webnovel

0064 นางเซียนไป่ฮั่ว

ตอนที่ 64 นางเซียนไป่ฮั่ว

นี่เป็นเสียงของหญิงรับใช้ในวัง

เห็นได้ชัดว่าเธอเฝ้าจับตาดูอยู่จากภายนอกตลอดเวลา

กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว “ผู้ฝึกยุทธในที่แห่งนี้ดูจากเครื่องแต่งกายและดาบในมือ ก็ล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงตัวตนของผู้ฝึกดาบ ทว่าเกือบทั้งหมดกลับแทบไม่ได้ศึกษาแม้กระทั่งชื่อของวิชาดาบ…อาจเป็นไปได้ว่าเพราะการศึกษาเรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนช่วยใดๆต่อพื้นฐานวรยุทธของพวกเขานั่นเอง”

“อย่างไรก็ตาม บังเอิญว่าฉันเป็นผู้ฝึกดาบ ดังนั้นพอได้ฟังถึงชื่อวิชาดาบที่ผิดแปลกไป ก็พอจะเอะใจได้เล็กน้อย”

รูปปั้นโดยรอบไม่คิดกล่าวอันใด มันเงียบจนน่าแปลกประหลาดใจ

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ในบรรดาวิชาดาบ สกิลดาบไร้คลื่นนั้นเกี่ยวข้องกับลม และสกิลทัณฑ์ปีศาจ ต่างหากที่เกี่ยวข้องกับสายฟ้า ”

“แต่รูปปั้นหนุ่มรูปงามที่บอกว่าตนเป็นผู้ฝึกดาบวิชาดาบไร้คลื่นที่สมควรมีรากวิญญาณเป็นธาตุลม กลับกล่าวว่าตนเป็นผู้ฝึกยุทธธาตุสายฟ้า เขาไม่ได้ปฏิเสธหักล้างคำกล่าวของฉัน ทว่าแน่นอน แค่นี้มันยังคงไม่ชัดเจน”

“นี่คือช่องโหว่แรกเท่านั้น”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและกล่าว “คนต่อไปต่างหาก สวมชุดคลุมยาวที่มีพลังป้องกันทางน้ำและในมือก็กุมดาบที่มีชื่อซวงหนิงน้ำค้างเยือกแข็ง แต่ดันพูดจาน่ารักซะไม่มี”

“น่ารัก? นั่นมันหมายความว่าอย่างไร?” เสียงหญิงรับใช้ดังสวนกลับมา

“ก็เขาเป็นผู้ฝึกดาบที่ใช้วิชาเพลิงพิภพกำเนิดฟ้า ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเพลิงพิภพ นั้นย่อมหมายถึงมีรากวิญญาณธาตุไฟ และหากใช้ออกก็ต้องปลดปล่อยพลังวิญญาณธาตุไฟออกมา แต่ทั้งดาบทั้งชุดของเขากลับเป็นธาตุน้ำ น้ำกับไฟมันย้อนแย้งกัน นี่เขาเป็นพวกเบี่ยงเบนหรืออย่างไร?”

“แต่แรงกดดันของพวกเขาที่ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มกำลังนับว่าค่อนข้างดีทีเดียว เสื้อผ้า อาวุธในร่างกายของพวกเขาก็ล้วนเป็นของจริงเช่นกัน แต่พอกล่าวถึงเรื่องการเสียสละเพื่อมนุษยชาติ เอ? ทำไมถึงไม่กล้าเอ่ยถึงรายละเอียดกันนะ?”

เทวรูปที่เงียบมานาน ในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างช้าๆ และเอ่ยปากออกมา “เรื่องนี้แท้จริงแล้วมีเหตุผล เจ้าจงตั้งใจฟังข้าเล่าอย่างช้าๆ”

แม้ปากจะเอ่ยกับกู่ฉิงซาน แต่กลับส่งสายตาเหลือบมองไปยังเหล่ารูปปั้นผู้ฝึกดาบทั้งหลายแทน

ทันใดนั้นพวกเขาก็จีบมือใช้วิชาลับโดยพร้อมเพรียงและตะโกนก้อง “วิถีเคลื่อนย้ายจากความว่างเปล่าขนาดย่อม!”

วินาทีต่อมา รูนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนพื้นห้องโถงหลัก

“ฮ่าฮ่าฮ่า เวลานี้นับว่าเจ้ายังโชคดีนะเจ้าหนู หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง” เทวรูปหัวเราะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

กู่ฉิงซานมองดูเทวรูปด้วยความสงสาร ‘คิดจริงๆ หรือว่าจะรอดไปจากที่นี่ได้ ?’ แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

พริบตานั้นเอง น้ำเสียงของหญิงสาวที่ฟังดูยิ่งใหญ่และโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้น

“น้อมสวรรค์ซวนหยวน ตาแก่ลูกผสมกล้าที่จะมอบของปลอมให้แก่ข้า! ยามนั้นเห็นว่าเป็นของดีจึงแลกเปลี่ยนตอบแทนด้วยหยกร้อยบุปผา บัดซบ! หากพบกันครั้งหน้า ข้าจะหักขาเจ้า!”

ระหว่างกล่าว รูนบนพื้นดินในโถงก็ดับลงอย่างสมบูรณ์

พร้อมกับด้านบนสุดของห้องโถงหลักที่จู่ๆ ก็ปรากฏหลุมดำที่บิดเบี้ยวขึ้นอย่างกะทันหัน

เทวรูปพร้อมทั้งผู้ฝึกยุทธดาบผู้ลวงโลกทั้งสิบไม่มีเวลามากพอที่จะต้านทานและถูกดึงดูดหายเข้าไปโดยตรง

ทันใดนั้นภาพเบื้องหน้ากู่ฉิงซานก็หมุนติ้วจนเขาปวดหัว ก่อนที่จะถูกแยกออกมาจากห้องโถงหลัก

สองเท้าของกู่ฉิงซานตกลงบนพื้นกระเบื้อง

หญิงรับใช้ยังคงยืนอยู่ที่นั่น ทว่าจอมรกตขนาดใหญ่ได้หายไปแล้ว 

“ขอแสดงความยินดีกับคุณด้วย ดูเหมือนปริศนารายการดาบจะถูกไขออกได้แล้วโดยคุณ” หญิงรับใช้กล่าวด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก

กู่ฉิงซานรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ไม่ดีจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เพียงแค่ประสานกำปั้นโค้งพอเป็นพิธี

หญิงรับใช้ครุ่นคิดอยู่สักพักและกำลังจะเอ่ยปาก แต่ทันใดนั้น จากสุดเส้นขอบฟ้าก็ปรากฏยันต์ที่ลุกไหม้ลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเธอเสียก่อน

หญิงรับใช้เอื้อมมือออกไป

ทันใดนั้นก็ปรากฏเสียงดังขึ้นจากยันต์ที่ลุกไหม้ “โอ้สหายเต๋าเหตุใดจึงโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ ก็เพียงแค่ในช่วงเวลานั้นข้าบังเอิญติดพนันขั้นรุนแรงเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง เลยคิดจะใช้สิ่งดีๆที่มีออกไปจำนอง ข้าไม่ได้คิดหรือวางแผนร้ายอะไรจริงๆ ทว่าตอนนี้ข้ามีสิ่งดีๆ ที่พอจะสามารถชดเชยให้เจ้าได้แล้วนะ มันคือไม้เท้ามนตราเป็นของโบราณพิสัยไกลจากนิกายเม่าหยิน คราวนี้รับประกันได้เลยว่าของจริง หากยังเป็นของปลอมล่ะก็ ขอให้สายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่าข้าในสามวันเจ็ดวัน”

สีหน้าของหญิงรับใช้หม่นทะมึนอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่ง คนที่เอ่ยผ่านยันต์ที่ลุกไหม้กล่าวสาบาน สีหน้าของเธอจึงดีขึ้นเล็กน้อย

สำหรับผู้ฝึกยุทธ พวกเขาจะไม่คิดละเมิดหรือโป้ปดในคำสาบาน มิฉะนั้นคนผู้นั้นก็จะถูกประณาม

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เอ่ยจากปากชายในยันต์ที่ลุกไหม้จะเป็นเรื่องจริง

ไม้เท้ามนตราพิสัยไกลจากนิกายเม่าหยิน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนิกายใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในสมัยบรรพกาล

หากสิ่งนี้เป็นของจริง นั่นหมายความว่ามันคงจะน่าทึ่งไม่น้อย

หญิงรับใช้ส่งเสียงฮึในลำคอก่อนจะเอ่ยกับยันต์ที่ลุกไหม้ “รอบหน้าจะไม่มีการปรานีอีกต่อไป”

กล่าวจบเธอก็คลายมือ ก่อนจะปล่อยให้ยันต์ที่ลุกไหม้สลายไป

เมื่อเธอหันกลับมามองกู่ฉิงซานอีกครั้ง สีหน้าของเธอดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก

“เอาล่ะ ตามฉันพา คุณจะต้องไปพบนางเซียนไป่ด้วยกันกับฉัน”

“ตกลง”

ทั้งสอง หนึ่งนำหนึ่งตาม เดินผ่านโถงทางยาวไปด้วยกัน ข้ามผ่านชั้นบนของวัง และสุดท้ายก็มาถึงห้องโถงหลักในวังหลวงที่นางเซียนไป่พำนักอยู่

“แจ้งให้ทราบ วันนี้รายการดาบสวรรค์มีผู้ผ่านการทดสอบแล้วแล้ว ไปบอกนางเซียนไป่ด้วยว่าเธอคิดเห็นเช่นไร” หญิงรับใช้กล่าว

“รับทราบ”

เมื่อสองหญิงรับใช้หน้าใหม่ได้ฟัง หนึ่งในนั้นก็แยกตัวเดินเข้าไปในห้องโถงหลักอย่างเร่งรีบ หลังจากนั้นไม่นานก็เดินกลับมาอย่างรวดเร็ว

“นางเซียนไป่กำลังว่างพอดี และประกาศว่าจะให้คนแจวเรือเป็นผู้ชมด้วย”

หญิงรับใช้หันไปมองกู่ฉิงซาน หนึ่งมือผายออกและกล่าว “เชิญเข้าพบกับนางเซียนไป่”

“เช่นนั้นฉันจะไปเดี๋ยวนี้” กู่ฉิงซานประสานกำปั้นและกล่าว

หญิงรับใช้ยิ้ม “ฉันอยากจะเตือนคุณไว้ก่อน ว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้านางเซียนไป่ ห้ามโกหกเด็ดขาด มีสิ่งใดที่สมควรพูดก็จงพูด มิฉะนั้นผลพวงที่ตามมา…เกรงว่าคุณเองก็คงจะรู้ดี”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” กู่ฉิงซานเอ่ย

หญิงรับใช้ผงกหัวเล็กน้อย เอนตัวหลบไปด้านข้าง ปล่อยให้กู่ฉิงซานเดินผ่านเข้าไป

กู่ฉิงซานเข้ามายังห้องโถงหลัก ตลอดทางในหัวใจว้าวุ่นและเต็มไปด้วยความคิดมากมายนับไม่ถ้วน

ทันทีที่เขาเข้ามายังอาณาจักรร้อยบุปผา เขาก็สังเกตเห็นถึงสิ่งต่างๆ ที่นางเซียนไป่ฮั่วทำ ไม่ว่าจะด้านดีที่น่าเคารพ หรือด้านร้ายที่น่าตกตะลึง

ทำไมนางเซียนไป่ฮั่วถึงได้ทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างหน้าตาเฉยกันนะ

หรือว่าจริงๆ แล้วนี่มันเป็นวิธีคิดอันสุดโต่งของพวกที่กำลังจะทะลวงผ่านขอบเขตประทับเทพ?

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ กู่ฉิงซานก็เดินมาถึงกลางห้องโถงเสียก่อน

ในห้องโถงเย็นสบาย มีลมโชยที่แฝงไปด้วยกลิ่นหอมที่ดูลึกลับพัดผ่าน

กู่ฉิงซานสูดดมเข้าไปเฮือกหนึ่ง และทันใดนั้นจิตเทวะก็พลันสั่นสะท้าน มันเกิดความผันผวนราวกับจู่ๆ ก็ถูกปลุกให้มีชีวิต

เบนสายตาไปตามกลิ่นหอม จะเห็นแค่เพียงระเบียงสูงที่อยู่ในส่วนลึกของห้องโถง มันถูกประดับประดาไปด้วยรูปสลักของดอกไม้นานาพันธุ์ ที่ทำมาจากหยกนิรันดร์

และหากสังเกตดีๆ จะพบว่าแม้กระทั่งตัวระเบียงทั้งหมดก็แกะสลักขึ้นจากหยกนิรันดร์!

หยกนิรันดร์คือศิลาวิญญาณคุณภาพสูง มันเป็นของล้ำค่าที่ไม่ว่าเมืองใดก็หาซื้อไม่ได้ และเป็นสิ่งที่สมควรถูกกล่าวว่า ได้มาด้วยโชค มิใช่ด้วยการออกไปค้นหา

หยกนิรันดร์ขนาดเท่ากำปั้น สามารถนำไปใช้สนับสนุนค่ายกลป้องกันขนาดยักษ์ได้หนึ่งปี! เทียบเท่ากับการปลดปล่อยพลังวิญญาณออกไปอย่างเต็มกำลังจนหมดสิ้นร้อยครั้งของผู้ฝึกยุทธในขอบเขตก้าวสู่เทพ และมีค่ามากพอที่จะซื้อนิกายเล็กๆ นิกายหนึ่งได้เลย

แต่ ณ ที่นี้ในห้องโถงหลัก ระเบียงทั้งหมดกลับถูกสร้างขึ้นจากหยกนิรันดร์โดยตรง! เหนือระเบียงขึ้นไปยังแกะสลักไว้ด้วยดอกไม้และหญ้าที่แตกต่างกันนับร้อยนับพันสายพันธุ์

ภายในใจกลางของมวลดอกไม้เหล่านั้น ปรากฏดอกไม้ยักษ์ที่กำลังเบ่งบานเต็มที่ เผยให้เห็นถึงบัลลังก์ที่ถูกวางไว้ภายใน

บัลลังก์หมื่นบุปผา

กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ

นี่คือที่นั่งอันทรงเกียรติของนักปราชญ์ นางเซียนไป่ฮั่ว มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เล่นนับไม่ถ้วนถึงกับต้องทุบตีหน้าอกตนเองอย่างเต็มแรง เพื่อหยุดยั้งแรงกระตุ้นแห่งความริษยาในหัวใจ จะได้ไม่กล้ายื่นมือออกไปคว้าจับสิ่งนี้

เหนือบัลลังก์ปรากฏหญิงนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่ เธอสวมเสื้อคลุมสีเขียวมรกต ตรงคอปกร้อยเรียงไปด้วยขนนก ทว่าใบหน้าของเธอกลับถูกบดบังไว้ด้วยชั้นผ้าไหมสีโปร่ง

“เจ้าน่ะหรือคือคนที่เลือกการทดสอบรายการดาบ?” หญิงคนนั้นเอ่ยปากถาม น้ำเสียงกังวานราวกับวิหคนับร้อยกระพือปีกอย่างพร้อมเพรียง

“เป็นผู้น้อย” กู่ฉิงซานกล่าว

“เจ้ามีความรอบรู้ในสกิลดาบที่ดี พลังในการสังเกตก็ยอดเยี่ยม มิได้เสแสร้งเลือกมาส่งๆ เพื่อต้องการจะพบเรานักปราชญ์ นับว่าเป็นความสำเร็จที่ดี” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวผ่านชั้นผ้าไหม

“ขอรับ” กู่ฉิงซานเอ่ยรับ

นี่คือนางเซียนไป่ฮั่วที่ไม่มีใครเคยได้เห็นโฉมหน้าของเธอมาก่อน

เธอคือหนึ่งในสามไตรภาคี ผู้ใดกันเล่าจะกล้าเปิดผ้าคลุมหน้าเธอ?

ด้วยขอบเขตประทับเทพ ในชีวิตก่อนหน้าที่ผ่านมา นับว่าเป็นพื้นฐานวรยุทธที่ไม่มีผู้เล่นคนใดเคยเอื้อมถึง

ไม่เพียงแต่เป็นเพราะในเรื่องของแต้มค่าประสบการณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะการทะลวงสู่ของขอบเขตประทับเทพนั้นไม่ได้พึ่งพาอยู่แต่กับระบบของเกมเพียงอย่างเดียว ทว่าต้องมีความรู้ความเข้าใจในฟ้าดินและวิถีเต๋าที่เพียงพออีกด้วย จึงจะบรรลุขึ้นถึงขอบเขตนั้นได้

กล่าวได้ว่า แม้กระทั่งบางเงื่อนไข กู่ฉิงซานเองก็ยังไม่เคยค้นพบ

ในชีวิตก่อนหน้า กู่ฉิงซานเคยอยู่ในอันดับต้นๆ ของขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นสูงสุด แต่เขาก็ยังไม่อาจค้นพบวิธีทะลวงสู่ขอบเขตประทับเทพได้

และไม่มีผู้เล่นคนใดค้นพบเช่นกัน

เขามองไปยังนางเซียนไป่ฮั่วด้วยความชื่นชม

เหนือขึ้นไปบนห้องโถง เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเพียงจดจ้องแต่ไม่เอ่ยอันใดราวกับหวงแหนคำกล่าวดั่งทองคำ แทนที่จะบันดาลโทสะ ตรงกันข้าม นางเซียนไป่ฮั่วกลับเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา

........................................