สาวน้อยตาบอดในยุคปัจจุบัน ทะลุมิติมายังร่างของคุณหนูขี้โรคไร้ตัวตนอยู่ท้ายจวนที่แสนรกร้าง....แล้วทำไมล่ะ?ตอนนี้เธอมีดวงตาแล้วนี่! "ช่วยด้วย!คุณหนูเสียสติไปแล้ว!"
ณ หมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลความเจริญ บ้านมุงหลังคากระเบื้องสีดำแสดงให้เห็นถึงความเก่าที่ผ่านกาลเวลามายาวนานหลายสิบปี บ้านแต่ละหลังล้วนกรำแดดกรำฝน หน้าต่างแต่ละบ้านฝ้าฟางจนแทบมองไม่เห็นภายในบ้าน ประตูก็ถูกดัดแปลงจนแทบหนาเท่ากำแพงบ้านเสียแล้ว
ในสถานที่นี้จึงให้บรรญากาศความเก่าแก่โบราณต่างจากในตัวเมืองที่มีรถราวิ่งผ่านไปมาโดยสิ้นเชิง เสียงเด็กในชุดบ้าน ๆ วิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนานและวัยรุ่นที่ยืนจับกลุ่มคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทำให้หมู่บ้านที่ดูลึกลับคร่ำครึแห่งนี้สดใสขึ้นมาทันตา
มือบอบบางข้างหนึ่งกำลังแตะไปตามกำแพงในขณะที่เดินบนถนนขรุขระทีละก้าว ใบหน้านั้นไร้ความงดงามแต่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่หรือเรียกว่าธรรมดาอย่างยิ่ง มุมปากของเธอยกยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงเด็ก ๆ กำลังหัวเราะกันอย่างมีความสุข
เพียงแต่ว่าดวงตาทั้งสองของเธอกลับปิดสนิท เท้าทั้งสองยังก้าวไปเรื่อย ๆ ราวกับกำลังเดินอยู่ในห้วงความฝัน
"ดูสิพวกเรา ยัยบอดมาแล้ว"
เสียงแหลมสูงเอ่ยขึ้นกับพวกพ้องพลางพยักเพยิดมาทางสาวน้อยตาบอดที่กำลังเดินเกาะกำแพงมาอย่างดูถูกดูแคลน เพื่อนทั้งหญิงชายที่คุยกันอย่างออกรสเมื่อครู่มองตามเห็นร่างคุ้นเคยเดินตรงมาทางนี้ก็ส่งเสียงโห่ร้อง
"เฮ้ย ๆ ทางนี้ ๆ เห็นมั้ยยัยบอด ทางนี้ ฮ่า ๆ ๆ"
ชายหนุ่มหน้าตาเสี้ยนแหลมคนหนึ่งโบกไม้โบกมือยกใหญ่ เพื่อนทั้งหลายหัวเราะครืนด้วยความชอบใจ เด็ก ๆ ที่วิ่งไล่จับกันอยู่ก็หยุดมองกลุ่มคนตรงหน้าสลับกับร่างพี่สาวคนนั้นอย่างสนใจ
"ยัยบอดมาแล้ว ยัยบอดมาแล้ว ยัยเด็กตาบอดอยู่กับสองตายาย พ่อแม่ตายไปไม่มีใครเลี้ยงดู ยัยเด็กตาบอด ๆ "
ทำนองเพลงอันคุ้นเคยดังแว่วเข้าหู สาวน้อยเอียงหัวน้อย ๆ แล้วหัวเราะเบา ๆ ด้วยท่าทางไม่โกรธขึง เสียงคนที่ร้องมีทั้งเด็กและคนวัยเดียวกัน ดูท่าเพลงที่โด่งดังที่สุดในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้คงไม่พ้นเพลงนี้ไปเสียแล้ว
เธอยืนอยู่ข้างกำแพงนิ่ง ๆ แต่ก็รับรู้ได้ว่าเสียงเพลงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนล้อมรอบกายเธอที่ยืนติดกำแพง เพลงนั้นดังระห่ำรอบตัวราวกับอยู่ในรังนก แต่เธอชินเสียแล้วกับเหตุการณ์แบบนี้
รอยยิ้มมุมปากนั้นราวกับไม่สะทกสะท้านต่อเสียงเพลงที่กล่าวถึงตัวเธอเลยแม้แต่น้อย คนรอบข้างจึงเร่งจังหวะเพลงให้เร็วขึ้น เสียงที่ร้องตะคอกก็ใส่ความเยาะเย้ยดูแคลนมากขึ้น
"ยัยบอดมาแล้ว ยัยบอดมาแล้ว ยัยเด็กตาบอดอยู่กับสองตายาย พ่อแม่ตายไปไม่มีใครเลี้ยงดู ยัยเด็กตา…"
"ไป ไปให้หมด!! ถ้าไม่ไปจะเรียกพ่อกับแม่พวกเธอมาแล้วนะ!!"
มีเสียงหนึ่งขัดขึ้น ฟังแล้วคงจะเป็นผู้ใหญ่สักคนที่ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเผอิญมาเห็นเหตุการณ์นี้แน่ ๆ เด็กทั้งหลายแตกตื่นวิ่งหายหัวไปกันหมด จนเหลือแค่เพียงผู้หญิงสองคนที่ยืนประจันหน้ากัน คนหนึ่งเป็นหญิงผมยาวถึงกลางหลังอายุราวยี่สิบถึงยี่สิบห้าปี หน้าตาเปิดเผยจริงใจนั้นถือว่าดูดีพอตัว อีกหนึ่งเป็นเด็กสาวอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีหน้าตาธรรมดาทว่าสะอาดสะอ้านมีรอยยิ้มประดับมุมปาก ผมสั้นประบ่า ดวงตาทั้งสองปิดสนิทแน่น
"เธอโดนแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?" เสียงที่ฟังแล้วห้วนห้าวนั้นเอ่ยอย่างสงสัยระคนเห็นใจ
เด็กสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส "หนูชินแล้วล่ะค่ะ"
ตาบอดมาแต่กำเนิดแต่ยังอดทนมาได้สิบกว่าปีแสดงว่าเป็นเด็กที่จิตใจไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่ตนคิด หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ แล้วถามต่อ "เธอชื่ออะไร?"
"เฮ่อซินหมิงค่ะ"
หญิงสาวจ้องคนร่างเล็กกว่าครู่หนึ่ง ยิ้มกว้างแล้วถามด้วยเสียงทีเล่นทีจริง "เคยคิดอยากมองเห็นมั้ย?"
สาวน้อยตาบอดหัวเราะเสียงใส สำหรับคนหิวย่อมต้องอยากกิน สำหรับคนหูหนวกย่อมต้องอยากฟัง สำหรับคนเป็นใบ้ย่อมต้องอยากพูด นับประสาอะไรกับคนตาบอดอย่างเธอ
เฮ่อซินหมิงตอบกลับไปอย่างทีเล่นทีจริงเช่นเดียวกัน "อืม…..ถ้ามองเห็นก็ดี ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร"
"แล้วอยากมองเห็นรึเปล่าล่ะ"
สาวน้อยฟังจากเสียงก็รับรู้ได้ถึงความกระตือรือร้นจริงจังของอีกฝ่าย จึงฉุกคิดชั่วครู่ยิ้มแล้วพยักหน้าทีหนึ่ง รอยยิ้มเจิดจ้าปรากฏที่ใบหน้าของหญิงสาวร่างสูง
"นี่ก็เย็นมากแล้ว ให้พี่ช่วยพาเธอกลับบ้านมั้ย?"
สาวน้อยตอบกลับทันที "ไม่เป็นไรค่ะ ดูท่าพี่คงไม่ใช่คนหมู่บ้านนี้ หนูเดินกลับเองปกติอยู่แล้ว พี่รีบกลับบ้านตัวเองดีกว่า"
หญิงสาวส่งเสียงรับแล้วหมุนกายเดินจากไป เมื่อหันกลับมาก็เห็นสาวน้อยกำลังเคลื่อนกายไปตามกำแพงช้า ๆ โดยไม่มีเสียงบ่นสักแอะ ก็ยิ้มมุมปากก่อนจะเดินไป
กลับมาถึงบ้านที่สุดกำแพงก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของชายชราดังขึ้น "เอาอีกแล้ว อาหมิงเอ๊ย... ถูกพวกเด็กแกล้งเอาไม้เท้าไปซ่อนอีกแล้วสิ"
สาวน้อยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ "คุณตา...ก็แค่ไม้เท้าจากกิ่งไม้ธรรมดา น่าเสียดายก็ตรงที่เป็นไม้เท้าที่ท่านตาอุตส่าห์ทำมาให้หนูเท่านั้นเอง"
ชายชราถอนหายใจ เขาแทบจะต้องเหลาไม้เท้าให้หลานวันละอัน วัน ๆ ก็แทบไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้ว เจ้าพวกเด็กตัวดีก็ชอบมาแกล้งอาหมิงกันนัก
สายตาชายชราที่มองหลานสาวทอความปวดร้าวขึ้น สาวน้อยรับรู้ได้จึงเอ่ยด้วยเสียงเบิกบาน "ไม่เห็นเป็นไรเลยคุณตา ข้าก็เดินตามกำแพงได้อยู่ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำไม้เท้าให้หนูเลย"
พลันนั้นมีเสียงหญิงชราดังขึ้น "ไม่มีไม้เท้าเดี๋ยวก็ตกบ่อตกหลุมโคลนมาอีก ยายเหนื่อยใจจริง ๆ "
สองมือของหญิงชราวางอาหารลงบนโต๊ะที่มีชายชราและหลานสาวนั่งอยู่ แล้วทั้งสามก็กินอาหารเรียบง่ายพร้อมหน้ากันอย่างอบอุ่น
สำหรับบางครอบครัวที่มีพ่อแม่แต่ต่างคนต่างใช้ชีวิตตามใจของตัวเอง ไม่สนใจเวลาครอบครัวของกันและกัน เมื่อเทียบกับครอบครัวของเธอแล้วไม่รู้ว่าใครจะมีความสุขมากกว่ากัน