ตอนที่ 1010 ทำแทน
หนวดสีดำนับไม่ถ้วนพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องนภาจากซากตำหนัก
ผู้ที่ยังอยู่ในพื้นที่นี้ถูกหนวดขนาดใหญ่จับเอาไว้ก่อนถูกดูดจนกลายเป็นซากศพในทันที
ในแต่ละอึดใจที่ผ่านไป เทพหลายร้อยองค์ถูกกิน
หนวดเส้นใหม่พุ่งขึ้นจากพื้นอย่างต่อเนื่องขณะกวาดผ่านพื้น
ไม่มีใครสามารถหยุดหนวดสีดำเหล่านี้ได้ สิ่งปลูกสร้างพังทลายลงกับพื้น
สงครามได้เริ่มขึ้น
ทหารที่มีพลังวิญญาณแก่กล้าพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา
“นั่นแม่ทัพผู้พิทักษ์นี่!” ใครบางคนตะโกน
ผู้คนหันศีรษะไปมองรอบข้าง
พวกเขาเห็นทหารประสานมือเข้าด้วยกันก่อนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ไปลงนรกซะ!”
อุณหภูมิร้อนแรงกวาดผ่านปฐพี วัตถุแห้งจำนวนมากติดไฟทันที ทำให้เกิดเปลวเพลิงบ้าคลั่ง
เขากลายเป็นยักษ์เพลิง ฟาดเข้าใส่หนวดสีดำนับไม่ถ้วนราวกับอุกกาบาต
นี่อาจจะเป็นสกิลวิเศษของเขา พลังไปถึงขีดสุดแล้ว
ภายใต้สายตาของทุกคน หนวดเจ็ดถึงแปดเส้นพุ่งออกไป เผชิญหน้ากับยักษ์เพลิงก่อนฟาดเข้าไปหนหนึ่ง
ทันใดนั้น เปลวเพลิงแตกสลายก่อนตกลงมาจากท้องนภา
เปลวเพลิงที่กระจัดกระจายกระหน่ำใส่พื้น พื้นที่จำนวนมากติดไฟขึ้นมาจนกลายเป็นทะเลเพลิง
เพียงแค่การโจมตีครั้งเดียว แม่ทัพผู้พิทักษ์ก็ถึงแก่ความตาย!
ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงอะไรอย่างนี้!
กองกำลังติดอาวุธที่สวมชุดเสร็จไม่กล้าก้าวออกไปข้างหน้า
แม้กระทั่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดยังถูกสังหารด้วยการโจมตีครั้งเดียว ต่อให้พวกเขาออกไปตายเพิ่มก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนตกอยู่ในความสิ้นหวัง
ยิ่งพละกำลังแข็งแกร่งเท่าไหร่ พวกเขายิ่งสามารถสัมผัสถึงความหวาดกลัวได้เท่านั้น
นี่เป็นเพียงหนวดของสัตว์ประหลาดเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านจริงๆ คือร่างกายของสัตว์ประหลาด
ร่างกายของมันยังไม่ปรากฏตัว!
ผู้คนหลบหนีด้วยความหวาดกลัว
การจลาจลเริ่มขึ้น
ทุกสิ่งเหมือนกับวันสิ้นโลก
ทันใดนั้น มีเสียงประกาศโอ่อ่าดังขึ้นในท้องนภา
“สี่เทพผู้ชอบธรรมกำลังมาเพื่อสู้กับสัตว์ประหลาดชั่วร้าย เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ขอให้ทุกคนออกจากพื้นที่ตำหนักเดี๋ยวนี้”
ในท้องนภาไกลลิบ จุดแสงสว่างเจิดจ้าสี่จุดพุ่งเข้ามา
“เทพกำลังมา!”
ผู้คนส่งเสียงยินดี
กองทัพที่ลังเลหันกลับมาแล้วเริ่มช่วยผู้คนอพยพอย่างรวดเร็ว
หลายคนหยุดนิ่งเพื่อเตรียมสังเกตสถานการณ์การต่อสู้
แต่เทพได้กล่าวแล้วว่าทุกคนต้องออกไปจากพื้นที่นี้ ผู้คนจะฝ่าฝืนได้อย่างไร
พวกทหารเริ่มดันผู้คนออกไป
ในเวลาเดียวกัน สี่เทพผู้ชอบธรรมชี้ไปในท้องนภาก่อนปล่อยผนึกสีดำใส่พื้นที่ตำหนัก
ทั่วพื้นที่และหนวดนับไม่ถ้วนแยกจากกันอย่างสมบูรณ์
ไม่มีใครสามารถมองเห็นข้างในได้อีกแล้ว พวกเขาเพียงได้ยินเสียงคำรามและเสียงแตกร้าวอันทรงพลัง
ไกลจากพื้นที่ตำหนักหนึ่งพันกิโลเมตร
จางหยิงห่าวและเหล่าต้ายืนอยู่บนบ้าน รับรู้ได้ถึงความผันผวนจากการต่อสู้อันมั่นคงในอากาศจากไกลๆ
“ความสามารถในการใช้งานกล่องดำนับว่าดีทีเดียว” จางหยิงห่าวกล่าว
“ใช่ แค่ผนึกมันไว้ข้างในเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นเดิมเป็นพวกเดียวกัน” เหล่าต้ากอดอกก่อนกล่าวอย่างเห็นด้วย
พวกเขากระโดดลงจากหลังคาก่อนลงไปสู่ตรอกเล็ก
เย่เฟยหลีกระตุ้นพลังของตะขอลืมเลือนวิญญาณเพื่อมอบความสามารถในการสัมผัสทุกสิ่งและสนทนาให้กับวิญญาณของสาวใช้ชั่วคราว
มีแสงริบหรี่บนร่างของสาวใช้
นี่คือแสงแวววาวพิเศษที่ภูตผีปล่อยออกมาหลังจากได้รับพลังเทวภัณฑ์ของตะขอลืมเลือนวิญญาณ
มันเหมือนกับเย่เฟยหลีมอบพลังภูตผีให้ในตอนนั้น ทำให้พวกเขาถืออาวุธเพื่อแก้แค้นได้
“จริงสิ”
เย่เฟยหลีส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย
สาวใช้สัมผัสมันเล็กน้อยก่อนเข้าใจว่านางสามารถสัมผัสร่างกายได้แล้ว แถมยังพูดได้อีกด้วย
นางมองทุกคนแล้วกล่าวว่า
“ราชาขอให้ข้ารอพวกท่านในเส้นทางลับ”
“ทันทีที่ข้าไปรับพวกท่าน ข้าจะพาออกจากที่นั่นแล้วมุ่งสู่สถานที่ที่ราชาอยู่ทันที”
“นี่คือภารกิจของข้า แต่น่าเสียดาย หลังจากรออยู่สักพัก จู่ๆ ข้าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ข้าน่าจะถูกฆ่าในพริบตา”
กู่ฉิงซานฟังอยู่เงียบๆ เมื่อนางเล่าจบ เขาถามว่า “ทำไมราชาถึงให้เจ้ารับงานที่อันตรายขนาดนี้ด้วย”
“เพราะข้ามีสกิลวิเศษที่ชื่อว่าการเคลื่อนย้ายพริบตาอันหาญกล้า”
“หลังจากข้ากำหนดสถานที่ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ขอแค่จิตของข้าขยับ ข้าก็สามารถกลับไปที่นั่นได้ทันที”
“แต่น่าเสียดาย ข้าไม่ได้รอจนถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้สกิลวิเศษนั่น”
สาวใช้ถอนหายใจ
นางคำนับพวกกู่ฉิงซานอย่างเคร่งขรึมแล้วกล่าวต่อว่า “โปรดให้ข้ากลับไปพบลูกด้วย เขาป่วยอยู่ ข้าต้องไปพบเขา ต่อให้สุดท้ายข้าจะต้องหายไปก็ตาม ข้าก็ไม่เสียใจหรอก”
เย่เฟยหลีอธิบายว่า “ตอนนี้เจ้าไม่สามารถออกนอกระยะตะขอของข้าได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกสิ่งนั้นสังเกตเห็นวิชาวิญญาณระดับสูงทันที”
สาวใช้ขอร้อง “ขอร้องล่ะ โปรดช่วยข้าสักครั้งที ข้าตายแล้ว ข้าไม่มีความปรารถนาอื่นอีก ข้าแค่อยากพบลูกอีกสักครั้ง”
เย่เฟยหลีมองกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานครุ่นคิดเล็กน้อย
สี่เทพประกาศว่าพวกเขาคือคนชั่ว แต่ราชากลับขอให้ผู้หญิงคนนี้มาติดต่อเขา
ผู้หญิงคนนี้สามารถรับงานที่สำคัญมาได้ หมายความว่านางต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชาหรือไม่ก็บุคคลลึกลับจนไม่มีใครล่วงรู้
หรือก็คือ นางต้องรับรู้ความลับหลายสิ่งและข้อมูลอีกมากมาย
ข้อมูลเหล่านี้เกี่ยวกับเมืองเรเควี่ยม แม้กระทั่งคนในเมืองเรเควี่ยมก็ไม่รู้
กู่ฉิงซานมองวิญญาณของสาวใช้
เขาเห็นว่าใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความสิ้นหวัง ถึงแม้จะเป็นวิญญาณ แต่น้ำตาบนใบหน้าของนางยังคงไหลออกมา
กู่ฉิงซานเปิดปากถามว่า “เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องลูกหรอก ว่าแต่พ่อของลูกล่ะ”
“ตอนข้าท้อง เขาทิ้งพวกข้าไป” ผู้หญิงตอบ
“เจ้าเลี้ยงลูกคนเดียวหรือ”
“ใช่”
“นี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ ให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร”
“ชื่อของข้าคือเชี่ยนหยา”
“สวัสดี เชี่ยนหยา ข้าชื่อกู่ฉิงซาน พวกเขาคือสหายของข้า”
กู่ฉิงซานแนะนำทุกคนให้นางรู้จัก
“เอาล่ะ โปรดช่วยพาพวกข้าไปบ้านของเจ้าที ด้านหนึ่งจะช่วยเจ้าหาลูก อีกด้าน พวกข้าต้องการที่ซ่อน”
ผู้หญิงหลั่งน้ำตาด้วยความยินดีจนอาการสั่นเทิ้ม “จริงหรือ ตอนนี้ข้าเป็นเพียงภูตผี แต่ยังอยากแสดงความขอบคุณอยู่ดี”
เมื่อนางโค้งตัวเพื่อกำลังจะคุกเข่าลง
กู่ฉิงซานรีบเข้าไปพยุงนาง
“ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก เจ้าเพิ่งถูกฆ่าเพียงเพราะทำหน้าที่ช่วยเหลือพวกข้า”
กู่ฉิงซานยิ้มแล้วกล่าวว่า “พูดให้ถูกคือพวกข้าติดหนี้เจ้าอย่างใหญ่หลวงต่างหาก”
…
มุมหนึ่งที่อยู่ไกลจากตัวเมือง
ผู้หญิงที่ชื่อเชี่ยนหยายืนอยู่หน้าบ้านขณะลังเล
“เป็นอะไรหรือ” กู่ฉิงซานถาม
“เขา…เพิ่งอายุสามขวบ ข้าไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเขายังไงดี” เชี่ยนหยากล่าวขณะหลั่งน้ำตาออกมา
ทุกคนเงียบเมื่อได้ยินเช่นนี้
เด็กตัวน้อยผู้น่าสงสาร ตอนแรกก็ไม่มีพ่อ ตอนนี้ก็ยังเสียแม่ไปอีก
เขาจะใช้ชีวิตในอนาคตต่อไปอย่างไร เขาจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ยากลำบากแค่ไหน
เขาจะสามารถใช้ชีวิตเพียงลำพังได้หรือไม่
ไม่รู้ว่าลอร่าคิดอะไรอยู่ ดวงตาของนางมองต่ำช้าๆ น้ำตาค่อยๆ ไหลริน
กู่ฉิงซานกำลังครุ่นคิดอยู่เช่นกัน
ห้าวันผ่านไปนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ เหลืออีกอย่างต่ำห้าวันก่อน “กระแสความโกลาหล” จะสามารถปลดปล่อยได้อีกครั้ง
ตอนนี้ นางไม่สามารถถูกชุบชีวิตได้
กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ไปกันเถอะ พวกข้าจะไปกับเจ้า”
ผู้หญิงส่ายหน้าก่อนพยักหน้าช้าๆ
นางยกมือขึ้นผลักประตู
ทว่า มือของนางทะลุผ่านประตูไป
เย่เฟยหลีกล่าวขอโทษ “อา ขอโทษที ความสามารถนี้ที่ทำให้ภูตผีมีตัวตนได้นั้นสามารถคงอยู่ได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น”
ผู้หญิงคล้ายกับโล่งอกก่อนกลับมาอยู่ที่เดิม
กู่ฉิงซานถามว่า “ต้องรออีกนานแค่ไหนจึงจะสามารถใช้ได้อีกครั้ง”
“หนึ่งชั่วโมง”
“หนึ่งชั่วโมงหรือ พวกเราจะรอ”
“แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง มันจะมีผลเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ยังไงเสีย การมีตัวตนของภูตผีก็ไม่ใช่ความสามารถพิเศษอะไร เป็นเพียงทริกเล็กน้อยที่ติดอยู่กับตะขอยาว”
“แบบนี้มันจะเป็นปัญหานิดหน่อย หากนางอยากสนทนากับลูกแต่เวลาดันหมดขึ้นมา มันก็ถือว่าสูญเปล่าไม่ใช่หรือ”
“อืม…”
ทุกคนสนทนากันอย่างเร่งรีบ
เชี่ยนหยาก้มศีรษะช้าๆ ขณะฟังบทสนทนา
ทันใดนั้น มีเสียงต่ำดังขึ้นในบ้าน
“ท่านแม่…”
เชี่ยนหยาไม่สนสิ่งอื่นใด นางเปิดปากอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา แต่ร่างกลับพุ่งออกไปแล้ว
ประตูกันทุกคนไว้ข้างนอก แต่สถานการณ์ภายในที่พวกเขายังมองไม่เห็นนั้นมันเป็นเช่นไร
กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพออกไป
ภายในห้อง แก้วน้ำบนโต๊ะถูกกระแทก ขวดยาตกลงบนพื้น
เด็กอายุราวสามขวบนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าขนาดเล็กบิดเกร็งอย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวด
สภาพของเขาไม่สู้ดี อาการป่วยของเขาหนักขึ้นเล็กน้อย
แต่เขาเข้มแข็งและอดทนกับความเจ็บปวดอย่างเงียบงัน มีเพียงตอนที่เขาไม่สบายจนเกินจะรับไหวเท่านั้นที่จะเรียกหาผู้เป็นแม่
เชี่ยนหยามาอยู่ข้างลูกแล้ว
ทว่า นางเป็นเพียงภูตผี ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไร ลูกก็ไม่มีทางได้ยินหรือสัมผัสได้
นางส่งเสียงร้องอย่างวิตก
“เข้าไปช่วยเขากันเถอะ” เย่เฟยหลีกำลังจะยกเท้าเดินเข้าไป
จางหยิงห่าวห้ามเขาเอาไว้ก่อนกระซิบว่า
“คนแปลกหน้าเช่นเจ้าบุ่มบ่ามเข้าไปแบบนี้ แถมยังไม่ใช่คนของเทพอีก มีแต่จะทำให้เด็กกลัวเอาเปล่าๆ”
เย่เฟยหลีอ้าแขนแล้วถามว่า “งั้นข้าควรทำยังไงล่ะ”
จางหยิงห่าวตอบว่า “หลังจากเขาหมดสติแล้วค่อยให้การรักษาอีกครั้ง”
“เจ้านี่มันหยาบคายเกินไปแล้ว”
เย่เฟยหลีไม่พอใจ
กู่ฉิงซานกำลังมองฉากนี้ก่อนพลันรู้สึกว่าเขาถูกมือขนาดเล็กเกาะกุมไว้
เมื่อก้มมองลงไป เป็นลอร่านั่นเอง
“ฉิงซาน” ลอร่ามองเขาขณะกระซิบบอกว่า “เขากลายเป็นเด็กกำพร้าแล้ว”
“อืม”
“พวกเราควรช่วยเขาหรือเปล่า”
“…อืม”
ดาบยาวราวกับน้ำสารทพุ่งออกจากหลังกู่ฉิงซานก่อนกลายเป็นฉานนู่
“นายท่าน ให้ข้าไปเถอะ” ฉานนู่อาสา
กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่เคยเป็นแม่คนมาก่อน ไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยเรียนรู้ เกรงว่ามันจะเป็นปัญหาเอาเปล่าๆ”
เขาตบบ่าของเย่เฟยหลี “เรียกเชี่ยนหยากลับมาแล้วเอาเส้นผมของนางหนึ่งเส้นมาให้ข้า”
“อา ได้”
เย่เฟยหลีอัญเชิญภูตผีกลับมา จากนั้นปล่อยซากศพออกมาแล้วดึงเส้นผมจากศีรษะมาให้กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรับเส้นผมมาก่อนถามเย่เฟยหลีว่า “ให้ข้ากับเชี่ยนหยาสร้างการสื่อสารทางวิญญาณได้หรือเปล่า”
“โชคยังดีที่เจ้าเป็นผุ้ฝึกยุทธ์และมีสัมผัสวิญญาณกล้าแกร่ง ดังนั้นเจ้าน่าจะทำได้ แต่คงได้ไม่นานนัก”
“นานแค่ไหนล่ะ”
“สิบนาที”
“เกินพอแล้ว”
ตอนนี้เอง เชี่ยนหยาถูกเรียกกลับมา
กู่ฉิงซานแลเชี่ยนหยาสนทนาสักพักก่อนถามคำถามเกี่ยวกับชีวิตปกติ
การแลกเปลี่ยนระหว่างทั้งสองสิ้นสุดลง
เย่เฟยหลีใช้งานตะขอลืมเลือนวิญญาณเพื่อเชื่อมต่อกู่ฉิงซานกับเชี่ยนหยาผ่านวิญญาณ
“เจ้าลองพูดอะไรหน่อยสิ” กู่ฉิงซานกล่าว
เชี่ยนหยาพูดออกมาหนึ่งประโยค
กู่ฉิงซานพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าได้ยิน
เชี่ยนหยาจ้องเขา ทันใดนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อกอดเขาเบาๆ
“มาเริ่มกันเถอะ”
กู่ฉิงซานกล่าว
เชี่ยนหยาหันไปยืนอยู่หน้ากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานใช้งานความลึกลับของทุกชีวิตเพื่อเปลี่ยนเป็นเชี่ยนหยา
เขาเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป
ทุกคนยังยืนอยู่นอกประตูขณะสังเกตสถานการณ์ในห้องเงียบๆ
เมื่อผู้เป็นลูกสังเกตเห็นว่าแม่กลับมาแล้ว เขาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
เชี่ยนหยาหลั่งน้ำตาออกมา ใบหน้าเผยรอยยิ้มให้เห็น
จากนั้นกู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมา
ยามเชี่ยนหยากล่าวคำพูด กู่ฉิงซานก็จะพูดตาม
ยามภูตผีแสดงสีหน้า กู่ฉิงซานก็จะแสดงสีหน้าแบบเดียวกัน
ยามภูตผีทำท่ากอด กู่ฉิงซานก็ทำท่ากอดเด็กเอาไว้
ตอนแรกอาจจะดูเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย แต่กู่ฉิงซานปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจนแทบจะทำตามจังหวะของเชี่ยนหยาได้ทั้งหมด การแสดงออกแทบไร้ความแตกต่าง
เขาชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆ
ภูตผีเอื้อมมือไปที่โต๊ะ
กู่ฉิงซานหยิบถ้วยขึ้นมา
ตผีปลอบอย่างแผ่วเบา
กู่ฉิงซานกล่าวตามที่นางกล่าว
ภูตผีก้มศีรษะ
กู่ฉิงซานโน้มตัวมาจูบเด็ก
ตอนนี้ เขาคือเชี่ยนหยา
นอกประตู ไม่มีใครส่งเสียง
ในที่สุดเหล่าต้าก็อดพูดออกมาไม่ได้ว่า “ทำไมเขาถึงแสดงได้เก่งขนาดนี้ ปกติแล้ว ในสังคมมนุษย์ เขาไม่น่าจะมีประสบการณ์การเป็นแม่เลยนี่”
ลอร่าไม่อาจควบคุมน้ำตาเอาไว้ได้ นางยังคงเอามือเช็ดหน้าไปมา
นางกระซิบว่า “เพราะเขาเป็นเด็กกำพร้ายังไงล่ะ”
………………………………….