webnovel

The virus : ไวรัสสยองล้างโลก

หลังการระบาดของเชื้อไวรัสโควิท-19 ที่ต่อเนื่องยาวนานมาถึงสามสิบปี ในปี ค.ศ.2049 เชื้อไวรัสได้พัฒนาถึงขั้นสามารถควบคุมสมองของสิ่งมีชีวิตได้ พวกมันสามารถครอบครองร่างกายของศพให้กลายเป็นตัวกระหายเลือดที่บ้าคลั่ง ไม่มีวัดซีนหรือยาตัวไหนจะรักษาอาการนี้ได้ ทุกประเทศบนโลกค่อย ๆ ล่มสลายจนหมด รวมถึงประเทศไทยด้วย ปุ๊ ชายหนุ่มอนาคตไกลที่ต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิต ทั้งครอบครัวและคนรัก ต้องเผชิญหน้ากับผู้ติดเชื้อเพียงลำพังในมหานครเชียงใหม่ที่ล่มสลาย เขาจะเอาตัวรอดได้หรือไม่? แพรวา ดาราสาวสวยสุดเซ็กซี่ที่ยังรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้ ต้องเอาชีวิตรอดตามลำพังในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครด้วยตัวคนเดียว หล่อนจะเอาชีวิตรอดท่ามกลางเหล่าผู้ติดเชื้อได้ด้วยวิธีไหน ?...

DaoistAPamSV · Realistic
Not enough ratings
5 Chs

ผู้ร่วมชะตากรรม

บิ๊กไบค์สีดำคันงามพาปุ๊ไปตามถนนที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม นี่เป็นทางหลวงหมายเลข 108 สายเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน เขาเห็นรถยนต์และมอเตอร์ไซด์จอดสนิทอยู่ข้างทางหลายพันคันตลอดเส้นทาง สภาพตึกสูงใหญ่ที่เสียหายและทรุดโทรมจากแรงระเบิด บ่งบอกให้รู้ว่าเมืองนี้เคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน

ปุ๊เดินทางเกือบสองชั่วโมงจากอำเภอจอมทองมาสู่เมืองเชียงใหม่ ด้วยเศษซากของพาหนะที่ขวางถนนเป็นระยะๆ ทำให้เขาต้องเสียเวลาไปกับการเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางเหล่านี้ไม่น้อย ระหว่างเคลื่อนย้ายพาหนะเหล่านี้เขาก็ต้องลงมือสังหารผู้ติดเชื้อไปไม่น้อยเช่นกัน

ปุ๊จอดรถ..

เขารู้แล้วว่าเหล่าผู้ติดเชื้อตอบสนองต่อเสียง เมื่อเขายิงปืนจะมีเหล่าผู้ติดเชื้อยกโขยงกันมามากมาย ดังนั้นเขาจึงเก็บท่อนเหล็กยาวเกือบเมตรท่อนหนึ่งมาเป็นอาวุธ การตีเข้าบริเวณศีรษะทำให้เหล่าผู้ติดเชื้อหยุดชะงักและสมองหยุดการทำงานกะทันหัน พวกมันจะล้มลงทันที จากนั้นเขาก็จะใช้เท้ากระทืบศีรษะมันจนแหลกเละ เป็นเรื่องแปลกที่กะโหลกของผู้ติดเชื้อเปราะบางมาก แค่เหยียบแรง ๆ ครั้งเดียวก็แตกกระจาย ปุ๊สันนิษฐานว่ามันคงโดนเชื้อร้ายกัดกินจนผุกร่อน

เขาจะจอดทุกครั้งที่เจอปั๊มน้ำมัน เพราะการทำให้น้ำมันเต็มถังตลอดสร้างความอุ่นใจให้กับเขาได้ แต่น้ำมันในปั๊มเหล่านี้เหลือน้อยมาก อาจจะเพราะถูกผู้รอดชีวิตคนอื่นมาเอาไปก่อนหน้านี้หมดแล้ว ปุ๊ส่ายหน้าด้วยอารมณ์หงุดหงิด หากไม่มีน้ำมันเขาก็คงไปไม่ถึงจุดหมายที่วางไว้ นั่นก็คือ เดอะวันมอล์ล

เดอะวันมอล์ล เป็นห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าครบครัน การไปที่นั่นเขาคิดว่าสามารถหาอุปกรณ์ยังชีพได้มากมาย เขาตั้งใจจะหารถยนต์ที่จอดสนิทในลานจอดรถสักคันหนึ่งเพื่อขนสิ่งของแล้วตามหาผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่ในนครเชียงใหม่ เขาเกลียดการอยู่คนเดียว ความโดดเดี่ยวจะทำให้เขาเป็นบ้าอย่างแน่นอน

ปุ๊เดินทางต่อ มอเตอร์ไซด์คู่ใจพาไปข้างหน้า ข้างทางยังคงมีปั๊มน้ำมันอีกหลายแห่ง เขาหวังจะมีสักแห่งที่มีน้ำมันให้กับเขา ข้างทางยังคงมีผู้ติดเชื้อเดินขวักไขว่ไปมา พร้อมกับหันมามองเมื่อปุ๊ขี่รถผ่าน แต่พวกมันก็ทำได้แค่เดินตามมาสี่ห้าก้าว เมื่อเสียงมอเตอร์ไซด์หายไป พวกมันก็เดินเตร็ดเตร่ไร้ทิศทางเช่นเดิม

ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งปรากฏแก่สายตา ปุ๊จอมรถพร้อมกับหยิบแกลอนติดมือมาด้วย ปั๊มน้ำมันอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาจึงต้องเดินข้ามถนนไป แต่บริเวณนี้มีผู้ติดเชื้ออยู่หลายคน การรักษาความเงียบเอาไว้เป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นปุ๊จึงเดินย่องไป บางทีก็หลบหลังรถ บางครั้งก็หมอบ ค่อย ๆ คืบคลานไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า สุดท้ายก็มาถึงปั๊มน้ำมัน เขาเอาหัวจ่ายน้ำมันเสียบเข้าไปในแกลอน เมื่อบีบปุ่มจ่ายน้ำมัน น้ำมันก็ไหลออกมาเอื่อยๆ ใช้เวลาไม่นานก็เต็มแกลอน

ปุ๊เอาหัวจ่ายน้ำมันกลับไปไว้ที่เดิม พร้อมกับย่องกลับไปฝั่งเดิม คราวนี้เขาคล่องแคล่วขึ้น ครู่เดียวก็มาถึงรถมอเตอร์ไซด์ ปุ๊ถ่ายน้ำมันใส่รถจนหมดแกลอน แล้วก็ปิดฝาถัง ในขณะที่เขากำลังเสียบกุญแจอยู่นั้น เขาได้เสียงเดินจากด้านหลัง พร้อมกับเสียงขู่ในลำคอ

ปุ๊รีบหันกลับไปมอง ผู้ติดเชื้อคนหนึ่งก็พุ่งมาใส่เขาอย่างรวดเร็ว ระยะห่างระหว่างเขากับมันห่างกันไม่ถึงเมตร ปุ๊ไม่มีโอกาสได้หยิบอาวุธ จะหลบหนีก็ไม่ทันการณ์ สิ่งเดียวที่ทำได้คือเผชิญหน้ากับมัน

ปุ๊ใช้สองมือจับคอมันเอาไว้ แต่ด้วยแรงพุ่งเข้ามาของเจ้าตัวร้าย ปุ๊เซถอยหลังกระแทกใส่ตัวรถมอเตอร์ไซด์จนล้มคว่ำ สองมือยังคงบีบคอผู้ติดเชื้อเอาไว้

ผู้ติดเชื้อคร่อมอยู่บนตัวของปุ๊ มันพยายามดันหัวของตนเองเขาไปหาตัวของปุ๊เพื่อที่จะกัดกิน ปุ๊เองก็ใช้พละกำลังที่มีอยู่ดันมันออกไป พอได้จังหวะ ปุ๊ก็ใช้สองเท้าดีดใส่ผู้ติดเชื้อพร้อมกับปล่อยมือที่บีบคอมันเอาไว้

ร่างของผู้ติดเชื้อกระเด็นออกไปไกลเกือบสองเมตร ปุ๊รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน จากนั้นคว้าปืนจากข้างรถเอามาถือไว้ พอหันหน้ากลับมา ผู้ติดเชื้อคนนั้นก็พุ่งเข้ามาหาเขาอีกครั้งแล้ว

ปุ๊ใช้สองมือกวาดปืนไปทางเจ้าผีดิบตัวนั้น พร้อมกับลั่นไก ร่างของมันกระเด็นไปครึ่งเมตร ล้มลงไม่กระตุกกระติกอีก

ปุ๊ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เขารอดตายอย่างฉิวเฉียด หากไม่เคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมาก่อน รับรองว่าเมื่อกี้เขาถูกฆ่าไปแล้วแน่นอน

เขารีบสลัดความตระหนกและความคิดฟุ้งซ่านออกไป หันไปพยุงรถมอเตอร์ไซด์ขึ้นมา โชคดีที่มันไม่เป็นอะไรมาก เมื่อเขากดปุ่มสตาร์ตเครื่องมันก็ติดทันที พร้อมกับการที่เขาเร่งเครื่องจากไป กลุ่มผู้ติดเชื้อนับร้อยก็ทยอยแห่กันมา

ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เขาก็มาถึงจุดหมาย เดอะวันมอล์ล ปรากฏแก่สายตา แต่มันอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาจอดรถมอเตอร์ไซด์เอาไว้ พร้อมกับเดินย่องไปยังฝั่งตรงข้าม เสียงรถทำให้พวกผู้ติดเชื้อตื่นตัวและมาเดินทางเขา

ปุ๊มาถึงทางเข้าห้างอย่างง่ายดาย ความทรงจำมากมายถูกรื้อฟื้น เขาเคยมากินอาหารญี่ปุ่นที่นี่ เคยมาซื้อของกับแฟนสาวที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน เคยพาพ่อแม่และน้องมากินไก่ทอดชื่อดังในห้างแห่งนี้มาหลายรอบ เคยมาเดินเล่นกับเพื่อนบ่อย ๆ แต่วันนี้เขาต้องมาคนเดียว พร้อมกับความน่าสะพรึงกลัวที่รออยู่ข้างใน

เขาใช้สายตาสอดส่องผ่านกระจกใสเข้าไปข้างใน ไม่มีวี่แววของผู้ติดเชื้อ มันเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ในความคิดของเขาในห้างต้องเต็มไปด้วยผู้ติดเชื้อเดินไปเดินมาขวักไขว่ แต่นี่กลับไม่เห็นแม้แต่คนเดียว สำหรับคนอื่นอาจจะโล่งใจ แต่สำหรับปุ๊แล้วเรื่องราวกลับน่าสงสัย มันต้องมีอะไรมิชอบมาพากลแน่นอน

ปุ๊สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป เขาผลักประตูกระจกเข้าไปข้างใน ดึงรถเข็นที่ใช้ในห้างมาคันหนึ่ง เขาเข็นมันไปตามทางเดินแวะหยิบของที่ต้องการคล้ายคนมาช้อปปิ้งในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่บรรยากาศดูน่าวังเวง เพราะทั้งห้างเงียบสนิท ได้ยินแต่เสียงล้อรถเข็นบดกับพื้นดังสะท้อนไปมา

ปุ๊มาถึงร้านขายนาฬิกายี่ห้อดัง เขาใช้ปืนทุบกระจกแตก หยิบนาฬิกาทรงสวยราคาแพงหลายเรือนมาวางเรียงกัน

"เมื่อก่อนทำงานแทบตาย ยังไม่มีปัญญาซื้อมาใช้ แต่ดูตอนนี้สิ กลายเป็นของไร้คนสนใจ แต่ไม่ต้องเสียใจนะเจ้านาฬิกา ผมจะดูแลคุณเอง"

พูดจบก็เลือกนาฬิกาเรือนหนึ่งมาสวมใส่บนข้อแขนซ้าย แล้วกวาดอีกสี่เรือนที่เหลือใส่รถเข็น จากนั้นหยิบจากในตู้มาอีกสองเรือน รวมทั้งหมดเจ็ดเรือน เขาตั้งใจไว้ว่าจะใส่วันละหนึ่งเรือนเหมือนไฮโซดัง ๆ บางคนกระทำในยุคที่โลกยังคงปกติ

ปุ๊ใช้เวลากว่าสามชั่วโมงในการค้นหาของที่จำเป็นต่อการอยู่รอด อาหารแห้ง อาหารกระป๋อง น้ำดื่ม ไฟฉาย เสื้อผ้า รองเท้า มีดชนิดต่าง ๆ และอีกมากมาย จนเต็มรถเข็นสามคัน นี่เป็นคันที่สี่แล้วที่เขาเข็นออกมาหาของ ตอนนี้เขาบังเอิญมาหยุดอยู่ตรงที่ลานเกม สวนสนุกสำหรับเด็ก ๆ เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นจุดเล่นเกมชู้ตบาส ทุกครั้งที่เขามาที่นี่เป็นต้องมาเล่นตลอดถ้ามีเวลา

ปุ๊วางปืนในรถเข็นแล้วเดินเข้าหยิบลูกบาสมาถือไว้ เขาเคยทำคะแนนได้สูงสุดมาแล้วหลายครั้ง หากเขากลับมาครั้งถัดไปแล้วมีคนทำคะแนนได้มากกว่า เขาจะต้องเล่นจนสามารถทำคะแนนได้สูงสุดอีกครั้ง บางครั้งเขาเสียเงินเป็นพันกว่าจะทำคะแนนได้สูงสุด

เขาบรรจงชู้ตลูกบาสใส่ห่วง น่าเสียดายที่ลูกแรกพลาดเป้า เสียงบ่นด้วยความเสียดายดังขึ้น นี่เป็นธรรมชาติของคนเอาจริงเอาจริงเช่นเขา จากนั้นชู้ตลูกที่สองเข้าห่วง ลูกที่สาม สี่ ห้า หกไม่พลาดเป้า เมื่อได้เริ่มต้นแล้ว เขาก็หยุดไม่ได้ ชู้ตลูกบาสเข้าห่วงบ้าง พลาดบ้าง จนเวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วโมง เขาจึงรู้ตัวว่าเสียเวลาไปมากแล้ว เขายังต้องหารถสักคันหนึ่งเพื่อเดินทางต่อไปยังตัวเมืองเชียงใหม่

เขาเดินกลับไปที่รถเข็น ขณะที่กำลังจะเข็นรถเข็นต่อไปนั้น ก็ต้องผวาตกใจสุดขีด ปืนที่วางไว้ในรถเข็นได้อันตรธานหายไปแล้ว เขาจำได้ว่าวางมันไว้ที่ไหน แต่อยู่ ๆ มันจะหายไปเองได้อย่างไร มันต้องมีคนเอาไปแน่นอน

"ยืนนิ่ง ๆ ตรงนั้นแหละ เอามือไว้บนหัวด้วย ไม่งั้นกูยิง"

เสียงมาจากทางซ้ายมือ เมื่อปุ๊หันไปมองก็เจอชายหนุ่มสองคน คนแรกรูปร่างผอมสูง คิ้วหนา ตาโต ใบหน้าของมันซูบผอมไปเล็กน้อย อายุราว ๆ สิบแปดสิบเก้าปี ในมือของมันถือปืนอยู่ พร้อมกับเล็งมาทางเขา ปุ๊จำได้ว่านี่เป็นปืนของตนเอง ทางซ้ายมือของมันเป็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง รูปร่างค่อนไปทางอ้วน เตี้ยกว่าคนที่ผอมครึ่งศีรษะ ในมือของมันมีขวานอันหนึ่ง

"ยกมือขึ้น เอาไว้บนหัว"

คนรูปร่างผอมตวาดพร้อมกับวาดปืนไปมา ปุ๊กลัวมันจะทำปืนลั่น จึงบอกให้มันใจเย็น พร้อมกับยกสองมือวางไว้บนหัว

"ไอ่อ๊อดมัดมันด้วยเชือก และหากุญแจรถมอเตอร์ไซด์มาด้วย"

คนที่มีรูปร่างอ้วนหยิบเชือกมาถือไว้ในมือซ้าย มือขวายังคงกำขวานไว้แน่น พร้อมกับเดินมาทางปุ๊ด้วยความระแวง ท่วงท่าเดินเลยดูตลกไปบ้าง

ปุ๊เห็นครั้งแรกก็ล่วงรู้ถึงฝีมือของคนอ้วนผู้นี้แล้ว เขามั่นใจว่าสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่ปัญหาติดอยู่ตรงที่ชายหนุ่มผอมสูงคนนั้นถือปืนคุมเชิงอยู่ ถ้ามันลั่นไก ด้วยระยะห่างแค่สามเมตร เป็นเรื่องยากที่ปืนลูกซองจะยิงพลาดเป้า

คนชื่ออ๊อดขยับร่างเข้ามาด้วยความระแวดระวัง มันเดินอ้อมมาทางด้านหลัง พร้อมสั่งปุ๊ให้เอามือไขว้หลังเอาไว้ จากนั้นมันก็เข้ามาประชิด วางขวานไว้ข้าง ๆ เริ่มใช้เชือกมันแขนของปุ๊ด้วยความลนลาน

ยังไม่ทันที่อ๊อดจะมัดเชือกให้แน่น ปุ๊ดึงกระชากมือครั้งเดียวก็หลุดออกจากเชือก จากนั้นก็ใช้มือซ้ายจับแขนอ๊อด กระชากร่างอวบอ้วนเขามาหาตนเอง ใช้แขนขวาล็อคคอมันไว้ให้ร่างมันหันไปทางปลายปืน มือซ้ายก็เลื่อนไปหยิบขวานมาจ่อตรงคอของอ๊อด นี่เป็นแผนการที่ปุ๊วางไว้ตั้งแต่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้เชือกมัดพันธนาการเขา วิธีการแบบนี้มันอยู่ในชั่วโมงเรียนศิลปะการป้องกันตัวที่เขาเคยเรียนมา

"ไอ่เพชรช่วยกูด้วย"

อ๊อดพยายามดิ้นรนอย่างหนัก แต่แขนขวาที่ทรงพลังของปุ๊ล๊อคคอมันไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก

"มึงปล่อนเพื่อนกูเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูยิงจริงๆ ด้วย"

คนผอมสูงที่ชื่อว่าเพชรตวาดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาสับสน ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรต่อไป ปุ๊ลากร่างอ๊อดถอยห่างออกไป พร้อมกับต่อรองว่า

"วางปืนในมือลง แล้วกูจะปล่อยเพื่อนมึง"

"มึงปล่อยเพื่อนกูก่อน แล้วกูจะไม่ทำอะไรมึง"

ปุ๊เห็นว่าเพชรมือไม้สั่นอย่างหนัก ไม่คล้ายกับโจรมืออาชีพเลย และกลัวมันจะเผลอลั่นกระสุนออกไป จึงว่า

"กูไม่ได้ต้องการทำร้ายพวกมึง ขอแค่มึงวางปืนลง แล้วถอยห่างออกไปสิบก้าว กูจะปล่อยเพื่อนของมึง พร้อมกับให้กุญแจรถมอเตอร์ไซด์กับมึงด้วย"

"กูไว้ใจมึงได้เหรอ"

ปุ๊สังเกตใบหน้าของเพชร รู้สึกว่ามันเริ่มคล้อยตามข้อเสนอของเขา แต่ยังคงระแวดระวังตัวอยู่ จึงว่า

"กูมาคนเดียว แค่มาหาของจำเป็นเท่านั้น ไม่ได้จะมาทำร้ายใคร กูไม่เคยฆ่าคนมาก่อน และวันนี้ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ต้องทำเช่นนั้น มึงแค่วางปืนลง แล้วถอยหลังไปสิบเก้า กูก็จะปล่อยเพื่อนมึงพร้อมกับกุญแจรถมอเตอร์ไซด์"

"กูเชื่อใจมึงได้เหรอ"

"เชื่อมันเถอะ ไม่งั้นกูตายแน่ ช่วยกูด้วย ๆ "

อ๊อดพยายามดิ้นรนอีกครั้ง แต่มันก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี เพราะพละกำลังของมันเริ่มไม่มีแล้ว แรงดิ้นน้อยกว่าเดิม ปุ๊แทบจะไม่ต้องเพิ่มแรงล็อคแต่อย่างใด

"เอาอย่างนี้กูจะแสดงความบริสุทธิ์ใจก่อน เดี๋ยวกูจะโยนกุญแจรถให้มึง มึงหยิบกุญแจรถไปแล้วทิ้งปืนเอาไว้ จากนั้นกูจะปล่อยเพื่อนมึง"

เพชรลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นเหมือนจะตัดสินใจได้ จึงพยักหน้าครั้งหนึ่งเป็นการตอบตกลง ปุ๊ล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบกุญแจรถออกมา พร้อมโยนไปที่แทบเท้าของเพชร พอกุญแจอยู่แทบเท้า มันจึงก้มลงไปหยิบกุญแจรถขึ้นมา เมื่อได้กุญแจรถมาแล้วก็วางปืนลง พร้อมกับถอยห่างไปสิบก้าวตามคำขอของปุ๊

เมื่อเห็นแบบนั้น ปุ๊เหวี่ยงร่างอ้วนฉุของอ๊อดไปทางด้านหลัง พร้อมกับพุ่งตัวไปหาปืนทันที เพชรเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปดูเพื่อนที่ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า พยุงมันให้ลุกขึ้นแล้วพากันวิ่งหนี แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ขาของอ๊อดสะดุดกับบางอย่างทำให้มันล้มกลิ้งไม่เป็นท่า หัวกระแทกพื้นอยู่ในสภาพสะลืมสะลือ เพชรไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดี จะให้วิ่งหนีไปคนเดียวก็ห่วงเพื่อน จะให้แบกเพื่อนไปก็คงไม่ไหวเพราะน้ำหนักต่างกันมาก จึงยืนหันซ้ายหัวขวาอยู่กันที่แบบนั้น

ปุ๊ถือปืนอยู่ในมือแล้ว เขาหันไปทางสองสหาย พร้อมกับเดินเข้าหาพวกมัน เขาชี้ปลายปืนไปที่เพชร พร้อมกับสั่งด้วยน้ำเสียงดุดันว่า

"นั่งลง"

"ไหนมึงว่าจะปล่อยพวกกูไปไง จะไม่ทำร้ายกันไง คำสัญญาที่ตกลงกันไว้ล่ะ"

"กูบอกให้นั่งลง ไม่งั้นกูยิง"

เพชรรีบนั่งลงทันที ชีวิตของพวกมันอยู่ในมือของชายตรงหน้าแล้ว จากที่คิดปล้นรถมอเตอร์ไซด์ของผู้อื่น ตอนนี้กลายเป็นเนื้อบนเขียงรอให้ผู้อื่นเชือดเฉือนได้ตามใจ

ปุ๊ลากกล่องที่อยู่บริเวณนั้นมาใบหนึ่ง พร้อมกับกระแทกก้นนั่งลงบนกล่องนั้น กวักมือให้เพชรขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม เมื่อเพชรขยับตัวมาถึงตำแหน่งที่ต้องการ เขาก็สั่งให้หยุด พร้อมกับกล่าวว่า

"กูจะถาม มึงตอบ ถ้าโกหก กูยิง ตกลงไหม"

เพชรกลายเป็นว่านอนสอนง่าย ผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง เมื่อปืนอยู่ในมือฝั่งตรงข้าม มันก็ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง แม้ว่าจะรู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้ความได้เปรียบที่มีตอนแรกสลายไป เพียงเพราะความอ่อนต่อโลก ไร้ประสบการณ์ จึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

"พวกมึงเป็นใคร มาจากไหน และมีทั้งหมดกี่คน"

ปุ๊ถามย้ำไปทีละคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ ตอนนี้ใบหน้าของเขานิ่ง แววตาเย็นเยียบจนน่ากลัว ลำตัวที่ตั้งตรงดุจทวนเสมือนบอกใบ้กับเพชรว่ายอมหักไม่ยอมงอ ตอนนี้เขาคล้ายกับตำรวจผู้หนึ่งกำลังสอบสวนผู้ร้ายอยู่ บรรยากาศตึงเครียดกว่าเดิม

"พวกเราเป็นคนเชียงใหม่นี่แหละ ตอนที่คนอื่นกลายเป็นผู้ติดเชื้อ พวกเรายังไม่ได้มาเจอกัน ต่างคนต่างหลบหนี จนวันหนึ่งเรามาเจอกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไปไหนมาไหนด้วยกันมาตลอด มีกันสองคนนี้แหละ ไม่มีคนอื่นแล้ว"

"ทำไมถึงอยากได้รถกู"

ปุ๊จ้องตาเพชร เขาไม่คิดว่าชายตรงหน้าผู้อ่อนด้อยจะโกหก เด็กหนุ่มตรงหน้าทั้งสองคนล้วนอ่อนต่อโลก มิเช่นนั้นแล้วเขาคงไม่ได้อยู่ในสภาพมีเปรียบเช่นนี้

"มีชุมชนผู้รอดชีวิตอยู่ที่สวนพฤกษศาสตร์พืชสวนโลกเก่า พวกเราได้รับเสียงสัญญาณวิทยุ พวกเขากำลังเชิญชวนให้พวกเราไปหา แต่พวกเราไม่มีพาหนะเดินทางไป หากเดินไปคงถูกพวกติดเชื้อกัดกินก่อนแน่นอน จึงต้องมา...มาเอารถของแก"

"รถมีตั้งเยอะตั้งแยะ เกลื่อนกลาดทั้งข้างทาง ในบ้าน และในห้าง ทำไมไม่เอาไปขับ จะมาแย่งรถกูทำไม"

"มันหากุญแจยาก น้ำมันก็หายาก เลย..."

ปุ๊ได้แต่ส่ายหัวไปมา เขารู้สึกเหลือเชื่อต่อการอ่อนต่อโลกของพวกมันทั้งสอง แต่คำพูดของเพชรก็ทำให้ปุ๊มีความหวัง คำ ชุมชมผู้รอดชีวิต ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น แต่ก็ยังทำเป็นหน้าเข้ม กล่าวว่า

"แล้วตอนนี้พวกมึงจะไปกันต่อยังไงถ้าไม่มีรถมอเตอร์ไซด์"

"เอ่อ...ก็คงต้องรถมาให้ได้ แล้วเดินทางไปยังชุมชนผู้รอดชีวิต"

ปุ๊ถอนหายใจคราหนึ่ง พร้อมกับยืนขึ้น แหงนหน้ามองฟ้า แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือเพดาน เขาอมยิ้มพร้อมกับส่ายหัวคราหนึ่ง กล่าวว่า

"กูสามารถหารถยนต์มาได้ พวกมึงจะไปกับกูไหมล่ะ"

"ไป ๆ ๆ "

เสียงตอบมาจากอ๊อดที่เมื่อกี้อยู่ในสภาพสะลืมสะลือ เพชรหันไปมองหน้าเพื่อนอย่างงุนงง กล่าวว่า

"เอ็งฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็นึกว่าอาการหนักจนปัญญาอ่อนไปแล้ว หรือว่าที่จริงแล้วเอ็งไม่ได้เป็นอะไรเลย แค่ปอดแหกจนเป็นลมไป"

"เปล่านี่ กูเพิ่งฟื้นขึ้นมาตอนเขาถามว่า 'ทำไมถึงอยากได้รถกู' มึงมัวแต่คุยกับพี่เขาเลยไม่ได้สังเกตกูที่กำลังลืมตาขึ้นมา ว่าแต่มึงไม่เอาด้วยเหรอ ไปกับพี่เขาน่าจะปลอดภัยกว่านะ"

"กูก็เอาด้วย แต่กูแค่แปลกใจที่มึงฟื้นขึ้นมาง่ายดายถึงเพียงนี้ รู้แบบนี้กูหนีเอาตัวรอดคนเดียวไปแล้ว"

ปุ๊ส่งเสียงกระแอมคราหนึ่ง ทำลายบรรยากาศการคุยกันของสองโจรอ่อนหัด ทั้งสองหันมามองปุ๊ด้วยแววตาคาดหวัง ท่ามกลางขุมนรกที่เต็มไปด้วยฝูงผู้ติดเชื้อ หากสามารถหาที่พึ่งพิงได้ ใครเล่าจะปล่อยให้หลุดพ้นไป ทั้งสองจึงตกลงใจไปกับปุ๊ทันที

"ถ้าพวกมึงจะไปกับกู ต้องถือกฎสามข้อนะ หนึ่งเชื่อฟังกู สองห้ามทำอะไรโดยพลการ ต้องปรึกษากูก่อน และสามห้ามแอบกินเสบียง"

ทั้งสองพนักหน้างึก ๆ เป็นคำตอบ ปุ๊จึงเดินไปที่รถเข็น หันไปทางสองสหาย กล่าวว่า

"เข็นรถเข็นแล้วตามกูมา"

ทั้งสองกลายเป็นว่านอนสอนง่าย เดินไปเข็นรถเข็นไปตามปุ๊ที่เอาปืนพาดไหล่เดินนำหน้าไปยังจุดหมาย

.

.

.

.

.

บนท้องถนนที่เต็มไปด้วยซากยานพาหนะ สุภาพสตรีผู้หนึ่งกำลังย่างเท้าเดินอย่างปลอดโปร่ง หล่อนไม่สนใจไยดีผู้ติดเชื้อที่เดินไปมาอยู่ประปราย ในมือซ้ายของหล่อนยังถือดาบซามูไรเล่มหนึ่ง ดาบที่เปรอะเปื้อนเลือดสีดำของผู้ติดเชื้อ สุภาพสตรีผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแพรวา

ผู้ติดเชื้อคนหนึ่งกำลังเดินปรี่เข้าหาหล่อน แพรวาสะบัดดาบใส่มันคราหนึ่ง หัวของผู้ติดเชื้อนั้นหลุดออกจากตัว ตกลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นถนน ฝีมือการฟันดาบของหล่อนอยู่ในระดับชำนาญ แม้ว่าผู้ติดเชื้อจะกระดูกกร่อน ไม่แข็งแรงเหมือนคนปกติ แต่การสะบัดดาบใส่คราเดียวแล้วสามารถตัดคอขาดได้นั้น จำเป็นต้องผ่านการฝึกฝนมาไม่น้อย

"เฮ้อ เมื่อไหร่จะเจอผู้รอดชีวิตคนอื่นเสียที เดินมาครึ่งค่อนวันแล้วเนี่ย ไม่มีแม้แต่เงาผู้คน หรือทั้งประเทศนี้เหลือเพียงฉันคนเดียว"

หล่อนบ่นกับตนเอง และตะโกนออกไปสุดเสียงคราหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเสียงของหล่อนจะนำพาเหล่าผู้ติดเชื้อมา แต่ด้วยความมั่นใจในอาวุธที่มีอยู่ในมือ จึงไม่ได้เกรงกลัวเหล่าผู้ติดเชื้อเท่าที่ควร และเป็นไปตามที่คาดคิดไว้ เหล่าผู้ติดเชื้อนับสิบจากหลายทิศทางกำลังปรี่เข้าหาแพรวา

แพรวารอให้ตัวแรกเข้ามาใกล้ หล่อนตวัดดาบผ่าหัวมันออกเป็นสองซีก ใช้เท้าถีบร่างมันกระเด็นไปไกลเกือบวา แล้ววกดาบกลับไปฟันคอตัวที่สองที่กำลังจะเข้าประชิดหล่อนจนคอขาด จากนั้นกวาดดาบไปฟันตัวที่สามที่มาจากข้างหลังจนหัวของมันขาดครึ่ง สมองสีดำไหลย้อยออกมาดูน่าสะอิดสะเอียน

แพรวาลงมือสังหารต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ถึงสิบนาทีก็สังหารไปยี่สิบห้าคนแล้ว แต่ผู้ติดเชื้อก็ไม่ลดจำนวนลงเลย กลับทยอยมาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก หล่อนเริ่มมือไม้ปั่นป่วน เพราะเรี่ยวแรงที่มีเริ่มถดถอย หล่อนเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง แม่จะเก่งกาจแต่ก็มีเรี่ยวแรงจำกัด เมื่อคิดได้ว่าคงกำจัดได้ไม่หมด แพรวาก็เริ่มคิดถึงวิธีที่ดีที่สุดในสามโลก นั่นก็คือการหลบหนี

เมื่อคิดได้ดังนั้น แพรวาก็ไม่รอช้า หล่อนเบี่ยงตัวไปทางขวา ฟาดฟันผู้ติดเชื้อล้มลงไปสองคน จากนั้นก็ออกตัววิ่งทันที หล่อนเป็นนักวิ่งที่ดีคนหนึ่ง สามารถหลอกล่อ หลบซ้ายเลี่ยงขวาได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้ติดเชื้อที่ขวางทางไม่อาจแตะตัวหล่อนได้

หล่อนวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง ก็สังเกตได้ว่าพวกผู้ติดเชื้อไม่มีท่าทีจะลดลง แต่คล้ายกับว่าเพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก จึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ซอยหนึ่ง หล่อนคิดว่ามันจะทำให้ผู้ติดเชื้อบางส่วนหาหล่อนไม่เจอ การวิ่งในซอย ๆ เล็ก ๆ กลายเป็นเรื่องสนุกสำหรับหล่อน เพราะด้วยรูปร่างอันบอบบางและปราดเปรียวสร้างความคล่องตัวได้มากโข ผู้ติดเชื้อที่ตามมาเริ่มน้อยลง ทางข้างหน้าก็เหมือนจะไม่มีเหล่าผู้ติดเชื้อแล้ว

แพรวาเริ่มชะลอฝีเท้า การวิ่งต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง ทำให้ร่างกายอ่อนล้าไม่น้อย ต้องหอบหายใจอย่างต่อเนื่อง หล่อนเหลียวซ้ายมองขวา ก็รู้สึกว่าตนเองหลงทางเสียแล้ว สถานที่รอบ ๆ ตัวล้วนไม่เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา หล่อนจำไม่ได้ว่ามันเป็นส่วนไหนของเมืองกรุงแห่งนี้

แพรวาหยิบเหรียญบาทออกมาเหรียญหนึ่ง บางทีการโยนเหรียญเลือกทิศทางไปต่ออาจเป็นวิธีสุดท้ายสำหรับบางคน แต่สำหรับแพรวาแล้ว หล่อนใช้วิธีนี้บ่อย ๆ สมัยโลกยังไม่ล่มจม เวลาที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเล่นละครเรื่องไหน หล่อนก็จะใช้วิธีโยนเหรียญเอา มันอาจจะเป็นวิธีที่ค่อนข้างไร้เหตุผลและดูสิ้นคิด แต่มันก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในบรรดาทางเลือกทุกสาย

แพรวาดีดเหรียญในมือลอยขึ้น เมื่อมันตกลงมาบนฝ่ามือของหล่อน มันออกด้านหัว

"ต้องไปข้างหน้าสินะ"

หล่อนดีดเหรียญขึ้นไปอีกครั้ง ที่นี้เหรียญออกก้อย แพรวาหันไปมองมางซ้ายมือ ยิ้มออกมาอย่างลืมตัว พลางกล่าวว่า

"ไปทางซ้ายกัน ดูสิว่าโชคชะตาจะนำพาไปไหน"

แพรวาเดินไปตามตรอกซอยที่มีมากมาย สถานที่แห่งนี้น่าจะเคยเป็นสลัมมาก่อน ดูจากสภาพบ้านที่ค่อนข้างเก่าและอยู่ติดกันอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบ มีการพ่นสีละเลงภาพวาดบนกำแพงเกือบทุกที่ สภาพบรรยากาศเงียบสงบ ไร้วี่แววผู้ติดเชื้อ ที่น่าตื่นตาตื่นใจกลับกลายเป็นการที่น้ำในลำคลองเริ่มใสสะอาดแล้วคงเป็นเพราะไม่มีผู้ใดมาทิ้งสิ่งสกปรกลงไปอีก จึงทำให้สิ่งแวดล้อมกำลังฟื้นฟูตัวของมันอยู่

แพรวาไม่เคยมาในสถานที่แบบนี้ หล่อนเติบโตในครอบครัวที่มีฐานะ ได้ร่ำเรียนในโรงเรียนเอกชนชื่อดัง เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของประเทศ ประกวดนางงามจนได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง แมวมองติดต่อให้ไปแสดงละครหลังข่าว กลายเป็นนางเอกดาวรุ่งที่มีผลงานออกมาไม่ขาดสาย ทั้งชื่อเสียงและความสวยงามทำให้ชายหนุ่มมากหน้าหลายตาตามขายขนมจีบ แต่น่าเสียดายที่หล่อนมีแนวคิดไม่เหมือนคนทั่วไป หล่อนอยากเก็บเงินสักก้อน หาซื้อที่ดินสักผืนในต่างจังหวัดที่ห่างไกล ทำสวนผลไม้ ปลูกข้าวทำนา หาสามีที่ดีสักคน ใช้ชีวิตอย่างสงบที่บ้านนอกอย่างสบายใจ แต่โลกกลับไม่รอให้ความฝันของแพรวาเป็นจริง เชื้อไวรัสโควิท-19 ทำให้โลกมนุษย์ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองสุดขีดต้องล่มสลายในช่วงเวลาไม่กี่สิบปี แม้ว่าหล่อนจะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับสถานการณ์ที่โรคนี้กำลังระบาด แต่ก็ยากที่จะทำใจได้ หล่อนถวิลหาโลกใบนี้ ก่อนที่จะเกิดโรคระบาด มันช่างดีเหลือเกิน

ในขณะที่แพรวากำลังเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น เขาเห็นควันไฟลอยพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้า แม้จะเป็นควันไฟเพียงน้อยนิด หล่อนก็จำได้ว่ามันเป็นควันไฟ ซึ่งน่าจะอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยกว่าเมตร แพรวารีบพุ่งตัวไปยังควันไฟนั้น ความฝันที่จะพบผู้รอดชีวิตกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

แพรวาเริ่มชะลอฝีเท้าเมื่อมาใกล้ถึง หล่อนเองก็ต้องระวังตัว หากพบเจอคนชั่วช้าอาจจไม่ได้มีความสุขอย่างที่วาดหวังไว้ก็ได้ หล่อนเดินอ้อมต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วมองไปยังกองไฟที่อยู่ห่างออกไปสามสิบเมตร ชายผู้หนึ่งหันหลังให้หล่อน เขากำลังถือไม้ที่มีไก่ย่างตัวหนึ่งเสียบอยู่ กลิ่นหอมของไก่ย่างลอยมาแตะจมูกแพรวา

"ผู้ชาย ผู้....ชาย ในที่สุดก็หาจนเจอ น่ากินมาก น่ากินจริง ๆ น่ากินจนน้ำลายไหล ไก่ในมือของเขาน่ากินจริง ๆ "

แพรวาเผลอกระซิบออกมาอย่างลืมตัว หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะเดินเข้าไปผู้ชายตรงหน้า ไม่ว่ามันจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว หล่อนก็จะเข้าไปทักทายมัน บางทีการอยู่คนเดียวมานานเกินไปทำให้หล่อนรู้สึกโดดเดี่ยว หากมีคนที่สามารถพูดคุยโต้ตอบกันได้ คงมีความสุขไม่น้อยแน่นอน

แพรวาเดินออกจากหลังต้นไม้ มุ่งหน้าไปหาชายผู้นั้น

สามารถแนะนำ ติชม ให้คำเสนอแนะได้นะครับ

ที่สำคัญอย่าลืมส่งกำลังใจให้กันด้วย

DaoistAPamSVcreators' thoughts