บทที่ 38 สงครามชี้ขาดแห่งหนานเสวียน (1)
เสียงกีบเท้าม้าด้านหลังทำให้ทุกคนหันกลับมามอง
ขนแผงกระพือพัด ทะลุออกมาจากฝุ่นดินที่ตลบอบอวล เหมือนพวกพเนจรท่ามกลางสายลม ถึงแม้จะเป็นเจ้าอ้วนพเนจร แต่ความเร็วก็ตามทันสัตว์พาหนะของเหยียนซิวอยู่ดี
มันส่งเสียงร้องฮี้ๆ วิ่งอยู่เคียงข้างสัตว์พาหนะของเหยียนซิว
เหมียวอี้ทั้งประหลาดใจและดีใจ นึกว่าเจ้านี่จะโกรธจนไม่กลับมาซะแล้ว เขาถือทวนเงินดีดตัวขึ้นจากด้านหลังของเหยียนซิว แล้วตกลงมาอยู่บนหลังเฮยทั่น
ท่ามกลางขนแผงคอที่ปลิวสะบัดของเฮยทั่น มีหนวดสัมผัสสองเส้นโผล่อกมาอย่างรวดเร็ว มันดูดซับรวมเข้ากับต้นขาของเหมียวอี้
สายตาของกับเหมียวอี้จ้องประสานกับฉินเวยเวยที่หันกลับมามองพอดี คนแรกข้างหน้าทำหน้าหัวเราะเย้ย เหมือนกำลังบอกว่าสัตว์พาหนะของข้ากลับมาเองแล้ว อยากให้ข้าขายหน้าเหรอ ไม่มีทางซะหรอก!
ฉินเวยเวยเชอะใส่อย่างเย็นชา ก่อนจะหันกลับไปข้างหน้า เร่งเคลื่อนทัพข้ามสันเขาต่อไป
"พุ่งไปข้างหน้า ให้นางมารร้ายนั่นกินฝุ่นอยู่ข้างหลังพวกเรา!"
เหมียวอี้ถ่ายทอดความคิดตัวเองไปยังเฮยทั่น ดูจากวรยุทธ์ของพวกเขาแล้ว แม้จะยังไม่ถึงขั้นกินฝุ่นจริงๆ แต่ฝุ่นที่ปลิวฟุ้งอยู่ข้างหน้า ก็จะลอยไปเปื้อนหน้าพวกที่อยู่ข้างหลัง สิ่งนี้ทำให้เขาสะใจมาก
ฮี้ๆๆๆ! เฮยทั่นตาเป็นประกายพลางร้องลากเสียงยาว เหมือนมันจะชอบทำเรื่องพรรค์นี้มาก โดยเฉพาะถ้าได้ทำกับคนที่เคยเอาทวนจิ้มก้นมันอย่างฉินเวยเวย
เพียงชั่วครู่ เท้าทั้งสี่ก็ห้อทะยานบินขึ้นบินลงราวกับภาพลวงตา ปีศาจสีดำที่เร็วปานสายลม แม้จะเป็นปีศาจอ้วน แต่ความเร็วนั้่นยอดเยี่ยมมาก มันข้ามสันเขาได้เหมือนวิ่งบนที่ราบ และข้ามผ่านลำธารตรงช่องเขาได้เพียงชั่วพริบตาเดียว ความเร็วของมันล้ำหน้าเหยียนซิวที่ควบอาชาอยู่ข้างๆ กันไปแล้ว
คนธรรมดาทนรับความเร็วขนาดนี้ของอาชามังกรไม่ไหว อย่าว่าแต่ลืมตาไม่ขึ้นเลย โดนลมต้านจนปลิวตกไปก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ไม่นาน เหมียวอี้ก็พุ่งมาอยู่ข้างหน้าแล้ว เทียมหน้าเทียมตากับฉินฉินเวยเวยที่ควบอาชานำทัพอยู่ ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง สายตาเหมือนเสียดสีประกายไฟออกมา
เหมียวอี้หันหลับไปมองข้างหน้า ยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงมุมปาก เขาโค้งตัวเล็กน้อย ยื่นมือไปตบคอเฮยทั่น
เฮยทั่นเข้าใจคำสั่งทันที เร่งความเร็วอีกครั้ง ค่อยๆ ล้ำหน้าสัตว์พาหนะของฉินเวยเวยไปแล้วครึ่งตัว
ฉินเวยเวยข่มไฟโกรธไว้ในใจ และแอบถ่ายถอดคำสั่งให้สัตว์พาหนะของตัวเองวิ่งนำมันไป อาชามังกรที่นางนั่งอยู่ปลดปล่อยความเร็วทั้งหมดทันที ไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง จนลูกสมุนที่ควบอาชาอยู่ข้างหลังต่างพากันเร่งความเร็วตามผู้นำทัพ
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินเวยเวยเกลียดจนขบฟันก็คือ อาชามังกรตัวอ้วนข้างหน้าไม่ได้วิ่งเร็วธรรมดา อาชามังกรที่นางขี่พยายามสุดชีวิตแล้ว แต่ระยะห่างของเจ้าอ้วนนั่นกับสัตว์พาหนะของนาง กลับยิ่งไกลออกไป ไม่ว่านางจะพยายามอย่างไรก็ตามไม่ทัน
ไม่ทันไร เฮยทั่นก็โยกร่างกายอ้วนจ้ำม่ำของมันล้ำหน้าฉินเวยเวยไปกว่าร้อยเมตรแล้ว แถมตอนนี้มันยังอยู่ภายใต้สภาวะที่มีแผลสองแผลอยู่ที่ก้นด้วย
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เฮยทั่นเหมือนรู้สึกว่าการแข่งความเร็วนั้่นยังไม่พอให้ระบายความโกรธได้ คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะค่อยๆ ลดความเร็วลง ร่นระยะห่างหน้าหลัง จากนั้นจงใจใช้สองเท้าหลังเตะฝุ่นหินดินทรายขึ้นมา ร้ายกาจใช้ได้เลย
กองเศษหินดินทรายกระเด็นปิดหน้าฉินเวยเวยที่อยู่ด้านหลัง แม้ทั้งหมดจะถูกฉินเวยเวยใช้อิทธิฤทธิ์กำจัดทิ้งแล้วก็ตาม
เหมียวอี้ที่อยู่ข้างหน้ามีสีหน้ากลั้นขำ สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาด้วยความสะใจ
เหยียนซิวที่อยู่ด้านหลังเห็นแล้วเหงื่อแตกพลั่ก นี่มันเห็นได้ชัดเลยว่ากำลังจงใจแกล้งฉินเวยเวย! เขารีบถ่ายทอดเสียงไปยังเหมียวอี้ทันที "น้องชาย เลิกเล่นได้แล้ว ข้าได้ยินมาว่า ฉินเวยเวย ประมุขแห่งถ้ำร้อยบุปผา เหมือนจะเป็นบุตรสาวบุญธรรมของประมุขขุนเขาหยางชิ่ง ก่อนที่ตำแหน่งประมุขถ้ำของเจ้าจะแน่นอน ข้าว่าทางที่ดีอย่าทำให้นางไม่พอใจเลย"
"..." ใบหน้ายิ้มของเหมียวอี้ชะงักงัน เขายิ้มไม่ออกทันที ในใจกำลังก่นด่า ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้วะ?
ฉินเวยเวยเองก็กลั้นไฟโกรธไว้ไม่อยู่แล้ว ถือทวนชี้ไปที่เหมียวอี้ นางตะโกนขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก "ฟังคำสั่งข้า! ตำแหน่งของเจ้าอยู่ข้างหลังข้า ต่อต้านผู้บัญชาการในสนามรบ โทษตายสถานเดียว!"
เหมียวอี้บังคับเฮยทั่นให้วิ่งช้าลงอย่างว่าง่าย ให้ฉินเวยเวยนำหน้าเขาไป
ถ้าถามว่า 'หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง' คืออะไร? มันก็คือสภาพเหตุการณ์ตอนนี้แหละ เรื่องที่เฮยทั่นทำก่อนหน้านี้ สัตว์พาหนะของฉินเวยเวยก็กำลังทำตามเช่นกัน
สัตว์พาหนะของนางอาจจะไม่ฉลาดเท่า 'เฮยทั่น' หากไม่ใช่นางเสี้ยมสอนมันคงไม่ทำแบบนี้
เศษหินเศษดินรัวกระเด็นเข้าใส่เหมียวอี้กับเฮยทั่น จนเหมียวอี้ต้องใช้อิทธิฤทธิ์กำจัดอย่างไม่หยุดหย่อน พอเวลานานเข้าก็ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไปไม่น้อยเลย แถมยังไม่กล้าร้องทุกข์ใดๆ เรื่องที่เขาทำได้ ไม่มีเหตุผลที่คนอื่นจะทำไม่ได้
เฮยทั่นร้อง 'ฮี้ๆ' ด้วยความน้อยใจไม่หยุด ที่เหมียวอี้ไม่ให้มันล้างแค้น
ฉินเวยเวยมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ในใจสะใจหรือไม่ มีเพียงตัวนางเองที่รู้
เพื่อไม่ให้เดือดร้อนไปด้วย คนอื่นที่อยู่ข้างหลัง กระจายกันติดตามเป็นฝั่งซ้ายและขวา แต่ละคนมองเหมียวอี้ที่จำใจกินฝุ่นอยู่ข้างหลังฉินเวยเวยด้วยสายตาเวทนา
ผ่านไปไม่นาน กลุ่มที่ตามมาก็เห็นกองทัพใหญ่ของหยางชิ่งจัดแถวตั้งทัพอยู่บนที่ดินรกร้างที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
พอฉินเวยเวยเห็นท่าทางแบบนี้ ก็รู้ทันทีว่าต้องเตรียมตั้งรับต่อสู้กับข้าศึกตรงนี้ นางรีบนำทัพเข้าประจำที่ทันที
"เหมียวอี้!" จู่ๆ ฉินเวยเวยที่มองด้านหน้าอยู่ก็เรียกเบาๆด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เหมียวอี้ควบเฮยทั่นไปข้างหน้าเพื่อรับคำสั่งทันที ฉินเวยเวยถือทวนชี้ไปข้างหน้า "เดี๋ยวพอเริ่มประจันหน้ากัน ให้เจ้าเป็นกองหน้า!"
"..." นี่มันอาศัยอำนาจส่วนรวมเพื่อแก้แค้นส่วนตัวนี่! เหมียวอี้ฝืนใจกุมหมัดคารวะแล้วพูดว่า " ข้าน้อยรับคำสั่ง!"
พอได้ยินดังนั้น สายตาแห่งความเวทนาก็มองไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง
เหยียนซิวส่ายหัวแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เป็นเพียงเชลยศึกทำไมต้องโอหังขนาดนั้น?
ด้านหน้า นักพรตคนหนึ่งเร่งควบอาชามังกรไล่ตามนักพรตอีกคนหนึ่งมา ชัดเลย ฝ่ายศัตรูที่ด่านปราการชั้นนอกกำลังไล่สังหารสายลับของฝ่ายนี้
พอเห็นแถวกระบวนทัพของฝั่งนี้ ฝ่ายศัตรูที่ด่านปราการชั้นนอกก็ไม่กล้าไล่สังหารต่อแล้ว รีบย้อนกลับไปทันทีเลย
สายลับฝ่ายนี้ก็รีบถลันเข้ามาหยุดตรงหน้าหยางชิ่ง ชี้กลับไปด้านหลังแล้วรายงานทันที "รายงานท่านประมุขขุนเขา กองกำลังของหลูอวี้มาถึงแล้ว!"
หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ โบกมือให้เขาถอยออกไป
ไม่นานนัก ด้านหน้ามีเสียงดังสนั่นกึกก้องเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว แม้แต่บนพื้นก็รับรู้ได้ถึงการสั่นสะเทือน
อาชามังกรฝูงหนึ่งกำลังวิ่งห้อเข้ามา นักพรตแน่นขนัดประมาณพันกว่าคนเข้ามาประชิด แล้วหยุดอยู่ตรงที่ห่างออกไปประมาณห้าหกร้อยเมตร
เหมียวอี้มองกำลังคนของฝั่งนี้ แล้วก็มองกองกำลังที่อยู่ตรงหน้า คาดว่าอีกฝ่ายมีนักพรตกว่าหนึ่งพันคน แต่ทางฝั่งหยางชิ่งนี้ยังมีไม่ถึงห้าร้อยคน เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าจะชนะศึกครั้งนี้ได้มั้ย?
ที่จริงแล้ว กองกำลังเกินครึ่งของฝ่างหยางชิ่งมาจากสำนักหยกคราม ไม่เช่นนั้นนักพรตจากภูเขาลูกเดียวคงรวมออกมาไม่ได้เยอะขนาดนี้
การจัดรูปทัพของอีกฝ่าย ทำให้นักพรตของฝั่งหยางชิ่งเราที่วรยุทธ์ต่ำจำนวนไม่น้อยแอบขี้ขลาดตาขาว แต่พอโดนประมุขถ้ำสายต่างๆ ที่คุมทัพอยู่ด้านหน้าหันกลับมากวาดสายมองอย่างเย็นเยียบ พวกเขาก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้งทันที
"เจ้าคนถ่อยหยางชิ่ง!"
เสียงคำรามดุร้ายราวฟ้าผ่ากลางอากาศ ดังก้องอยู่บนป่ารกร้าง
ท่ามกลางนักพรตสวมเกราะเงินสิบคนที่อยู่ตรงหน้า หนึ่งในนั้นถือง้าวกรีดนภาอยู่ในมือ ขี่อาชาก้าวออกมาจากขบวน ถือง้าวชี้ไปยังหยางชิ่งพลางตะโกนอย่างใส่เกรี้ยวกราด
หยางชิ่งไม่ยอมแพ้ ขี่อาชาก้าวออกมาจากขบวนเช่นกัน ชี้ทวนเงินในมือไปยังอีกฝ่ายแล้วตะโกน "ไอ้คนถ่อยหลูอวี้ บังอาจหลอกข้า!"
"ไอ้หมาชั่วหยางชิ่ง ข้าเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้าอย่างดี ยังบังอาจทรยศข้า!"
"ในปีนั้นข้ารบพุ่งสุดชีวิตเพื่อเจ้า ยกทัพจับศึกไปทั่วสารทิศ ข้ากับเหล่าพี่น้องร่วมกันผลักดันเจ้าขึ้นสู่ตำแหน่งประมุขจวน ทำงานหนักแม้ไม่มีคุณงามความดีอะไร แต่วันนี้เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร? ให้ตำแหน่งแต่ริบอำนาจ รังแกกันเกินไปแล้ว!"
หยางชิ่งท่าทางเดือดดาลสุดขีด โบกทวนชี้ไปยังกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า "เจ้าชั่วหลูอวี้ใจแคบเห็นแก่ตัว พี่น้องทุกท่านต้องดูมองข้าไว้เป็นบทเรียน อย่ามีจุดจบเหมือนข้า ทำไมไม่ร่วมมือกับข้าปลิดชีพเจ้าคนชั่วนี่เล่า หลังจากเรื่องนี้สำเร็จ ข้าจะกลมเกลียวกับพวกท่านชั่วนิรันดร์ิ์ ร่วมกันเสพสุขจากพลังปรารถนาในโลกนี้!"
…………………………