนางขั้นสามกลับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าออกคำสั่งกับเราผู้เป็นกษัตริย์กระนั้นรึ! หากไม่เห็นโลงศพเจ้าก็คงจะไม่หลั่งน้ำตาสินะ!"

 ซ่งเฉาเการู้ตัวว่าตัวเองได้ทำพลาดไปเสียแล้ว จึงได้ทรุดเข่าและหมอบกราบลงบนพื้นลงทันที

 "พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันมิได้มีเจตนาคิดจะลบหลู่เบื้องสูงเลยพ่ะย่ะค่ะ ตะ แต่..." ขุนนางขั้นสามก้มหน้ามองพื้น ตัวสั่นงันงกและพยายามพูดแก้ตัว แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เยี่ยอ๋องก็ได้กล่าวแทรกขึ้น

 "ฝ่าบาท วันนี้เป็นงานสมรสพระราชทานของซิงเอ๋อร์ แต่ตอนนี้กลับถูกสตรีต่ำต้อยแอบปลอมตัวสวมรอยเป็นเจ้าสาวแทนและยังไม่รู้ว่าธิดาของข้าเป็นตายร้ายดีร้ายยังไง หม่อมฉันรู้สึกกังวลและเป็นห่วงในความปลอดภัยของนางยิ่งนัก ได้โปรดทรงรับสั่งให้ทหารองครักษ์จับตัวคนผิดไปไต่สวนและเร่งตามหาคนเพื่อช่วยธิดาของหม่อมฉันให้พ้นภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

 คำกล่าวของเยี่ยอ๋องก็ฟังดูมีเหตุผล ไม่ว่าเขาจะเคยทำความผิดในเรื่องใดมา หรือมุ่งหวังต้องการในอำนาจมากแค่ไหน แต่ในฐานะของบิดาย่อมเป็นกังวลและเป็นห่วงบุตรสาวของตนอย่างจับใจ 

 องค์ฮ่องเต้เองก็ทรงรักและเอ็นดูในตัวเยี่ยชิงเซียวไม่น้อย ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ สร้างความกดดันและยากที่พระองค์จะตัดสินพระทัยสั่งการอะไรลงไปอย่างเร่งด่วนโดยไร้ซึ่งหลักฐานได้ และในพระทัยลึก ๆ ก็ได้แต่เชื่อในใจตัวหลงอี้หลิงและสาวใช้ของเขา ว่าทั้งสองจะไม่ทำผิดต่อความไว้วางพระทัยของพระองค์ที่ทรงมอบให้ 

 ฟ่งหลันหลั่นกลัวว่าองค์ฮ่องเต้จะเกิดความลังเลและอาจจะเปลี่ยนพระทัยในที่สุด นางจึงถือวิสาสะพูดแทรกขึ้น

 "ฝ่าบาท ...เรื่องนั้นพระองค์โปรดวางพระทัยได้ คุณหนูเยี่ยยังคงปลอดภัยดี หม่อมฉันเพียงแค่ต้องการใช้สถานะเจ้าสาวของนาง เพื่อสะสางปัญหาและหนี้แค้นส่วนตัวกับคนในงานนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้คิดทำอันตรายนางถึงขั้นแก่ชีวิตอย่างแน่นอนเพคะ"

 "ฝ่าบาท หม่อมฉันขอรับรองว่าทั้งหมดที่นางกล่าวมาเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้คุณหนูเยี่ยอยู่ในการคุ้มครองดูแลของทหารในหน่อยกองรบของข้าพระองค์"

 ฮ่องเต้ทรงนั่งนิ่งและไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าหากไม่กระทำอะไรบางอย่าง สถานการณ์ตรงเบื้องหน้าคงจะยืดเยื้อไม่จบ ในที่สุดพระองค์ก็ได้ตอบตกลง

 "ได้! เราอนุญาตตามนั้น พวกเจ้าทั้งห้าคนก็รีบดวลสุรากันซะ ความวุ่นวายพวกนี้จะได้จบลงเสียที เพราะหากเรื่องนี้ล่วงรู้ออกไปถึงหูเหล่าชาวบ้านข้างนอกจวนแม่ทัพแห่งนี้ ก็คงจะเป็นที่ครหาได้ว่า ผู้ที่มีอำนาจทั้งหลายทำตัวไร้ยางอายและก่อปัญหาภายในราวกับผู้ซึ่งไร้การศึกษา"

 ฮ่องเต้ทรงมีพระดำรัสเยี่ยงนั้น ทั้งสี่คนก็ไม่อาจจะขัดรับสั่งได้

 "พวกเราขอน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"

 บุรุษทั้งสี่ขานรับพระดำรัสจากฮ่องเต้ด้วยความจำใจ และในใจของพวกเขาต่างก็เคลือบแคลงสงสัยว่าสตรีน้อยนางนี้กำลังวางแผนสิ่งใด เพื่อมุ่งหวังทำร้ายและแก้แค้นต่อพวกตนกันแน่

 หยวนจูวเย่ซึ่งนั่งนิ่งเงียบฟังคนอื่นพูดมานาน เขาก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพื่อจะเดินไปรวมตัวยังโต๊ะกลมที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว

 ด้วยความเป็นกังวลและเป็นห่วงนายของตน ผู้คุ้มครองของหยวนจูวเย่ จึงได้คว้าหมับที่ท่อนแขนและเหนี่ยวรั้งตัวเขาไว้ พร้อมทั้งกล่าวทัดทานอย่างขึงขัง

 "ไม่ได้นะขอรับคุณชาย พวกเราไม่รู้ว่านางผู้นั้นกำลังวางแผนสิ่งใดอยู่กันแน่ ดังนั้นข้าจะไม่ยอมให้ท่านไปเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนั้นเด็ดขาด"

 หยวนจูวเย่รู้ว่าผู้คุ้มครองของเขาจงรักภักดีและเป็นห่วงเขาขนาดไหน แต่เขาเองก็มั่นใจว่า เนื้อแท้ของฟ่งหลันหลั่น มิใช่สตรีที่โหดเหี้ยมร้ายกาจอันใด อีกอย่างตัวเขาก็ทำผิดต่อนางอย่างไม่น่าให้อภัย เขาจึงไม่อาจจะปฏิเสธในคำขอนี้ของนางได้

 บุรุษรูปงามวางมือทับลงบนมือของผู้คุ้มครองและตบลงไปบนหลังมือของอีกฝ่ายเบา ๆ 

 "ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงในความปลอดภัยของข้า แต่พวกเราเดินมาถึงขั้นนี้แล้วคงถอยไม่ได้แล้ว และดูท่าพวกเราคงไม่อาจจะฝืนลิขิตของสวรรค์ได้แล้วกระมัง"

 เพียงแค่หยวนจูวเย่กล่าวอย่างสุขุมใจเย็นประโยคเดียวและรอยยิ้มอ่อนโยนที่เขามอบให้แทนคำขอบคุณ ผู้คุ้มครองก็ยอมปล่อยมือออกจากแขนของเจ้านาย และมองตามหลังอย่างห่วงใย

 "คุณชายโปรดระวังตัวด้วย!"

 ครู่ต่อมาทั้งห้าคนก็ได้นั่งล้อมวงลงบนโต๊ะทรงกลมขนาดกลาง และประจันหน้าเข้าหากัน 

 ทุกสายตาตรงนั้นต่างจับจ้องมองดวงหน้างามด้วยสายตาระแวดระวัง โดยเฉพาะซ่งเฉาเกา

 เวลาต่อมา สาวใช้ของจวนแม่ทัพก็ได้นำจอกสุรามาวางเรียงลงบนโต๊ะตรงหน้าของทั้งห้าคน โดยวางเหยือกสีขาวหนึ่งใบไว้ตรงกลางโต๊ะ

 ฟ่งหลันหลั่นไม่สนใจในสายตาของทั้งสี่คนที่กำลังจับจ้องมายังตน นางวางสีหน้าเรียบเฉย แววตาฉายแววเย็นชา พร้อมเอื้อมมือไปจับที่ตรงหูของเหยือกสีขาว จากนั้นหยิบมันขึ้นมาก่อนที่จะรินสุราในเหยือกนั้นใส่จอกของตัวเอง และยกขึ้นดื่มเป็นคนแรก 

 เมื่อสี่คนที่เหลือเห็นสตรีน้อยยกสุราขึ้นดื่มเรียบร้อย และนางยังดูปกติดี หยวนจูวเย่ก็จึงได้เริ่มเป็นคนที่สอง โดยที่ผู้คุ้มครองของเขายังคงจับจ้องมองมาอย่างไม่กะพริบตาและอยู่ในท่าเตรียมพร้อม

 ปรากฏว่าทุกอย่างปกติ สีหน้าและท่าทางของคุณชายรูปงามผู้นี้ก็ยังคงดูไม่ต่างไปจากเดิม 

 เฉากงกงนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ด้านข้างของฟ่งหลันหลั่นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ได้ยื่นมือไปจับเหยือกสีขาวและรินสุราลงใส่จอกของตน จากนั้นเขาก็ยกขึ้นดื่มอย่างไม่มีท่าทีกังขาหรือเกรงกลัวต่อภัยที่รออยู่

 เยี่ยอ๋องมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เมื่อสามในห้าคนได้ยกสุราตรงหน้าขึ้นดื่มเรียบร้อย และหากเขาเองจะนั่งนิ่งต่อไปเช่นนี้ เห็นทีคงได้ถูกตราหน้าทีหลังว่าเป็นคนขี้ขลาดตาขาวเป็นแน่ 

 เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็ตัดสินใจรินสุราลงใส่จอกตรงหน้าและยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดเช่นกัน 

 ตอนนี้เหลือเพียงซ่งเฉาเกาที่ยังคงนั่งสีหน้าซีดขาว เม็ดเหงื่อมากมายผุดขึ้นมาบนใบหน้า แววตาล่อกแล่กและแสดงท่าทีหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด จนเยี่ยอ๋องทนมองต่อไม่ได้ จึงได้พูดตวาดเสี้ยวกร้าวใส่เขาอย่างหงุดหงิดรำคาญ

 "เจ้าจะนั่งมองจอกสุรานั่นให้มันมีอะไรงอกออกมาก่อนอย่างนั้นรึ กะอีแค่สุรา เจ้าดื่มมาตั้งแต่หนุ่มแล้วจะกลัวอะไรกันหนักหนา รีบยกขึ้นดื่มซะ เรื่องบ้าบอพวกนี้จะได้จบเร็ว ๆ ซะที"

 ซ่งเฉาเกาเป็นเบ๊คอยรับใช้และร่วมวางแผนการร้ายต่าง ๆ กับเยี่ยอ๋องมานาน พวกเขาสองคนจึงรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนเช่นไร และเมื่อถูกอีกฝ่ายกดดันไล่ต้อนให้จนมุมและกล่าวดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้น เขาก็ไม่ทนนิ่งเฉยให้ถูกต่อว่าฝ่ายเดียวเป็นแน่ 

 "อ้อ! ขอโทษด้วย ข้าก็ลืมไปว่าสุราเหยือกนี้เป็นของจวนแม่ทัพ เลยอดระแวงและกลัวตายไม่ได้ เพราะถ้าหากว่าเป็นสุราจากจวนอ๋อง ไม่แน่ว่าข้าอาจจะมีชะตากรรมเหมือนคนในพระตำหนักต้องห้ามนั้นก็เป็นได้"

 ซ่งเฉาเกากล่าวถ้อยคำทิ่มแทงถากถางเยี่ยอ๋อง เพราะมีความแค้นส่วนตัวกับเขานั่นเอง จึงได้ต้องการแฉความผิดของอีกฝ่ายออกมาให้ทุกคนได้รู้โดยทั่วกัน

 ฟ่งหลันหลั่นกำหมัดแน่น นางทนนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ ภายใต้ดวงหน้างาม และดวงตากลมโตพยายามซ่อนความโกรธ ความแค้นและความเจ็บปวดเอาไว้ แต่มันก็ไม่อาจจะปกปิดสายตาของหยวนจูวเย่ไปได้ 

 บุรุษรูปงามไม่อยากทนเห็นสตรีที่เขาหลงรักต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้ จึงได้พูดตัดบทสนทนาของเยี่ยอ๋องกับขุนนางขั้นสามขึ้นทันที

 "เรื่องส่วนตัวของพวกท่าน ก็ควรไปพูดกันทีหลัง และหากท่านทั้งสองไม่อยากจะถูกฮ่องเต้ตรัสลงโทษต่อหน้าผู้คนในห้องโถงนี้ พวกท่านก็ควรรีบดวลสุราตรงหน้าซะให้จบเกมเร็ว ๆ"

 คำพูดของหยวนจูวเย่สะกิดเตือนสติบุรุษวัยกลางคนทั้งสองให้หยุดชะงักการโต้เถียงที่เป็นอยู่ พวกเขาจึงพากันเงียบเสียงลง

 จากนั้นซ่งเฉาเกาก็ยื่นมือออกไปตรงด้านหน้าอย่างสั่นเทา และจำใจยกจอกสุราของตนขึ้นดื่มตามทุกคนในโต๊ะกลมนั้นอย่างกล้ำกลืนฝืนทน

  เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป การดวลสุราของทั้งห้าก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางการจับจ้องมองของผู้คนภายในห้องโถงอย่าสนอกสนใจว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ

 แต่สิ่งที่สร้างความฉงนใจ จนเกิดคำถามขึ้นในใจของใครหลายคน ดูเหมือนว่าทั้งห้าคนนี้คอแข็งกันมาก และต่างฝ่ายต่างก็ผลัดกันยกจอกสุราของตนขึ้นดื่มวนรอบวงไปโดยไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน

 ผ่านไปอีกครึ่งก้านธูป ตอนนี้เริ่มมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับซ่งเฉาเกา เป็นคนแรก

 จู่ ๆ เขาก็ลุกพรวดพลาดยืนขึ้น พร้อมกับเขวี้ยงจอกสุราในมือลงบนพื้นด้านข้างอย่างแรง 

 เพล้ง! 

 พร้อมกับชี้นิ้วไปที่หน้าของไปยังหลงอี้หลิง และพูดโวยวายขึ้นอย่างขาดโทสะ

 "หลงอี้หลิง! เจ้าคนหยิ่งยโส จอมอวดดี คิดว่าตัวเองเป็นแม่ทัพของฮ่องเต้เลยไม่เคารพผู้ใด และมักทำตามใจตัวเองตลอด 

 แม้ข้าจะมีตำแหน่งขุนนางต่ำกว่าเจ้า แต่เทียบประสบการณ์ชีวิตแล้วเจ้านั้นด้อยกว่าข้ามากนัก หากไม่มีเยี่ยอ๋องผู้ใจโลเลคอยสั่งห้ามข้าไว้ เจ้าคงตายด้วยฝีมือของข้าไปนานแล้ว"

 แม่ทัพหนุ่มข่มสติและยืนฟังนิ่ง ๆ ไม่โต้ตอบอันใดกลับไป เพราะว่าการดวลสุราของคนทั้งห้ายังไม่จบลง 

 แม้แต่ฮ่องเต้ก็ต้องทรงพยายามระงับความโกรธไว้ก่อน เพราะทรงได้รับปากสตรีน้อยไว้ จึงได้ปล่อยเลยตามเลยไปก่อน

 ซ่งเฉาเกายังคงพูดพล่ามโวยวายเสียงดังไม่หยุดปาก พร้อมทั้งชี้นิ้วกวาดไปรอบตัว และคราวนี้มาหยุดอยู่ที่เยี่ยอ๋อง พร้อมกับเดินเข้าไปผลักที่ไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรง

 "ท่านอ๋อง! ท่านช่างโหดเหี้ยมและร้ายกาจยิ่งนัก ข้าอุตส่าห์จงรักภักดีต่อท่าน คอยรับใช้ท่านมานานหลายสิบปี และไม่ว่าท่านจะสั่งให้ไปทำเรื่อง ชั่วช้าเลวทรามอะไรหรือสั่งให้ไปเข่นฆ่าผู้ใด ข้าก็จัดการพวกเขาโดยไม่มีความปรานีตามคำสั่งของท่าน แต่ข้าเพียงแค่ขอสิ่งเดียว..."

 เขากล่าวโวยวายและตบลงบนแผ่นอกของตัวเองตรงด้านซ้ายหลายที

 "...ข้าเพียงขอสิ่งเดียว เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนในความซื่อสัตย์นั้น ท่านกลับปฏิเสธคำขอของข้าอย่างไม่ไยดี เหตุใดกัน! ท่านถึงได้ใจดำกับข้าด้วย ทำไม! ท่านจะต้องยกคุณหนูชิงเซียวให้ไปแต่งงานกับเจ้าแม่ทัพหนุ่ม อวดดีหยิ่งยโสผู้นั้นด้วย"

 เอิ๊ก! 

 ขุนนางขั้นสามสะอึกเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ คงเป็นเพราะพิษสุรา แม้แต่น้ำเสียงยังพูดลิ้นพันกันเป็นพัลวัน

 แต่ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น 

 เยี่ยอ๋องดึงมีดสั้นออกมาจากไหนไม่รู้ และแทงสวนเข้าไปยังหน้าท้องของซ่งเฉาเกาและดูเหมือนจะโดนจุดสำคัญของเขาเข้าเต็ม ๆ

 จากนั้นอ๋องเฒ่าก็ชักมือกลับ โดยที่มีดสั้นนั้นยังปักอยู่บนลำตัวของขุนนางขั้นสามผู้นั้น

 สีหน้าของเยี่ยอ๋องกลับสร้างความแปลกใจให้กับผู้คนในโถงนั้น เขาดูนิ่งเฉย เย็นชา ทว่าแววตากลับเผยความโหดเหี้ยมอำมหิตไร้ซึ่งความเมตตาปรานีแผ่ออกมา

 หลงอี้หลิงรีบเข้าไประงับเหตุไว้ทันที ก่อนที่จะเหตุการณ์จะแย่ไปกว่าเดิม

 ฮ่องเต้ก็ทรงดูตกพระทัยมากกับการกระทำของเยี่ยอ๋องในครั้งนี้ 

 ไม่ต่างจากบุรุษสองคนที่เหลือตรงโต๊ะกลมนั้น ต่างก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับซ่งเฉาเกาและเยี่ยอ๋อง หรือแม้กระทั่งภายในตัวของพวกเขาเองก็เช่นกัน

 เฉากงกงนั่งยกจอกสุราขึ้นดื่มด้วยท่าทีสงบมาตลอดจนก่อนที่ซ่งเฉาเกาจะก่อเรื่อง แต่เวลานี้ ตัวเขาเองก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างเริ่มผิดปกติขึ้น

 ความรู้สึกผิดในใจได้ก่อตัวรุนแรงขึ้นจนเห็นภาพหลอนบางอย่างในหัว น้ำตาของชายแก่หลั่งไหลพรั่งพรูอาบลงสองแก้มราวกับเด็กน้อย 

 มืออันแห้งเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบสัมผัสใบหน้าที่โรยราไปตามวัยของตัวเอง 

 นาทีต่อมาขันทีเฒ่าก็ทรุดตัวลงไปนั่งบนพื้น และหมอบกราบลงตรงนั้นราวกับฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา 

 "ฝ่าบาท! หม่อมฉันได้ทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง และซึ่งผิดต่อพระองค์จนไม่มีหน้าทูลขอพระราชทานอภัย...ฝ่าบาท...โปรดสั่งลงโทษประหารชีวิตหม่อมฉันเถิดพ่ะย่ะค่ะ...ฝ่าบาท!"

 เฉากงกงยังคงก้มหมอบกราบและโขกศีรษะของตัวเองลงบนพื้น แต่ทิศทางที่เขาหันไป กลับตรงกันข้ามกับฝั่งที่ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ในขณะนี้

 สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งสามคนได้สร้างความกังขาต่อผู้คนในห้องโถงยิ่งนัก 

 และตอนนี้แม้แต่หยวนจูวเย่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในตัวเขาเช่นกัน

 เขารู้สึกว่าภายในหัวหนักอึ้ง จังหวะหัวใจก็เต้นผิดปกติ สายตาเริ่มพร่ามัว หูก็เริ่มดังอื้ออึง และรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียการทรงตัว บุรุษรูปงามมั่นใจว่านี่ไม่ใช่อาการของคนเมาเหล้าอย่างแน่นอน

 หยวนจูวเย่จึงหยิบจอกสุราขอตัวเองขึ้นมาและดมใกล้ ๆ แต่กลับไม่ได้กลิ่นอันใดนอกจากกลิ่นของสุรา

 จู่ ๆ มือไม้ แข้งขาของเขากลับหมดเรี่ยวแรงไปดื้อ ๆ จึงได้พยายามใช้แรงที่เหลืออันน้อยนิดวางมือลงบนโต๊ะทันที

 ปัง! 

 เขาพยายามประคองร่างกายตัวเองไว้เพื่อไม่ให้หน้าฟุบฟาดลงบนโต๊ะตรงหน้า พร้อมกับเงยหน้าจ้องมองฟ่งหลันหลั่นด้วยสายตาเจ็บปวด และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาบาง

 "น่ะ ในสุรานี้มียาพิษงั้นรึ!"

 เมื่อผู้คุ้มกันของเขาได้ยินเช่นนั้น เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปจี้สกัดจุดชีพจรให้กับผู้เป็นนายไว้อย่างรวดเร็ว และนาทีต่อมาเขาก็ชักดาบจ่อที่ลำคอยาวระหงของสตรีน้อยตรงเบื้องหน้า และฉายแววตาดุดันเหี้ยมเกรียมจ้องหน้านาง

 "ตอบมา! เจ้าผสมอะไรลงไปในสุราให้พวกเขาดื่มกันแน่!"

 ฟ่งหลันหลั่นดูไม่ได้สะทกสะท้านหรือตกใจกลัวคมดาบนั้นของคนตรงหน้าเลยสักนิด มือน้อยนิ้วเรียวยาวยังคงยื่นออกไปหยิบเหยือกใบสีขาวตรงหน้าและรินสุราลงใส่จอกสุราของตนอย่างช้า ๆ 

 จากนั้นนางก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มด้วยความใจเย็นต่อหน้าเขาผู้นั้นอย่างท้าทาย แววตาฉายประกายความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ไม่กลัวตาย พร้อมกับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวจิ้งจอกน้อย

 ท่ามกลางความตกใจของผู้คนมากมายที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม้แต่หลงอี้หลิงเองก็ไม่รู้เรื่องในส่วนนี้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

  'หลั่นเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรกับพวกเขากันแน่ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายความเชื่อใจที่ข้ามีต่อเจ้าอย่างหมดหัวใจนะ'

 ทันใดนั้นเอง สตรีผู้ที่ทุกคนต่างสงสัยว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหนกันแน่ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

 "ฟ่งหลันหลั่น! เจ้าห้ามทำร้ายบิดาของข้านะ" เสียงของเยี่ยชิงเซียวตะโกนดังลั่นลอดผ่านประตูใหญ่ของเรือนรับรองแทรกเข้ามาภายในห้องโถง

 ทุกคนจึงพากันเบนสายตาหันไปมองยังจุดที่เป็นต้นกำเนิดของเสียงนั้นทันที

 เยี่ยชิงเซียวยืนตระหง่านอยู่ตรงกลางประตูใหญ่ โดยที่ไม่หลงเหลือสภาพของคุณหนูผู้สูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย นางสวมอาภรณ์ของสาวใช้ซึ่งทั้งเก่าและขาดวิ่น ใบหน้างามสกปรกมอมแมมไปด้วยฝุ่นเถ้าถ่าน และพอสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าตรงข้อมือน้อยของนางที่กำลังชี้นิ้วมายังฟ่งหลันหลั่น แดงคล้ำเป็นรอยเสียดสีของเชือกขนาดใหญ่อย่างว่าเพิ่งผ่านการผูกรัดไว้อย่างแน่นหนามานาน

 ฟ่งหลันหลั่นวางจอกสุราลงในมือ และค่อย ๆ เบนหน้าหันไปมองตามทุกคน และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาพลิ้วไหวราวสายลม

 "คุณหนูเยี่ย! เจ้าช่างใช้เวลานานเสียจริงนะ ข้าอุตส่าห์มัดปมเชือกนั้นไว้แค่หลวม ๆ เท่านั้น ข้าละนั่งลุ้นอยู่ตั้งนาน นึกว่าเจ้าจะมาไม่ทันสั่งลาบิดาของเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายซะแล้ว"

 น้ำเสียงเย็นชาของฟ่งหลันหลั่นที่หันไปกล่าวกับเยี่ยชิงเซียว ดูแตกต่างไปจากสตรีน้อยคนเดิมที่คนของจวนแม่ทัพและเรือนสกุลหลงรู้จักอย่างสิ้นเชิง

เซียงไค 盛開