webnovel

The virus : ไวรัสสยองล้างโลก

หลังการระบาดของเชื้อไวรัสโควิท-19 ที่ต่อเนื่องยาวนานมาถึงสามสิบปี ในปี ค.ศ.2049 เชื้อไวรัสได้พัฒนาถึงขั้นสามารถควบคุมสมองของสิ่งมีชีวิตได้ พวกมันสามารถครอบครองร่างกายของศพให้กลายเป็นตัวกระหายเลือดที่บ้าคลั่ง ไม่มีวัดซีนหรือยาตัวไหนจะรักษาอาการนี้ได้ ทุกประเทศบนโลกค่อย ๆ ล่มสลายจนหมด รวมถึงประเทศไทยด้วย ปุ๊ ชายหนุ่มอนาคตไกลที่ต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิต ทั้งครอบครัวและคนรัก ต้องเผชิญหน้ากับผู้ติดเชื้อเพียงลำพังในมหานครเชียงใหม่ที่ล่มสลาย เขาจะเอาตัวรอดได้หรือไม่? แพรวา ดาราสาวสวยสุดเซ็กซี่ที่ยังรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้ ต้องเอาชีวิตรอดตามลำพังในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครด้วยตัวคนเดียว หล่อนจะเอาชีวิตรอดท่ามกลางเหล่าผู้ติดเชื้อได้ด้วยวิธีไหน ?...

DaoistAPamSV · Realistis
Peringkat tidak cukup
5 Chs

เพื่อนร่วมทาง

ชายหนุ่มถือไก่ย่างอยู่ในมือ พร้อมกับนั่งอ้าปากค้างกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า เขาพยายามตั้งสติ และถามตนเองว่า นี่เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ ไม่ใช่ภาพหลอนใช่ไหม ที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเป็นผู้หญิงจริง ๆ หรือเปล่า ผู้หญิงตัวเป็น ๆ ที่สามารถจับต้องได้ พูดคุยได้ เขาไม่ได้พบเจอผู้หญิงมาครึ่งปีแล้ว ตั้งแต่เชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ระบาดอย่างหนักในกรุงเทพมหานคร เขาก็ไม่ได้เจอกับผู้หญิงอีกเลย

"ขอนั่งด้วยคนได้ไหมคะ"

หญิงสาวตรงหน้าที่เดินเข้ามาหาเขาเอ่ยถามอย่างสุภาพ เขารีบพยักหน้าด้วยความลนลาน ผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนจริง ๆ ไม่ใช่ภาพหลอน รอยยิ้มบนใบหน้าของหล่อนคล้ายกับประตูสวรรค์ที่เปิดอ้าออกมา เขารู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหลออกมา

"คุณเป็นอะไรคะ ร้องไห้ทำไม"

"ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่ควันมันเข้าตาน่ะ ไม่เป็นอะไรจริง ๆ "

หญิงสาวตรงหน้าส่งยิ้มมาให้เขาอีกครั้ง พร้อมกับหยิบผ้าผืนหนึ่งออกจากกระเป๋า แล้วยื่นให้กับเขา มันเป็นผ้าเช็คหน้าสีฟ้าผืนหนึ่ง

"เอาไปเช็คหน้าเช็คตานะ ฉันชื่อแพรวา คุณชื่ออะไรคะ"

"ผมสุทัศน์ครับ แต่เรียกสั้น ๆ ว่าทัศก็ได้ครับ"

ทัศตอบพร้อมกับเอื้อมมือไปรับผ้าเช็คหน้า นิ้วของเขาเผลอไปสัมผัสกับมือของแพรวา วินาทีนั้นความรู้สึกซาบซ่านประดังเข้ามา ร่างกายของเขาร้อนผะผ่าว รู้สึกว่ามีพลังงานบางอย่างโลดแล่นไปมา คลับคล้ายกับอาชาฝูงหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงอยู่ภายในอกข้างซ้าย ต้องสูดลมหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วงหลายครา

"คุณคะ คุณทัศ เลือกกำเดาคุณไหลออกมาค่ะ"

ทัศสะดุ้งคราหนึ่ง พร้อมกับรีบเอาผ้าเช็คหน้ามาเช็คตรงจมูก เขาเห็นเลือดสีแดงของตนเองอยู่บนผ้าเช็คหน้า เขาปักไม้เสียบไก่ย่างไว้ข้าง ๆ จากนั้นก็รีบลุกขึ้น เงยหน้ามองไปบนฟ้า พร้อมกับใช้มือบีบจมูกตนเอง เพื่อหยุดเลือดกำเดาไม่ให้ไหลออกมาอีก

"วิธีนั้นมันไม่ได้ผลหรอกค่ะ คุณแค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่ในที่ร่มที่อากาศถ่ายเท สูดหายใจเข้าไปอย่างแช่มช้า อย่ากังวล อย่ากังวล เดี๋ยวมันก็จะหายเอง"

ทัศพยักหน้าคราหนึ่ง เขากลายเป็นว่านอนสอนง่าย รีบตั้งสติให้สงบ สักพักเลือดกำเดาก็หยุดไหลเอง เขาพยักหน้าขอบคุณแพรวาคราหนึ่ง แต่เมื่อสังเกตแววตาของหล่อนแล้ว หล่อนไม่ได้จ้องตากับเขา สายตากลับจ้องต่ำลงไปหลายคืบ เมื่อเขาไล่สายของตนเองลงไปก็พบกับสิ่งผิดปกติบางอย่างในร่างกาย น้องชายของเขากำลังคึกคักสุดแรงเกิด มันชูชันออกมาเต็มที่ ปลายของมันดันกางเกงออกมาตึงเปรี๊ยะ เต่งตึงออกมาจนเด่นชัด เขารีบทิ้งตัวลงนั่งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหุบสองขาเข้าหากัน

เสียงหัวเราะคิกคักมาจากแพรวา หล่อนดูจะมีความสุขที่ได้เห็นความลนลานของเขา ดูจากหน้าตาแล้วหล่อนคงจะมีอายุมากกว่าเขาหลายปี แม้จะยังขาว สวย แต่ลักษณะความเป็นผู้ใหญ่นั้นมากกว่าเขาอย่างชัดเจน มองไปมองมาสายตาของเขากลับบรรจบอยู่ตรงหน้าอกของหล่อนจนได้ เขารีบเบี่ยงสายตาไปทางอื่น หากหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องพวกนี้ น้องชายของเขาคงไม่ยอมผ่อนคลายแน่นอน จึงกล่าวออกไปว่า

"คุณแพรวามาคนเดียวเหรอครับ"

"ฉันอยู่คนเดียวมาหนึ่งเดือนแล้ว ก่อนหน้านั้นฉันกับน้องชายและแฟนของเขาหลบอยู่บนตึกหลังหนึ่ง เราสามารถหลบอยู่บนนั้นได้หลายเดือน จนกระทั่งน้ำดื่มและอาหารหมด เราจึงต้องลงจากตึก โชคร้ายที่แฟนของน้องชายถูกผู้ติดเชื้อรุมกัด น้องชายของฉันเข้าไปช่วยแฟนก็เลยโดนกัดตายอีกคน ส่วนฉันต้องวิ่งหนีระหกระเหินมาถึงชุมชนผู้รอดชีวิตแห่งหนึ่ง ที่นั่นไม่มีผู้เชื้อ แต่....แต่ก็ไม่มีมนุษย์ที่มีชีวิตจริง ๆ อยู่เหมือนกัน อยู่ที่นั่นได้ครึ่งเดือนฉันก็ออกมานี่แหละ อันที่จริงเช้าวันนี้เองที่ฉันออกเดินทาง เจอฝูงพวกติดเชื้อ วิ่งหนีมาและก็เจอกับนาย ฉันเล่าจบแล้ว เล่าเรื่องของนายบ้างสิ.."

ทัศนั่งฟังจนเคลิ้ม เมื่อถูกแพรวาถามเขาจึงสะดุ้งคราหนึ่ง จึงว่า

"ของผมเหรอ...ตอนไวรัสกำลังระบาดอย่างหนักเมื่อเจ็ดเดือนก่อน ผมยังคงเป็นนักศึกษาเฟรชชี่อยู่เลย ตอนนั้นวิ่งหนีกันสุดชีวิตเลย.."

ในขณะที่ทัศกำลังเล่าอยู่นั้นก็มีเสียงฝีเท้าเดินมา ทั้งสองหันไปมองก็เจอกับผู้มาสองคน เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สองคน ทั้งสองนั่นดูจะสูงใหญ่กว่าทัศเล็กน้อย แต่ดูจากใบหน้าน่าจะมีอายุมากกว่าทัศหลายปี ทั้งสองตาเป็นประกายเมื่อจ้องมองมายังแพรวา ทำให้แพรวารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

"เฮ้ย ไอ่ทัศเอ็งเจอผู้หญิงด้วยเหรอ สวยด้วยนะเนี่ย ยังสดอยู่ไหมวะ ไปหาเจอได้ยังไง พวกกูออกเดินหาทั้งวันยังไม่เจอแม้แต่เงา เอ็งนั่งย่างไก่เฉย ๆ เสือกมีผู้หญิงมาเสิร์ฟถึงที่ จัดเสร็จแล้วใช่ไหม พวกกูขอบ้างนะ ของขาดมานาน วันนี้จะจัดให้สาสมใจเลย"

คนทางซ้ายมือที่ย้อมผมสีแดงพูดพร้อมกับแสยะยิ้มอันหื่นกระหายออกมา ทั้งสองเดินมาหาแพรวาที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่ง เป้าหมายของพวกมันชัดเจน ผู้หญิงตรงหน้ายั่วยวนเกินกว่าที่จะอดใจได้ ทัศรีบลุกขึ้น เคลื่อนตัวมาขวางทางทั้งสองเอาไว้ กล่าวว่า

"เราเพิ่งเจอกันเอง ขอข้าคุยกับแพรวาก่อน พวกพี่กลับไปก่อน เดี๋ยวผมจะรีบตามไปทีหลัง"

"มึงอย่ามาขวางทางพวกกู นี่เป็นครั้งแรกในรอบหกเจ็ดเดือนที่ได้เจอผู้หญิง ขอมีความสุขให้หนำใจสักครั้งเถอะ มึงหลบไปข้าง ๆ คอยดูต้นทางไว้ หากอยากร่วมวงสนุกด้วยกันก็รอพวกกูเสร็จสมก่อน"

คนผมสีแดงยกมือผลักทัศเซถลา มันเดินเข้าหาแพรวาอย่างรวดเร็ว ทัศเซล้มลงไปข้างกองไฟ เขาหยิบฟืนขึ้นมาท่อนหนึ่ง รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอาฟืนฟาดเข้าไปตรงหลังของคนหื่นกระหายนั้นสุดแรง แต่โชคร้ายที่มันเป็นฟืนผุกร่อนท่อนหนึ่ง มันหักอย่างง่ายดาย คนผมแดงหันกลับมาด้วยใบหน้าโกรธกริ้ว มันยกหมัดขึ้นมาต่อยใส่ใบหน้าทัศหนึ่งที พร้อมกับถีบอีกหนึ่งครั้ง ร่างของทัศกระเด็นไปเกือบสองเมตร ในขณะที่เขากำลังพยายามคืบคลานขึ้นมานั้น น้ำเหนียวข้นจำนวนหนึ่งก็ลอยมากระทบใส่ใบหน้า เมื่อเขาเอามือมาเช็คออกแล้วเหลือบมอง ก็ต้องตกใจสุดขีด นั่นคือเลือดสด ๆ เลือดของมนุษย์แน่นอน

แล้วมันเป็นเลือดของใครล่ะ?

เลือดของเขาใช่ไหม? ไม่ใช่ เขาไม่มีบาดแผลอันใด

เลือดของแพรวาใช่ไหม? ไม่นะ อย่าตายนะแพรวา

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาเห็นร่างของชายที่ทำร้ายร่างกายเขาเมื่อกี้ยืนแข็งทึ่ง แต่ที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจจนต้องร้องอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนกกลับเป็นอย่างอื่น ศีรษะของมันหายไปแล้ว เหลือเพียงร่างที่ยืนแข็งทื่อเท่านั้น เลือดสด ๆ พุ่งออกมาเป็นน้ำพุ ผ่านไปสักพักร่างของมันก็ล้มตึงไปด้านหลัง ร่างของแพรวาปรากฏแก่สายตา หล่อนยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น สองมือกำดาบแนบแน่น แววตาแดงฉาน ผู้ที่สังหารจอมหื่นกลับเป็นแพรวานั่นเอง ดาบซามูไรในมือเป็นเครื่องรับประกัน

เสียงฝีเท้าดังขึ้น ทัศหันกลับไป เขาเห็นชายอีกคนหนึ่งที่มากับผู้ตายได้วิ่งหนี ฝีเท้าของมันเร็วมาก พริบตาเดียวมันก็หายลับตาไปแล้ว ทัศรีบดึงสติกลับมา เขาลุกขึ้นอย่างช้า ๆ จ้องมองไปยังแพรวาที่ยืนสั่นเทาอยู่ เขาเดินเข้าไปหาหล่อนอย่างช้า ๆ ดึงดาบออกจากมือของหญิงสาว พร้อมกับกล่าวว่า

"ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว พวกมันตายแล้ว พวกมันหนีไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเราสองคน เราต้องรีบหนี ก่อนที่มันจะไปตามพรรคพวกกลับมา เราต้องไปจากที่นี่"

"ใช่ ใช่แล้ว เราต้องรีบไป"

แพรวาพูดออกมาอย่างลืมตัว จากนั้นก็เริ่มตั้งสติได้ หล่อนหยิบดาบมาใส่ฝัก พร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ของตนเอง เดินไปหยิบไก่ย่าง แล้วหันมาทางทัศ กล่าวว่า

"ไปทางไหนดี"

ทัศจ้องมองแพรวาด้วยความฉงน สตรีตรงหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนเขารู้สึกทึ่ง เมื่อสักครู่ยังคงตกใจจนตัวสั่นเทา แต่ประเดี๋ยวเดียวกลับกลายทะมัดทแมงกระตือรือร้นจะออกเดินทางแล้ว เขาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

"ไปทางนี้"

ทั้งสองก็ออกเดินทางทันที แพรวาฉีกน่องไก่ให้ทัศหนึ่งข้าง พร้อมกับฉีกให้ตนเองอีกหนึ่งข้าง ทั้งสองเดินทางไป รับประทานไป มิได้เร่งร้อนแต่อย่างใด แม้ว่าทั้งสองเพิ่งจะได้พบกัน แต่ก็เชื่อใจในตัวของกันและกันอย่างเต็มเปี่ยม

.

.

.

.

.

.

ปุ๊นำเพชรกับอ๊อดเดินไปตามริมถนน เลาะข้างทางบ้างเพื่อหลบผู้ติดเชื้อที่มีอยู่ประปราย ในความทรงจำของเขาแถวนี้มีโชว์รูมรถยี่ห้อดังอยู่แห่งหนึ่ง เขาจำได้ว่ามันมีรถหลายประเภท ทั้งกระบะ เก๋ง และรถครอบครัว กุญแจน่าจะอยู่ในโชว์รูม ซึ่งการค้นหานั้นคงไม่ยากมาก หากมีผู้ติดเชื้ออยู่ภายใน พวกเขาเพียงแค่จัดการพวกมันก็เป็นอันสะดวกสบายแล้ว

"ผมอายุยี่สิบสี่ปี พวกเอ็งอายุเท่าไหร่กันแล้ว"

ปุ๊เอ่ยขึ้นมาทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียด แม้ว่าทั้งสามจะตกลงร่วมทางไปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรมากมาย แทบจะไม่รู้ข้อมูลของคนอื่นเลย

"ผมอายุสิบเก้าปีครับ ส่วนอ๊อดอายุสิบแปดปี"

"งั้นเราสองคนขอเรียกพี่ว่าพี่ก็แล้วกันนะครับ"

อ๊อดพูดออกมา คำพูดของมันดูแปลกประหลาดไปบ้าง แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนและสุภาพ เพชรเองก็ส่งเสียงเห็นด้วยคราหนึ่ง ปุ๊หันไปยิ้มให้ทั้งสองเป็นคำตอบ บรรยากาศที่ดูอึดอัด ตอนนี้เริ่มผ่อนคลายแล้ว คนที่ดูจะผ่อนคลายมากกว่าคนอื่นก็คืออ๊อดนั่นเอง ดูจากการที่มันเริ่มเดินเร็วขึ้นเพื่อมาเคียงข้างกับปุ๊ พร้อมกับคำถามที่ประดังเข้ามา

"พี่ปุ๊ออกมาตามหาใครหรือเปล่าครับ ถึงเข้าเมืองที่มีแต่ผู้ติดเชื้อแบบนี้"

"เปล่าหรอก คนทางบ้านติดเชื้อกันหมดแล้ว ผมแค่ออกเดินทางตามหาผู้รอดชีวิต อยู่คนเดียวในที่เดิม ๆ มันรู้สึกเหงาและคิดถึงเรื่องเก่า ๆ เดิมๆ ไม่ชอบบรรยากาศของการวนเวียนอยู่ในความทรงจำเช่นนี้"

อ๊อดพยักหน้าเห็นด้วย ถามต่อว่า

"พี่ปุ๊เคยมีแฟนหรือยังครับ"

ปุ๊หยุดกะทันหัน อ๊อดเองก็ต้องหยุดตาม สิ่งที่พูดออกไปมีอะไรผิดไปหรือเปล่า คำถามนี้ไปจี้ใจดำใส่ความอ่อนไหวภายของรุ่นพี่ใช่ไหม แต่ปุ๊ไม่ได้มองมาที่อ๊อด เขาจ้องไปยังขวามือ กล่าวว่า

"แฟนก็ติดเชื้อไปแล้ว ไม่มีใครเหลือ ... เรามาถึงแล้ว เข้าไปข้างในกันเถอะ"

ด้านหน้าเป็นโชว์รูมรถยี่ห้อดัง เมื่อมองทะลุผ่านกระจกเข้าไปจะเห็นรถตั้งโชว์หลายคัน และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือผู้ติดเชื้อนับสิบที่เดินไปมาอยู่ในโชว์รูมนั้นด้วย ปุ๊ที่สะพายปืนอยู่ด้านหลัง ในมือกลับถือท่อนเหล็กอันเดิม

"เราจะไม่ใช้ปืน เพราะถ้าเกิดเสียงดังจะทำให้พวกนั้นแห่กันมา หยิบท่อนเหล็กหรือไม้มาคนละอัน หวดไปที่ศีรษะของมัน ถ้ามันล้มลงก็ใช้เท้ากระทืบไปที่ศีรษะอีกที อย่าตื่นตระหนกเพราะพวกมันเชื่องช้ากว่าเรา แค่เรามีสติก็สามารถกำจัดพวกมันได้"

เพชรกับอ๊อดไม่ได้นำอาวุธติดมือมาด้วย จึงรีบไปหาอาวุธจากพื้นที่ใกล้เคียง ครู่เดียวทั้งสองก็ได้ไม้มาคนละท่อน เพชรได้ไม้หน้าสามที่แลดูแข็งแรงพอเหมาะมา ส่วนอ๊อดได้กิ่งไม้แห้งขนาดเท่าแขนเด็กมาท่อนหนึ่ง

ปุ๊นำหน้าทั้งสองเข้าสู่บริเวณโชว์รูมรถ ผู้ติดเชื้อคนหนึ่งวิ่งเข้าใส่เขาทันที ท่อนเหล็กในมือของปุ๊กระแทกใส่ขมับมันหนึ่งที ร่างของมันล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ยังไม่ทันที่จะลุกขึ้นมาอีกรอบ เท้าข้างหนึ่งก็เหยียบกระทืบใส่ศีรษะของมันจนแหลกเละ

การสังหารผู้ติดเชื้อรายแรกของปุ๊ ทำให้สองสหายตาสว่าง ที่ผ่านมาทั้งสองตีอย่างสะเปะสะปะ ต้องเปลืองเรี่ยวแรงมหาศาลกว่าจะจัดการผู้ติดเชื้อได้หนึ่งราย แต่วิธีของปุ๊กลับใช้เพียงสองขั้นตอนก็จบเกมแล้ว ทั้งสองเริ่มคันไม้คันมือ อ๊อดจึงย่องเข้าไปหาผู้ติดเชื้อหน้าประตูรายหนึ่ง เขาใช้เวลาครู่เดียวก็มาถึงด้านหลังของมัน กิ่งไม้แห้งในมือหวดใส่ขมับของผู้ติดเชื้อสุดแรง ผลที่ออกมาทำให้ปุ๊กับเพชรต้องร้องอุทานออกมาอย่างลืมตัว

ผู้ติดเชื้อยังคงยืนอยู่ พร้องกับหันหลังกลับมา อ๊อดยืนตะลึงพร้อมกับกิ่งไม้ครึ่งท่อนในมือ อีกครึ่งที่เหลือหักไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ผู้ติดเชื้อนั้นจะกระซวกลำคอของเขา อ๊อดรีบหันหลังวิ่งทันที ระยะห่างระหว่างเขากับเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสองคนจะว่าใกล้ก็ไม่ใช่ จะว่าไกลก็ไม่เชิง เสียงขู่คำรามในลำคอของผู้ติดเชื้อดังตามมาติด ๆ เป็นที่น่าหวาดเสียวนัก

ด้วยความรีบเร่ง จังหวะวิ่งลงบันไดเกิดเหยียบขั้นบันไดผิดพลาด อ๊อดล้มหน้าคะมำกลิ้งไปด้านหน้าสามสี่ตลบ ผู้ติดเชื้อนั้นตามมาติด ๆ ร่างของมันพุ่งตามร่างอ้วนท้วมอย่างหิวโหย ก่อนที่มันจะอ้าปากกะซวกก้นอันอวบอิ่มของอ๊อด หัวของมันก็บิ่นไปข้างหนึ่งแล้ว ไม้หน้าสามในมือของเพชรก็หวดใส่ศีรษะของมันจนยุบไปแถบหนึ่ง นอนดิ้นแด่ว ๆ ไปเลย

"ประมาทเกินไปแล้วเจ้าอ้วน อาวุธที่ดีกว่านี้ไม่มีแล้วเหรอ ดันไปเอาไม้ผุกร่อนมาท่อนหนึ่ง ดีนะที่ไม่โดนมันกัดก้นแหว่งไปข้างหนึ่ง มิฉะนั้นจะนั่งจะนอนก็ลำบากมากแล้ว"

"ก็ไม่นึกว่ามันจะเปราะบางขนาดนั้น ตีทีเดียวหักคามือเลย"

สองสหายเถียงกันอีกตามเคย ปุ๊ไม่ได้สนใจทั้งสองอีก เดินหน้าเข้าประตูไปเลย เมื่อเพชรเห็นดังนั้นก็เดินตามเข้าไปในโชว์รูม อ๊อดยังมองซ้ายมองขวาหาอาวุธอยู่ สายตาก็เหลือบไปเห็นไม้ถูพื้นอันหนึ่ง จึงหยิบมาเป็นอาวุธคู่ใจเสียเลย

พวกเขาทั้งสามช่วยกันกำจัดผู้ติดเชื้อภายในโชว์รูมจนหมดสิ้น เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเล็กน้อยเมื่ออ๊อดใช้ไม้ถูพื้นตีผู้เชื้อแต่ไม่ตาย โดนไล่กัดจนล้มลุกคลุกคลาน สุดท้ายปุ๊ต้องมาช่วยกำจัดผู้ติดเชื้อรายนั้น เมื่อไม่มีผู้ติดเชื้อแล้ว พวกเขาจึงตามหากุญแจรถในโชว์รูม และแล้วพวกเขาก็เจอจนได้ ปุ๊ ลองกดรีโมตดูก็เห็นสัญญาณตอบรับจากตัวรถ เมื่อเจอรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อตามที่ต้องการแล้ว เขาจึงขึ้นที่นั่งคนขับ ลองสตาร์ทดูปรากฏว่าเครื่องติด แต่สิ่งที่ทำให้ปุ๊กังวลกลับเป็นเข็มน้ำมันที่ลงไปถึงขีดแดง ส่งสัญญาณเตือนว่าน้ำมันใกล้จะหมด เขาปิดเครื่องยนต์ พร้อมกับลงจากรถ

"พวกเราต้องลองหาน้ำมันดู ไม่งั้นขับไปได้สักสิบนาทียี่สิบนาทีรถดับแน่"

ทั้งสองรับคำคราหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปตามหาน้ำมันในโชว์รูม เมื่อค้นหาจนทั่วแล้วพวกเขาได้น้ำมันมาได้เพียงหนึ่งแกลอนเล็ก ๆ ปุ๊เติมน้ำมันใส่ตัวรถ แล้วก็ขึ้นที่คนขับ สองสหายก็รีบขึ้นมาเช่นกัน เพชรนั่งข้างหน้า อ๊อดไปนั่งข้างหลังคนเดียว

"เราต้องไปเอาน้ำมันก่อน น้ำมันแค่นี้ไม่พอสำหรับการเดินทางระยะไกล"

"แล้วแต่พี่ปุ๊เลยครับ ว่าแต่พี่จะออกทางไหนเหรอ ตรงทางลงมันมีรถอีกคันหนึ่งขวางเอาไว้อยู่ พี่ไม่ไปเลื่อนรถก่อนเหรอครับ"

อ๊อดรู้สึกสงสัย ปุ๊ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับบอกให้ทั้งสองคาดเข็มขัดนิรภัย เพชรกับอ๊อดรีบทำตาม ปุ๊เหยียบคันเร่งพร้อมกับเข้าเกียร์ รถพุ่งชนใส่กระจกจนแตกกระจาย สองสหายร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ รถพุ่งลงกระแทกใส่พื้นจนทั้งสามกระเด็นกระดอน แต่ไม่ได้ลอยไปไหนเพราะมีเข็มขัดนิรภัยรัดตัวเอาไว้ ปุ๊เหยียบคันเร่งต่อไป รถวิ่งเข้าถนนใหญ่แล้ว มุ่งหน้ากลับไปยังเดอะวันมอล์ล

"ไม่เคยเห็นในทีวีเหรอ โฆษณารถรุ่นนี้บอกว่ามันสามารถรับแรงกระแทกจากการตกจากที่สูงได้สองเมตร ผมจึงขอลองพิสูจน์หน่อย ซึ่งก็นับว่าผ่าน ให้สามผ่านเลยได้ใช่ไหม ตอนจบโฆษณาเซลล์ขายรถยังบอกเลยว่า ทางที่ดีคือทางตรง ฮา ฮา "

สองสหายได้แต่ส่ายหัวไปมา ไม่นึกว่าคนขับรถของตนเองจะบ้าบิ่นได้เช่นนี้ หากพวกมันรู้ก่อนว่าปุ๊จะทดสอบรถแบบนี้ พวกมันคงไม่ขึ้นรถแต่จะไปรออยู่ที่ถนน ซึ่งนั่นหมายความว่ามันปลอดภัยกว่านั่นเอง

รถกระบะสี่ล้อวิ่งไปตามท้องถนนอย่างโดดเดี่ยว หากเป็นเมื่อหกเจ็ดเดือนที่แล้ว บริเวณแถวนี้รถคงวิ่งกันขวักไขว่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว

นครเมืองเชียงใหม่ได้เปลี่ยนไปแล้ว

จะพยายามปล่อยงานมาเรื่อยๆครับ จนกว่าจะไม่มียอดวิว 555

DaoistAPamSVcreators' thoughts