บทที่ 40 สงครามชี้ขาดแห่งหนานเสวียน ( 3 )
ฉินเวยเวยนำบรรดาสมุนจากสำนักร้อยบุปผาตามมาด้านหลัง นางหยิบธนูไว้ในมือ จากนั้นง้างลูกธนูห้าดอกบนสายธนู ใส่พลังอิทธิฤทธิ์เข้าไป พอนิ้วเรียวคลายออก ลูกธนูคมห้าดอกยิงขวับออกไปทันที เสียงลูกธนูปะทะลมเฉียดผ่านตัวเหมียวอี้กับเหยียนซิวไป สองคนนั้นตกใจจนสะดุ้ง
ชั่วพริบตาเดียว ลูกธนูแหลมห้าดอกที่มีแสงสว่างโชติช่วง สามดอกยิงถูกนักพรตสามตคนจนตกจากอาชามังกร ส่วนอีกสองดอก โดนนักพรตระดับสูงใช้ทวนปัดทิ้งไปได้
เหมียวอี้รีบหันกลับมามอง รู้สึกรางๆ ว่าถ้าเขาไม่พยายามสู้รบอย่างสุดชีวิต ผู้หญิงคนนี้คงยิงธนูฆ่าเขาโดยอ้างสิทธิ์ของผู้บัญชาการรบแน่!
แต่ทว่า จังหวะที่สองฝ่ายกำลังใช้อาวุธห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด สถานการณ์การก็พลิกผันกระทันหัน
เนื่องจากหยางชิ่งรุกไล่รุกหลูอวี้มาตลอดทาง เขาจึงเข้าไปใกล้ค่ายของหลูอวี้แล้ว ตอนนี้ประมุขขุนเขาทั้งเก้าจึงร่วมมือกับหลูอวี้ เริ่มล้อมโจมตีหยางชิ่งทันที
หยางชิ่งที่กำลังตกอยู่ในอันตราย กลับแสดงสายตาชอบใจเสียด้วยซ้ำ เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าแผนการสำเร็จแล้ว
"มาก็ดี!" หยางชิ่งตะโกนเสียงดังขณะกำลังเผชิญหน้ากับประมุขขุนเขาทั้งเก้าที่ล้อมโจมตีเขาอยู่
ทันใดนั้นหัวสัตว์บนหมวกที่หัวของเขาก็แตกออกเป็นหมอกสีเงินกลุ่มหนึ่ง รวมตัวเป็นวานรยักษ์เรืองแสงสีแดงหนึ่งตัวอย่างรวดเร็ว
"ยาปีศาจขั้นสาม!"
หลูอวี้อุทานด้วยความตกตะลึง แฝงความรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ ประมุขขุนเขาทั้งเก้าที่ล้อมอยู่ก็ตกใจจนสะดุ้งเช่นกัน
ยังไม่ทันจะได้กลับตัววิ่งหนี วานรยักษ์สีแดงที่อยู่ท่ามกลางหมอกเงินควงหมัดออกมา ทุบจนหลูอวี้ร้องลั่นอยู่ตรงนั้น พื้นดินถูกทำลายเป็นหลุมลึก หลูอวี้และสัตว์พาหนะของเขาโดนทุบจนแบนเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ
"ยอมแล้ว!"
ประมุขขุนเขาตนคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง แต่เหมือนจะสายไป ตอนจะเอาชีวิตหยางชิ่งเมื่อครู่นี้ ดันไม่บอกว่ายอมแพ้ แต่ตอนนี้จะยอมแพ้งั้นเหรอ? ไปอยู่ไหนกันมา? ตอนที่ข้าให้โอกาสทำไมพวกเจ้าไม่ยอมแพ้ล่ะ?
หยางชิ่งน่ะหรือจะปล่อยพวกเขาไป วานรยักษ์บนหัวแกว่งแขนทั้งคู่แล้วซัดใส่อย่างบ้าคลั่ง
เสียง 'ปั้งๆ ' ดังสนั่นต่อเนื่องกัน ประมุขขุนเขาเก้าตนคนหนีไม่ทัน เลือดพุ่งออกมา ร่างกายกระเด็นไปข้างหลัง สัตว์พาหนะก็ร้องลั่นกระเจิดกระเจิงไปเช่นเดียวกัน
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปกระทันหันทำให้คนอื่นๆ ตะลึงงัน พวกลูกสมุนของหลูอวี้ที่จู่โจมเข้ามา พอได้สติกลับคืน ก็กลับตัวหนีทันที!
ผู้ที่มีฝีมือเก่งกาจที่สุดของฝั่งหลูอวี้โดนหยางชิ่งตัดหัวหมดแล้ว เมื่อไม่มีใครต้านทานกับศัตรูที่เข้มแข็งได้ จึงไม่สามารถโจมตีต่อได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่เพิ่งตะโกนว่า 'ยอมแพ้' ก็โดนฆ่าตายหมดแล้ว ถ้าคนอื่นๆ ไม่วิ่งหนีก็คงแปลก
เหมียวอี้กับเหยียนซิวที่โดนฉินเวยเวยคอยบังคับให้รีบจู่โจมอยู่ด้านหลังมองหน้ากันเลิกลั่ก เมื่อครู่นี้เพิ่งพูดว่า ถ้าหยางชิ่งมียาปีศาจขั้นสามสักเม็ดก็คงจะดี เหยียนซิวยังบอกอยู่เลยว่าเป็นไปไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าหยางชิ่งจะทำของวิเศษขั้นสามออกมาได้แล้วจริงๆ รบสนามเดียวตัดสินแพ้ชนะได้เลย!
"หยางชิ่งเหี้ยมโหดมาก เขากลัวหลูอวี้และพวกลูกสมุนคนสนิทจะหนีไปได้ จึงจงใจจะไม่เปิดเผยของวิเศษขั้นสามให้เห็นในตอนแรก รอตอนหลังค่อยปราบให้สิ้นซากทีเดียว เพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาในอนาคต!"
เหยียนซิวถ่ายทอดเสียงพูดเบาๆ ให้เหมียวอี้ฟัง
พอหยางชิ่งกำจัดหลูอวี้และพรรคพวกแล้ว ก็ชะเง้อมองกองกำลังที่ตามมาข้างหลัง แล้วนำพวกเขาบุกฆ่าตามรายทางทันที!
นักพรตร้อยกว่าตนคนบุกเข้ามาใกล้จนหนีไม่ทัน ทั้งหมดโดนกองกำลังฝ่ายเขาเส้าไท่ที่บุกฆ่าตามรายทางฆ่าตายหมด ผู้ที่ตายไปเกือบทั้งหมดเป็นนักพรตสำคัญของจวนหนานเสวียน ส่วนใหญ่เป็นพวกประมุขถ้ำ
คนที่บุกฆ่ามาทางนี้ ไม่มีใครแสดงความปราณี ขอเพียงแค่ให้มีตำแหน่งว่างเยอะขึ้นก็พอ ตัวเองถึงจะยิ่งมีโอกาสมากขึ้น กลิ่นคาวเลือดคลุ้งตลอดทาง
เหมียวอี้และเหยียนซิวร่วมมือกันไล่สังหารนักพรตบงกชขาวขั้นสี่ตนคนหนึ่ง ลูกธนูคมสามดอกก็พุ่งขวับเข้ามา นักพรตหมุนทวนปัดลูกธนูทิ้งขณะอยู่ในความตกใจ
แต่เหยียนซิวขู่คำรามเกรี้ยวกราด ขวานปากกว้างหนึ่งด้ามในมือขว้างออกมา เฉาะเข้าที่หลังนักพรตตนคนนั้น
เหยียนซิวที่ไล่ตามมาอย่างบ้าคลั่งก็ใช้ขวานฟันอีก เพียงครั้งเดียวก็ฟันหัวอีกฝ่ายหลุดลงมาจนเลือดสดๆ พุ่งขึ้นฟ้า จังหวะที่กำลังจะเฉียดผ่านไป เขารีบดึงขวานอีกด้ามของตนที่อยู่บนตัวอีกฝ่ายมาไว้ในมืออย่างรวดเร็ว แล้วมุ่งหน้าตะโกนไล่เข่นฆ่าอย่างบ้าระห่ำไปต่อไป
เหมียวอี้ตกตะลึง พบว่าเหยียนซิวเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนกล้าหาญไม่กลัวตาย ยังเป็นสิบพ่ายคนเดิมที่เคยพร่ำพูดหลักการเรื่องการยอมแพ้อยู่มั้ยเนี่ย?
ไล่ตามมาตลอดทางอย่างบ้าระห่ำ จนกระทั่งไล่ตามต่อได้ยากแล้ว หยางชิ่งถึงได้เก็บของวิเศษบนหัวและไหล่ทั้งสอง โบกทวนพร้อมตะโกนลั่นราวเสียงฟ้าผ่า "ตัดสินชัยชนะแล้ว! กระจายกำลัง! เก็บกวาดและยึดครองภูเขาแต่ละลูก!"
ดูจากสีหน้าของเขา ขับเคลื่อนของวิเศษหลายชิ้นพร้อมกัน บวกกับการสู้รบที่ดุเดือด พลังอิทธิฤทธิ์เหมือนจะใช้สิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์ไปเยอะเหมือนกัน ต้องหาสถานที่ฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์สักหน่อย
เห็นได้ชัดว่ากองกำลังของเขาเส้าไท่ได้วางแผนไว้เสร็จแล้วก่อนที่จะตัดสินใจก่อกบฏ ตอนนี้ไม่ต้องลังเลใจเลย ใครควรจะไปตรงไหนนั้นชัดเจนอยู่แล้ว แต่ละคนจึงมุ่งไล่สังหารไปตามทางของตนคนต่อไป
ฉินเวยเวยก็นำกองกำลังของถ้ำร้อยบุปผา ติดตามหยางชิ่งมุ่งตรงไปยังถ้ำคล้อยบูรพา เนื่องจากที่นั่นที่อยู่ใกล้ที่สุด
พอรวมกับผู้ติดตามประจำตัวของหยางยิ่งแล้ว กลุ่มนี้ก็มียี่สิบกว่าคน ไม่ถึงครึ่งวันก็บุกมาถึงถ้ำคล้อยบูรพา แทบจะไม่เจอการต่อต้านใดๆ และต่อให้เจอก็ต้านไว้ไม่ไหว
พอยึดถ้ำคล้อยบูรพาได้ หยางชิ่งก็หาสถานที่ฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ทันที แม่ทัพหลักในเวลานี้จะต้องรักษาสภาพไว้ให้ดีที่สุดตลอดเวลา เพื่อรับมือกับเหตุร้าย!
ฉินเวยเวยสั่งการให้นักพรตบงกชขาวขั้นสามจำนวนสามตนคนเร่งตามไปรักษาการณ์ที่เมืองคล้อยบูรพา เตรียมป้องกันไม่ให้มีนักพรตถ้ำคล้อยบูรพาเดิมฉวยโอกาสเก็บทรัพย์สมบัติในเมืองหลบหนีไป
ช่วงพลบค่ำ สมุนตนคนหนึ่งของฉินเวยเวยรีบมารายงานนาง "ผู้รอดชีวิตของถ้ำคล้อยบูรพา คาดว่าหลบหนีไปแล้ว และยังไม่ก่อความวุ่นวายในเมือง ครอบครัวของพวกเขาก็ถูกส่งเข้า 'จวนเฉิงย่วน' แล้ว คนของพวกเราดักซุ่มอยู่ในนั้น คอยจับพวกที่กลับเข้ามาช่วยชีวิตพวกพ้อง"
"ดีมาก!" ฉินเวยเวยพยักหน้าชมเชย
เหยียนซิวที่อยู่ข้างๆ ถ่ายทอดเสียงไปยังเหมียวอี้เงียบๆ "เมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ ขุนนางก็ต้องเปลี่ยนใหม่ เพียงชั่วพริบตาเดียวจวนหนานเสวียนก็พลิกโฉมใหม่ นักพรตพวกนั้นที่หนีไปแล้วน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ครอบครัวของพวกเขานี่สิน่าสงสาร เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ พวกเขาคงจะต้องอยู่ใน 'จวนเฉิงย่วน' จนแก่ตายแล้วล่ะ ที่นั่นไม่ใช่ที่สำหรับให้คนอยู่นะ"
จู่ๆ เหมียวอี้ก็นิ่งไป ไม่รู้นึกอะไรขึ้นได้ เขากุมหมัดขึ้นขออภัยฉินเวยเวย แล้วออกจากตำหนักคล้อยบูรพาอย่างรวดเร็ว พอกระโดดขึ้นควบเฮยทั่น ก็พุ่งออกประตูหลักไป วิ่งห้อตะบึงออกไปตลอดทาง
ฉินเวยเวยเดินช้าๆ มาถึงประตูตำหนักใหญ่ นางยืนเอามือไขว้หลังแล้วขมวดคิ้วถาม "เขาคิดจะทำอะไรน่ะ?"
นางไม่คิดว่าตอนนี้เหมียวอี้จะยังอยากหลบหนีอีก ตีจวนหนานเสวียนแตกหมดแล้ว ถ้าหนีไปอีกก็โง่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าอยากจะหนีคงหนีไปนานแล้ว เจ้าอาชามังกรอ้วนนั่นวิ่งเร็วจะตาย
เหยียนซิวอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะร้องอุทานออกมา "ไม่ได้การละ!"
ฉินเวยเวยจึงหันกลับไปถาม "เป็นอะไรไป?"
เหยียนซิวเองก็กลัวเหมียวอี้จะก่อเรื่องขึ้นมา จึงรายงานทันที "เหมียวอี้มีสหายอยู่คนหนึ่งที่ถ้ำคล้อยบูรพา เขาเป็นผู้ฝากฝังเหมียวอี้ให้เข้ามาอยู่ถ้ำล่องนิภา ข้าเกรงว่าเขาจะไปดูว่าครอบครัวของสหายผู้นั้นยังอยู่หรือเปล่า"
เป็นอย่างที่เขาคิด เหมียวอี้ถือทวนควบม้าพุ่งไปเมืองคล้อยบูรพาเพียงลำพัง พอมาถึงด้านนอกของบ้านจี้ซิ่วฟาง หลานสาวของเฉินเฟย ก็เห็นเพียงประตูใหญ่ของบ้านติดแถบกระดาษเฟิงเถียวไว้แล้วแผ่นหนึ่ง
เพื่อพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองเดาไว้ในใจ เหมียวอี้กลับไปที่ม้า แล้วถามพวกชาวบ้านที่อยู่ริมถนนทันที "นายท่านของบ้านนี้ไปไหนแล้วล่ะ?"
มีชายชราคนหนึ่งตอบอย่างกล้าหาญ "รายงานท่านเซียน ไม่ทราบเหมือนกันว่านายท่านบ้านนี้ทำผิดอะไร ได้ยินว่าถูกทางการคุมตัวไป 'จวนเฉิงย่วน' แล้ว น่าสงสารก็แต่พวกคนงานในนั้นที่ต้องต้องลำบากไปด้วยเปล่าๆ พวกที่ถูกจับไปล้วนแต่ต่างก็เป็นคนซื่อสัตย์กตัญญูจากครอบครัวสุจริตชนทั้งนั้น!"
เหมียวอี้ถามอีก "แล้ว 'จวนเฉิงย่วน' ของเมืองนี้อยู่ที่ไหน?"
ชายชราตอบ "ตอบท่านเซียน อยู่ข้างๆ ศาลเจ้าตรงใจกลางเมือง หาไม่ยากขอรับ"
"ขอบคุณมากท่านผู้เฒ่า!" เหมียวอี้กล่าวขอบคุณ รีบถอยกลับแล้วดิ่งตรงไปที่ศาลเจ้านั่น
…………………………