บทที่ 49 วัดเมี่ยวฝ่า ( 4 )
พอเห็นว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่ จางซู่เฉิงก็ตะโกนเสียงดัง "หยุดนะ!"
รีบเดินเข้าไปไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองคน เขาผลักม่อเซิงถูออกจากเถ้าแก่เนี้ย ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปกดหัวทวนในมือเหมียวอี้ไว้ "พวกเดียวกันทั้งนั้น อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย"
จากนั้นเขาก็หันหน้ามายิ้มให้เถ้าแก่เนี้ยพลางพูดว่า "เถ้าแก่เนี้ยโปรดระงับโทสะ เขาไม่ได้มีเจตนาอื่น แค่อยากจะยืมเครื่องครัวท่านไปต้มชาเท่านั้น"
เถ้าแก่เนี้ยพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก "เรื่องเล็กแค่นี้ข้าจะให้พวกท่านลำบากทำเองทำไมกัน พ่อครัว รีบไปต้มชาร้อนๆ มาให้พวกเขาหน่อย"
"ขอรับ!" พ่อครัวตอบรับคำหนึ่ง แต่จางซู่เฉิงยื่นมือขวางไว้ "เมื่อครู่สหายของข้าทำให้ท่านไม่พอใจ ยังไม่ทันจะขอโทษเลย จะไปกล้ารบกวนอีกได้อย่างไร" เขาพูดพลางใช้มือผลักม่อเซิงถู "ยังไม่รีบไปตักน้ำอีก"
ม่อเซิงถูข่มสีหน้าหมองหม่นไว้ สายตาแข็งกร้าว หยิบถังน้ำบนพื้นโดยไม่พูดจาอะไร จากนั้นก้าวยาวออกไปนอกวิหารท่ามกลางพายุฝน
จางซู่เฉิงได้หม้อมาแล้ว ถือโอกาสดึงเหมียวอี้กลับออกไปด้วยกัน จากนั้นวางหม้อเหนือกองไฟ
เถ้าแก่เนี้ยสังเกตได้ถึงสายตาผิดปกติของม่อเซิงถู นางทำทีว่าชินตากับปัญหายุ่งยากของลูกค้าแล้ว ทำเหมือนกับไม่ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ โยกเอวอ่อนช้อยบิดขี้เกียจหนึ่งที แล้วพูดกับบรรดาลูกน้องของนางด้วยรอยยิ้ม "ทุกคนเก็บข้าวของแล้วรีบนอนเถอะ! พรุ่งนี้ยังต้องรีบเดินทางแต่เช้านะ"
ขณะพูดก็มองพ่อครัวแบบไม่ใส่ใจแวบหนึ่งแล้วยักคิ้วเล็กน้อย พ่อครัวเข้าใจแล้วกะพริบตาตอบ
พวกเขาเชื่อฟัง แล้วเริ่มเก็บข้าวของทันที พ่อครัวถอดเสื้อผ้าที่เปียกฝนตอนตนออกไปล้างชามเมื่อครู่นี้ และเดินไปหลังวิหารเพื่อบิดมันให้แห้ง
เถ้าแก่เนี้ยบิดเอวอ่อนนุ่ม ก่อนจะเอนกายลงบนเตียงเตี้ย ภาพนั้นช่างดึงดูดใจยิ่งนัก แม้แต่จางซู่เฉิงยังอดจ้องมองไม่ได้ น่าเสียดายที่บัณฑิตเข้าไปติดกระดุมมุ้งสีชมพูนั่นในทันที ทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิที่น่าล่อใจนั่นถูกบดบังเสียแล้ว กลับเหลือไว้เพียงแต่สิ่งที่ชวนจิตนาการ
นอกตำหนักกำลังมีพายุฝน ข้างบ่อน้ำโบราณที่อยู่ตรงกลางระหว่างต้นฮว๋ายสองต้น ม่อเซิงถูตักน้ำขึ้นมาหนึ่งถัง หลังจากมองซ้ายมองขวาแล้ว ก็รีบหยิบขวดลายครามใบเล็กออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นเปิดฝาแล้วเทผงสีขาวลงไปในถังน้ำ เขาเก็บขวดแล้วนำยาเม็ดสีแดงเม็ดหนึ่งใส่ไว้ในปาก เสร็จแล้วถึงได้รีบร้อนถือถังน้ำกลับไป
แต่ทว่าบนหลังคาของวิหาร ไม่รู้ว่าพ่อครัวไปยืนตากฝนอยู่บนนั้นตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเห็นทุกการกระทำของม่อเซิงถูแล้ว ก็รีบออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ม่อเซิงถูกลับมาในวิหาร นำน้ำในถังเติมลงในหม้อเหล็ก ก้นหม้อเหล็กร้อนจนแดง พอเทน้ำเย็นลงไปจึงมีเสียงแตกฟู่ขึ้นมา
พ่อครัวก็กลับเข้ามาในวิหารแล้วเช่นกัน เขายกจานชามบนพื้นขึ้นมา ถือโอกาสหยิบขี้เถ้าบนพื้นขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่หันหลังให้เหมียวอี้ เขาหมุนตัวไปทางเตียงเตี้ย แล้วปล่อยขี้เถ้าในมือลงใส่ในชาม แสดงถึงการกระทำของม่อเซิงถูเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน
สายตาของคนอื่นๆ ก็พากันมองไปที่เตียงเตี้ยโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เถ้าแก่เนี้ยที่อยู่ในมุ้งทำเพียงแค่หมุนตัวอย่างเกียจคร้าน โบกมือให้เหมือนกับไม่ใส่ใจ
คนอื่นๆ เข้าใจดีว่านางสื่อถึงอะไร พวกเขาจัดการเก็บข้าวของตัวเองต่อไป
พายุฝนข้างนอกรุนแรงขึ้น ต้นฮว๋ายโบราณในลานวัดส่งเสียงดังกระหน่ำท่ามกลางพายุฝน
ในวิหารใหญ่เงียบสงบ พระพุทธรูปสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนแท่นดอกบัว ปรากฏริบหรี่อยู่ท่ามกลางแสงไฟที่สั่นไหว พระอรหันต์และพระโพธิสัตว์เก่าแก่น้อยใหญ่ทั้งสองด้านที่ชำรุดอยู่นั้น แต่ละองค์แปลกแตกต่างกันไป เงาที่ทอดลงบนผนังกำแพง มีลักษณะเดี๋ยวสั้นเดี๋ยวยาว เดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ ยากจะคาดเดาราวกับภูติผีปีศาจ
เสียงน้ำต้มเดือดปุดๆ ในหม้อเหล็กบนกองไฟดังขึ้น ม่อเซิงถูหยิบกระบอกใบหนึ่งออกมาจากถุง จากนั้นเปิดแล้วหยิบใบชาออกมากำหนึ่ง แล้วใส่ลงน้ำเดือดในหม้อเหล็ก
จางซู่เฉิงก็อาศัยโอกาสนี้หยิบยาเม็ดสีแดงใส่เข้าปากตนเงียบๆ
ไม่นานนัก กลิ่นชาหอมอ่อนๆ ก็ลอยฟุ้งขึ้นมาจากหม้อเหล็ก จางซู่เฉิงหยิบฟืนท่อนใหญ่ด้านล่างออกจากกองไฟ เหลือเพียงไฟเบาๆ ไว้เพื่อรักษาความอุ่น จากนั้นก็หยิบถ้วยชาออกมาสามใบ
เวลานี้เอง พ่อครัวและบัณฑิตที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ถือถ้วยวิ่งเข้ามา บัณฑิตโค้งตัวแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "ขอชาสักถ้วยได้หรือไม่?"
จางซู่เฉิงกับม่อเซิงถูมองหน้ากันแวบหนึ่ง คนข้างหน้ายิ้มพลางยื่นมือไปที่หม้อชา "ไม่ต้องเกรงใจ ตามสบายเลย!"
"ขอบคุณมาก!" ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณ
ขณะรินชา พ่อครัวก็ยืนอยู่ข้างหน้าเหมียวอี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
เหมียวอี้มองด้านหลังของพ่อครัวแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง ตรงด้านหลังเสื้อผ้าที่ยังไม่แห้งของเขา มีอักษรห้าตัวที่เขียนด้วยถ่านอยู่บนนั้น 'มียาพิษอยู่ในชา'!
เหมียวอี้ยักคิ้วเบาๆ แล้วมองหม้อชาที่ตั้งอยู่เหนือกองไฟ หยิบทวนเงินข้างๆ ขึ้นมา เลิกชายเสื้อมาเช็ดหัวทวนช้าๆ แต่เช็ดแรงมาก
เมื่อพ่อครัวกับบัณฑิตตักชาใส่ถ้วยแล้วก็โค้งตัวขอบคุณ จังหวะที่ทั้งสองกำลังจะหมุนตัวกลับ บัณฑิตเหมือนจะกันข้างหลังให้พ่อครัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ทั้งสองทำท่าทางว่าชาร้อนมาก รีบร้อนวิ่งกลับไป ใครจะไปรู้ว่าพอกลับไปที่ข้างๆ กองไฟของตน พวกเขาดันไม่ระวังเดินชนกันเสียได้
เพล้ง! ถ้วยชาลายครามสองใบพลั้งมือตกแตก
ทั้งสองที่เพิ่งทำถ้วยชาหลุดมือมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เหมียวอี้ที่เช็ดหัวทวนอยู่ก็ชำเลืองมองแวบหนึ่ง
จางซู่เฉิงทางด้านนี้กลับหัวเราะแล้วพูดว่า "มีชาอีกครึ่งหม้อ เราสามคนดื่มไม่หมดหรอก ถ้าอยากดื่มก็มาเอาไปได้ ไม่ต้องเกรงใจ"
จากนั้นก็นำถ้วยที่รินชาใส่เรียบร้อยแล้วยัดใส่มือม่อเซิงถู ผลักเบาๆ ทีหนึ่ง "เมื่อครู่นี้เจ้าเป็นคนผิด ยังไม่รีบไปขอโทษเหมียวอี้อีก"
ม่อเซิงถูเข้าใจทันที เขารับชามาไว้ในมือแล้วเดินไปข้างๆ เหมียวอี้ พยายามทำหน้าตาจริงใจแล้วพูดว่า "เหมียวอี้ เมื่อครู่นี้ข้าเหมือนผีบ้าเข้าสิง หวังว่าเจ้าจะให้อภัยที่ข้าทำให้ขุ่นเคือง พอดื่มถ้วยนี้แล้ว พวกเราก็ลืมเรื่องนี้ไปเสีย!"
เหมียวอี้ที่เช็ดทวนอยู่ก็ถือทวนแล้วยืนขึ้น มองเขาโดยไม่พูดอะไร
"เมื่อครู่นี้ข้าผิดไปแล้ว" ม่อเซิงถูพูดด้วยท่าทางจริงใจ ส่งถ้วยชาในมือให้เหมียวอี้อีกครั้ง ขอให้เหมียวอี้รับไว้ ช่างดูเป็นการขอโทษที่จริงใจเสียเหลือเกิน
เหมียวอี้ไม่รับ มองไปที่จางซู่เฉิงแล้วถามว่า "เมื่อครู่นี้ข้าก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน พี่ม่อถ่อมตนเกินไปหรือเปล่า ข้าจะรับไว้ได้อย่างไรกัน?"
จางซู่เฉิงที่ถือถ้วยชาอยู่ในมือใบหนึ่งเดินเข้ามาทันที เขาทำตัวเป็นคนกลางแล้วพูดว่า "ไม่ว่าใครจะถูกใครจะผิด พอทุกคนดื่มชาถ้วยนี้แล้ว ความแค้นเคืองที่มีต่อกัน ก็ให้เลิกแล้วกันไป!"
"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องรับไว้แล้วล่ะ!" เหมียวอี้ยื่นมือรับชาจากม่อเซิงถู ชูถ้วยให้สองคนนั้น "ร่วมดื่ม!"
"ร่วมดื่ม!" ทั้งสองหัวเราะพลางผงกหัว
ทั้งสามชนถ้วยชาพลางยิ้มให้กัน จากนั้นยกมาไว้ที่ปากแล้วเงยหน้าขึ้นดื่ม
บัณฑิตกับพ่อครัวทางด้านนั้นมองหน้ากันแวบหนึ่งด้วยความลังเล หรือเขาจะมองไม่เห็นสิ่งที่เพิ่งเตือนไป?
ใครจะไปคิดว่าสถานการณ์จะพลิกเพียงชั่วพริบตาเดียว ทำเอาบัณฑิตกับพ่อครัวเบิกตาโพลงทันที!
ซวก!
อาศัยจังหวะที่ม่อเซิงถูกับจางซู่เฉิงกำลังถือถ้วยชาบังหน้า หัวทวนในมือเหมียวอี้ฉายแสงสีเงินวูบหนึ่ง ก่อนจะเสียบเข้าขั้วหัวใจของม่อเซิงถูด้วยความเงียบและเร็วดุจฟ้าผ่า
ไม่ทันรอให้ม่อเซิงถูได้ส่งเสียงโอดโอย หัวทวนติดเลือดที่อยู่ด้านหลังเขา กวาดไปยังจางซู่เฉิงที่อยู่ข้างๆ อย่างไร้ความปรานี
จางซู่เฉิงที่สังเกตได้ถึงความผิดปกติรีบหนีอย่างรวดเร็ว แต่ก็สายไปเสียแล้ว
แขนข้างหนึ่งปลิวหลุดจากร่างในชั่วพริบตาเดียว เนื่องจากหัวทวนที่ติดเลือดกวาดเข้าไปใต้รักแร้เขา
เคราะห์ดีที่เขาเป็นเหยื่อรายที่สอง ยังมีเวลาให้ไหวตัวเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นคงโดนฟันหน้าอกขาดกันหมดแน่
…………………………