webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Eastern
Not enough ratings
1110 Chs

048 วัดเมี่ยวฝ่า (3)

บทที่ 48 วัดเมี่ยวฝ่า (3)

"น้องชายอย่าเข้าใจผิด!"

สตรีที่มีกลิ่นอายของความดื้อรั้นนางนั้น พอหายตะลึงเสร็จแล้วก็หัวเราะเบาๆ โบกไม้โบกมือใส่บัณฑิตที่อยู่ด้านข้าง

บัณฑิตหัวเราะแล้ววิ่งออกไปทันที ดึงแขนเหมียวอี้อย่างสนิทสนม เชิญเขากลับมาด้วยไมตรีจิต

คนงานก็ย้ายกระเป๋าของพ่อครัวออกไปวางตรงอื่น แล้วผายมือเป็นสัญญาณเชิญให้เหมียวอี้นั่ง

เหมียวอี้ที่กำลังเก้อเขินโบกมือแล้วพูดว่า "ข้านั่งยองๆ ก็ได้"

แต่บัณฑิตกดให้เขานั่งลงไปอย่างกึ่งบังคับ

เหมียวอี้ก็พยายามยอมนั่งลงไปแต่โดยดี หัวเราะอย่างเก้อเขินแล้วพูดว่า "รบกวนพวกท่านแล้ว"

"ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นแขก" สตรีนางนั้นโบกมืออย่างมีมารยาท นางนั่งอยู่ตรงข้ามกับเหมียวอี้

นางใช้สองมือสะบัดกระโปรง สีเนื้อของต้นขาส่วนบนปรากฏให้เห็นแวบหนึ่ง ก่อนนางจะยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างทับไว้ ท่วงท่าของนางเต็มไปด้วยความดิบเถื่อน "ไม่ทราบว่าน้องชายชื่ออะไรเหรอ?"

"เหมียวอี้" พอบอกชื่อเสียงเรียงนาม เหมียวอี้ก็ถามกลับ "ได้ยินพวกเขาเรียกท่านว่าเถ้าแก่เนี้ย ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เนี้ยชื่ออะไรเหรอ?"

"ทำมาค้าขายเท่านั้นแหละ ไม่ถึงขั้นต้องเรียกชื่อแซ่กันหรอก เรียกข้าว่าเถ้าแก่เนี้ยก็พอ"

นางหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถาม หันซ้ายหันขวามองลูกน้องแล้วพูดว่า "มัวตกตะลึงอะไรกันล่ะ? กินข้าวเถอะ!"

ทุกคนตอบรับ แล้วชายหามเกี้ยวก็ยกชามข้าวให้เหมียวอี้พลางพูดว่า "ทานให้อร่อยนะขอรับ"

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคนรับใช้ในร้านอาหาร เหมือนไม่ได้แสร้งทำ

บัณฑิตเองก็นำชามข้าวส่งให้สตรีนางนั้น คนข้างหลังนั่งไขว่ห้างเย้ายวนมาก นางหยิบตะเกียบที่ปักอยู่ในข้าวสวยขึ้นมา ชี้ไปที่อาหารกับน้ำแกงร้อนๆ แล้วพูดว่า "น้องเหมียวอี้ ไม่ต้องเกรงใจนะ"

บนโต๊ะอาหารที่เรียบง่ายมีกวางตุ้งหนึ่งจาน ถั่วงอกหนึ่งจาน เนื้อเลียงผาย่างหนึ่งจาน ปลานึ่งหนึ่งจาน และยังมีแกงเห็ดชามใหญ่อีกชามหนึ่ง

เถ้าแก่เนี้ยเห็นเหมียวอี้ยังเกรงใจอยู่เล็กน้อย ก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้ นางรู้สึกว่าหนุ่มคนนี้น่าสนใจ

นางยื่นตะเกียบไปคว้านเนื้ออ่อนตรงพุงปลา แล้วคีบใส่ในชามข้าวเหมียวอี้พลางพูดเชิญให้เขากิน จากนั้นนางค่อยเริ่มกินของตัวเอง

ชายหามเกี้ยวทั้งสองนั่งยองๆ อยู่ทางขวา พ่อครัวกับบัณฑิตนั่งยองๆ อยู่ทางซ้าย พวกเขาก็เริ่มขยับปากกินข้าวแล้วเช่นกัน ไม่มีใครสนใจจางซู่เฉิงกับม่อเซิ่งถู

เหมียวอี้หันกลับไปมองสองคนนั้นแวบหนึ่ง เห็นท่าทางพวกเขาไม่สนใจจะมานั่งด้วย ตนจึงไม่สนใจ ประคองชามขึ้นกินข้าวต่อไป

เหมียวอี้หน้าแตกแล้วรอบหนึ่ง ม่อเซิ่งถูกับจางซู่เฉิงย่อมไม่ไปหาเรื่องหน้าแตกอีกเป็นธรรมดา จึงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างกองไฟ

"ลองชิมนี่สิ ฝีมือพ่อครัวไม่เลวเลย ลูกค้าที่ร้านพอได้ชิมแล้วชมไม่หยุดปากเลย"

เถ้าแก่เนี้ยคีบอาหารให้เหมียวอี้อย่างมีน้ำใจตลอด เหมียวอี้รีบขอบคุณนาง "เถ้าแก่เนี้ยไม่ต้องมีมารยาทกับข้าขนาดนั้นหรอก ข้าทำเองได้"

พวกเขานั่งล้อมโต๊ะอาหารที่เรียบง่ายนี้แล้วกินกันอย่างออกรสออกชาติ พอเหมียวอี้ได้ลิ้มรสอาหาร ตาก็เป็นประกาย เขารู้สึกว่ามันอร่อยมากจริงๆ ชมฝีมือของพ่อครัวไม่ขาดปาก พอพ่อครัวได้รับคำชมจากเขาก็ดีใจมากเช่นกัน ยิ้มอย่างไร้เดียงสาให้เหมียวอี้

ไหนๆ ก็ได้กินแล้ว เหมียวอี้จึงไม่เกรงใจ อีกทั้งรสชาติก็ไม่เลวด้วย ไม่นานก็กินอย่างตายอดตายอยากจนเกลี้ยงชาม

พ่อครัวคว้าชามเขาออกมาทันที แล้วช่วยตักให้เขาอีกชามหนึ่ง เหมียวอี้พูดขอบคุณแล้วกินต่อไป เขากินอย่างเต็มที่จริงๆ

ที่จริงเถ้าแก่เนี้ยแอบสังเกตสีหน้าของเหมียวอี้อยู่เงียบๆ เห็นว่าเขาดูจริงใจไม่เสแสร้ง และไม่เหมือนผู้ชายทั่วไปที่อยากฉวยโอกาสใกล้ชิดตนด้วย ตาคู่สวยของนางฉายแววชื่นชมเล็กน้อย

เหมียวอี้บังเอิญพบว่าอีกฝ่ายกำลังสังเกตตนอยู่ จึงกลืนอาหารลงไป ยิ้มพลางพูดว่า "เถ้าแก่เนี้ย พวกท่านกล้ามานอนค้างที่วัดร้างกลางภูเขาแบบนี้ ข้าว่าพวกท่านไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปเลยนะ! ไม่ทราบว่าพวกท่านทำงานอะไรกันเหรอ?" เขาเริ่มสืบที่มาที่ไปของอีกฝ่าย

เถ้าแก่เนี้ยยิ้มเบาๆ อย่างมีมาดผู้ดี "ข้าก็แค่เปิดโรงเตี๊ยมทั่วไปนี่แหละ ท้องฟ้าทำท่าว่าจะมีฝนตกหนัก รู้พอดีว่าที่นี่มีสถานที่ให้หยุดพัก ถ้าไม่เข้ามาที่นี่ จะให้เปียกฝนอยู่ข้างนอกหรือไงกัน? ข้าเห็นพวกเจ้าสามคนพกอาวุธมาด้วย พวกท่านต่างหากล่ะที่ไม่เหมือนคนธรรมดา! ถ้าไม่ใช่จอมยุทธ์ก็คงเป็นคนของทางการใช่มั้ยล่ะ?"

"คนคุ้มกันการส่งสินค้าของหน่วยคุ้มภัยน่ะ" เหมียวอี้ตอบแบบขอไปที

เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า "ค่อยรู้สึกดีหน่อย พวกเรากลัวอยู่พอดีว่าในป่าเขารกร้างแบบนี้จะไม่ปลอดภัย มีผู้คุ้มกันอย่างพวกท่านค่อยปกป้อง พวกเราก็เบาใจแล้ว"

พายุฝนด้านนอกวิหารยังไม่หยุด ฟ้าแลบฟ้าร้องดังลั่น

หลังจากเหมียวอี้กินอิ่มแล้ว ก็ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยและคนอื่นๆ แล้วกลับมายังที่เดิมของตัวเอง

พ่อครัวทางนั้นก็เก็บกวาดภาชนะใส่อาหาร ยกไปใต้ชายคาด้านนอก ฝ่าฝนไปตักน้ำเพื่อล้างถ้วยชามข้างนอก

บัณฑิตหยิบหมึกและพู่กันออกจากตะกร้า เขียนร่างสมุดบัญชีอยู่ข้างแสงไฟ แล้วรายงานข้อมูลบางอย่างต่อเถ้าแก่เนี้ยที่อยู่ข้างๆ เป็นระยะ เถ้าแก่เนี้ยวางมาดขรึมนั่งฟัง

ชายหามเกี้ยวทั้งสองก็กำลังเช็ดพื้น เหมือนจะเตรียมไว้สำหรับค้างแรมคืนนี้

เมื่อพ่อครัวล้างถ้วยชามเสร็จ จางซู่เฉิงก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นทันที "พี่ม่อ ไม่รู้สึกบ้างเหรอว่านั่งอุดอู้อยู่ในนี้มันน่าเบื่อมาก? ทำไมไม่ขอยืมเครื่องครัวพวกเขามาต้มชาสักถ้วยหนึ่งล่ะ?"

"ก็ดีนะ" ม่อเซิ่งถูแสร้งรับปาก จากนั้นลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก

พอจางซู่เฉิงเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย เขาพบว่าโรคบ้าผู้หญิงของม่อเซิงถูรักษาไม่หาย

เห็นเพียงม่อเซิ่งถูนั่งยองๆ อยู่ข้างเถ้าแก่เนี้ยคนสวยที่กำลังฟังบัณฑิตแจ้งบัญชีอยู่ เลื่อนสายตามองร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางอย่างกำเริบเสิบสาน

เห็นได้ชัดว่าใช้ตามองยังไม่ถึงอกถึงใจพอ เขายื่นมือไปจับมือขาวดุจหยกของเถ้าแก่เนี้ยที่วางอยู่บนต้นขา

เพียงครู่เดียวเท่านั้น สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่เขา เถ้าแก่เนี้ยเลื่อนสายตาลงต่ำ มองไปที่มือเขา

ม่อเซิ่งถูไม่สนใจสายตาแปลกๆ ของบัณฑิตและคนอื่นๆ เขาจ้องที่เถ้าแก่เนี้ย หัวเราะพลางพูดว่า "เถ้าแก่เนี้ยจ๋า ข้าอยากจะยืมของบางอย่างจากเจ้า"

เถ้าแก่เนี้ยชักมือกลับมา ขมวดคิ้วถาม "ไม่ทราบว่าผู้คุ้มกันจะขอยืมอะไร?"

ใครจะไปคิดว่ามือที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศของม่อเซิ่งถู จู่ๆ ก็กลับลูบคลำไปยังต้นขาอ่อนของเถ้าแก่เนี้ยที่มีกระโปรงบางคลุมอยู่

เถ้าแก่เนี้ยไหวตัวรวดเร็ว เหมือนนางมีประสบการณ์รับมือกับพวกบ้ากามมามาก นางปัดมืออีกฝ่ายออกไป รีบยืนขึ้นแล้วหลบไปอยู่อีกด้าน เอียงหน้าชำเลืองมองพลางพูดว่า "ผู้คุ้มกัน ท่านให้เกียรติข้าหน่อยเถอะ!"

ม่อเซิ่งถูลุกยืนตาม สายตาที่มองรูปร่างอ่อนช้อยของเถ้าแก่เนี้ย มีความกระเหี้ยนกระหือรือ เขาเดินเข้าใกล้นางอีกครั้ง ยื่นมือทำท่าเหมือนจะโอบกอดแล้วพูดว่า "ก็แค่ขอยืมเครื่องครัวเอง เหตุใดเถ้าแก่เนี้ยต้องใจแคบขนาดนี้!"

"ทางที่ดีเก็บมือของท่านไปดีกว่า!"

จู่ๆ น้ำเสียงเย็นชาของเหมียวอี้ก็ดังขึ้น

ทุกคนหันไปมองเหมียวอี้ เห็นมือเขากำลังลากทวน หัวทวนกวาดไปบนพื้นส่งเสียงดังแกร๊ก ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างม่อเซิ่งถู

จางซู่เฉิงที่อยู่ด้านนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วยืนขึ้นเช่นกัน

เถ้าแก่เนี้ยเอียงหัวมองเหมียวอี้เช่นกัน สายตานางฉายแววนึกสนุกแวบหนึ่ง

ม่อเซิ่งถูที่หมุนตัวมาสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย แล้วพูดเสียงเข้ม "เหมียวอี้น้องพี่ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"

เหมียวอี้ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย "ไม่มีอะไรหรอก แต่มือไม้ซุกซนของท่าน มันหยาบคายขัดลูกกะตาข้า"

ม่อเซิ่งถูมีสีหน้าโกรธเคืองขึ้นมาทันที "เหมือนเราจะเป็นพวกเดียวกันนะ หรือไม่ใช่?"

"ขออภัยด้วย ข้าเพิ่งกินข้าวของพวกเขาไป เลยอยากตอบแทนน้ำใจน่ะ!" เหมียวอี้พูดอย่างเย็นชา

ม่อเซิ่งถูยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดต่อ "คืนนี้ข้านอนกับนางแน่ อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้!"

พูดจบก็ทำท่าจะยื่นมือไปยังเถ้าแก่เนี้ย

ขวับ! เหมียวอี้สะบัดทวนหนึ่งที หัวทวนที่ติดประกายไฟจากพื้นดินชี้ไปที่ม่อเซิ่งถู "ท่านก็ลองดู!"

…………………………