webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Fantasi Timur
Peringkat tidak cukup
1144 Chs

008 น้องสองกับน้องสาม

บทที่ 8 น้องรองกับน้องสาม

ปีนั้นที่เหมียวอี้อายุแปดปี ที่บ้านประสบเหตุไฟไหม้ กลายเป็นคนโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง เกือบถูกส่งเข้า 'จวนฉือย่วน'

สถานที่ที่เรียกว่า 'จวนฉือย่วน' เป็นสถานที่ที่มุ่งเน้นให้ความเมตตากับผู้ไร้ที่พึ่งพ่อหม้ายแม่หม้ายและเด็กกำพร้า ที่ไร้ความสามารถในการดำรงชีวิต

นี่เป็นโลกที่ผู้ฝึกตนมีบทบาทเป็นหลักทั้งสิ้น ผู้แข็งแกร่งนำรูปภาพของตนวางไว้ทุกบ้าน ชาวบ้านคนธรรมดาปฏิบัติต่อเขาเหมือนบูชาเทพยดา ทุกวันจะต้องใช้เวลาสามชั่วยาม เพื่ออธิษฐานภาวนาตรงแท่นบูชาเทพ อุทิศพลังปรารถนาของตน

และคนที่ถูกส่งไป 'จวนฉือย่วน' นอกจากกินอยู่หลับนอนแล้ว เกือบทุกเวลาจะต้องอธิษฐานภาวนาต่อแท่นบูชาเทพ เพื่ออุทิศพลังแห่งบุญและความปรารถนาดีของตน ไม่ต่างกับหมูที่อยู่ในคอกเลี้ยง ใช้ชีวิตไม่เหมือนคน

เคราะห์ดีที่พ่อแม่ของลู่เสวี่ยซินที่เป็นเพื่อนบ้านเก็บเหมียวอี้มาเลี้ยงได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเด็กกำพร้าอายุต่ำกว่าสิบปี ล้วนต้องส่งเข้า 'จวนฉือย่วน' ทั้งสิ้น

ใครจะรู้ว่าสองปีต่อมา บ้านตระกูลลู่จะเกิดไฟไหม้ตอนกลางคืน สองสามีภรรยาตระกูลลู่ตายในกองเพลิง ทิ้งลูกสาวอายุห้าขวบไว้คนหนึ่ง

เหมียวอี้กลายเป็นดาวภัยพิบัติที่ทุกคนกล่าวถึงทันที แต่ก็ยังมีคนรั้นไม่เชื่อเรื่องอัปมงคล

พูดไว้ชัดเจนว่าไม่ยอมเห็นเด็กสองคนนี้อยู่ในสภาพน่าสงสาร สุดท้ายคนฆ่าสัตว์ตระกูลจางที่ขายเนื้ออยู่บนถนนก็รับเลี้ยงเด็กสองคนนี้

ผลก็คือสองปีหลังจากนั้น ตอนที่สองสามีภรรยาร้านฆ่าหมูออกไปทำงานข้างนอก ก็ประสบกับไฟป่า เป็นผู้ใจบุญอีกคู่ที่ต้องตายในกองเพลิง มีเด็กกำพร้าเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้ว เหมียวอี้จึงกลายเป็น ‘'ดาวกำพร้าหายนะ’' ที่ทุกคนกล่าวถึง ไม่มีใครกล้าเก็บเอาไปเลี้ยงอีก

โชคดีที่ในเวลาสองปีที่อยู่บ้านคนฆ่าสัตว์ตระกูลจาง เหมียวอี้ก็ไม่ได้อยู่ไปวันๆ เขาไม่อยากให้ตนและลู่ลู่เสวี่ยซินและ ‘'น้องสาว’' ดีแต่เป็นภาระ จึงมักจะเสนอตัวช่วยพ่อบุญธรรมบ้านตระกูลจางทำงานเบ็ดเตล็ด เขาจึงได้เรียนรู้การฆ่าหมู

ปีนั้นเหมียวอี้อายุสิบสองปี เก็บมีดฆ่าหมูที่ตระกูลจางทิ้งไว้ให้ เตรียมอาศัยความสามารถตนเองเลี้ยงชีพน้องชายและน้องสาว

แต่เวลานี้ หวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวงซึ่งผู้รับหน้าที่จัดการบริเวณนี้ของเมือง กลับพาคนมาหาสามพี่น้องที่บ้าน เพราะเจ้าอ้วนจางกับลู่เสวี่ยซินไม่มีใครดูแล และทั้งคู่ยังอายุไม่เต็มสิบปี จึงต้องการนำทั้งสองส่งเข้า 'จวนฉือย่วน' ในเมืองในฐานะเด็กกำพร้า

ตอนนั้นเหมียวอี้ก็ร้อนใจมาก แบกลู่เสวี่ยซินขึ้นหลัง มือหนึ่งจูงเจ้าอ้วนจาง อีกมือถือมีดฆ่าหมูเผชิญหน้ากับคนทั้งหลาย จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมให้คนนำตัวน้องๆ ไป

ตอนเขากลายเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ลู่เสวี่ยซินไม่ได้พาส่งเข้า 'จวนฉือย่วน' ตอนเขากับลู่เสวี่ยซินกลายเป็นเด็กกำพร้า สองสามีภรรยาร้านฆ่าหมูตระกูลจางก็ไม่ให้ทั้งคู่ถูกส่งเข้า 'จวนฉือย่วน' เหมียวอี้จะทนดูลูกชายลูกสาวของพ่อแม่บุญธรรมถูกส่งเข้าจวนฉือย่วนได้อย่างไร

ตอนนั้นเหมียวอี้กระวนกระวายสุดขีด รู้ว่าดึงดันหัวแข็งไปก็ไม่มีประโยชน์ ตนอายุยังน้อยเอาชนะกลุ่มผู้ใหญ่ไม่ไหว ตอนเผชิญหน้ากับหวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวงและพวก เขาบุกไปอย่างไม่สนใจอันตราย ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือไปรอบๆ จนยั่วยุให้เพื่อนบ้านกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาล้อมดู เหมียวอี้ถือโอกาสนี้ขอร้องให้ทุกคนยืนหยัดในความเป็นธรรมรักษาความยุติธรรม หลังจากนั้นใช้มีดฆ่าหมูเสียบที่ขาตัวเองหนึ่งแผล แสดงเจตนารมณ์ชัดเจน ยอมตายแต่ไม่ยอมให้น้องชายและน้องสาวไปจวนฉือย่วน บอกว่าตนมีความสามารถที่จะเลี้ยงน้องๆ ได้

พอเห็นเหมียวอี้ที่กำลังเลือดไหล เพื่อนบ้านใกล้เคียงต่างก็หวั่นไหวแสดงสีหน้าซาบซึ้งใจ จึงพากันขอให้หวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวงอย่าไร้คุณธรรมเกินไปนัก

ภายใต้แรงกดดันจากคำพูดต่างๆ นาๆ ของเพื่อนบ้าน หวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวงเองก็ไม่อยากทำเกินไปจนทำให้ชาวบ้านโกรธ อย่างไรเสีย ทุกคนก็เป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่พบหน้ากันบ่อยทั้งนั้น ทำได้เพียงโมโหเพราะความอายแล้วจากไป

และด้วยเหตุนี้ ตระกูลของหวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวงจึงดูเหมือนจะไม่ถูกชะตากับเหมียวอี้มาตลอด หวงเฉิงลูกชายของเขามักจะมาหาเรื่องเหมียวอี้บ่อยๆ

แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว สิ่งนี้ล้วนไม่สำคัญเลย พูดง่ายๆ ก็คือตั้งแต่วันนั้น ไม่ว่าเขาลำบากเพียงใด อายุยังน้อยก็อาศัยฆ่าหมูเป็นหลัก ไม่ใช่แค่เลี้ยงดูน้องชายกับน้องสาว เขายังพยายามให้ทั้งคู่ได้เรียนหนังสือด้วย ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่เด็กคนอื่นทั่วไปได้รับ เขาก็พยายามหามาให้น้องๆ เช่นกัน

และบ้านที่สามพี่น้องอาศัยอยู่ก็เป็นมรดกที่สามีภรรยาร้านฆ่าหมูตระกูลจางทิ้งไว้ให้ ดังนั้นระหว่างเพื่อนบ้านด้วยกัน ต่างก็เรียกเหมียวอี้ว่าพี่ใหญ่ตระกูลจาง

ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย มองเห็นคนที่คุ้นเคย ในที่สุดเหมียวอี้ก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองออกมาจากแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งแล้วจริงๆ

หันมองทะเลหมอกประหลาดที่เป็นมิติเชื่อมต่อฟ้าดินข้างหลัง เกิดความรู้สึกหลายๆ อย่างปนกันกันที คนข้างนอกไม่มีทางจินตนาการถึงอันตรายข้างในได้ เขาหนีเอาชีวิตรอดหลายครั้ง สุดท้ายก็ออกมาได้แล้ว!

และก็ปลอดภัยด้วย! เพื่อที่จะรักษาความเป็นระเบียบลำดับขั้นตอน บนกำแพงเมืองของกู่เฉิงมีเซียนคอยรักษาป้องกันอยู่ ต่อให้ทุกคนรู้ว่าที่ตัวเขามีสมบัติ ก็ไม่มีใครกล้าปล้นที่นี่หรอก

แต่ในใจของเขาคิดว่าระวังตัวไว้บ้างจะดีกว่า เขาไม่พูดจากับใคร ขณะที่ทุกคนจับตาดูอยู่ เขาก็รีบออกมาจากฝูงชน แล้วมุ่งหน้าไปที่เมืองกู่เฉิง

สายตาของคนจำนวนมากจ้องไปที่ถุงย่ามของเหมียวอี้ กำลังเดาว่าตอนเขาอยู่ข้างในนั้นหาของมีค่าได้หรือไม่ อย่างไรเสียคนที่ถูกขู่จนกลับออกมามือเปล่าก็มีไม่น้อย

เมืองกู่เฉิงห่างจาก 'แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง' ที่แปลกประหลาดนี้เพียงสองลี้ บรรพบุรุษของเหมียวอี้ที่อาศัยอยู่กำแพงเมืองรอบนอก ตอนแรกก็อาศัยอยู่ในเมืองกู่เฉิงแห่งนี้ แต่หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงฉับพลันแบบสะเทือนฟ้าดินเกิดขึ้นที่ค่ายกลมรณะแห่งนี้ แสงอาทิตย์เกินครึ่งในแต่ละวันถูกหมอกเลือดหนาสุดลูกหูลูกตานั่นปิดกั้นไว้ สำหรับชีวิตคนธรรมดาแล้ว แสงอาทิตย์หายไปครึ่งหนึ่งสร้างผลกระทบไม่น้อยเลย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการตากผ้า ผู้คนจึงย้ายไปสร้างเมืองใหม่ข้างนอกที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้

แต่ทุกครั้งที่ 'แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง' เปิด บนพื้นที่นั้นจะจัดกลุ่มคนไปพลิกฟื้นซ่อมแซมเมืองกู่เฉิง เพื่อต้อนรับบรรดาผู้ฝึกตนจำนวนมากที่จะมาถึง

สามพี่น้องนัดพบหน้ากันใต้ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งข้างกำแพงเมืองกู่เฉิง เป็นต้นหลิวเก่าแก่ที่ถูกฟ้าผ่าตายไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน สามพี่น้องมาครั้งนี้กลับพบความประหลาดใจ เพราะต้นหลิวเก่าแก่ที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งสามจึงนัดกันไว้ว่าจะเจอกันที่ใต้ต้นไม้นี้

ใต้เงาต้นไม้ เจ้าเด็กอ้วนพุงกลมคนหนึ่ง สายตาที่ปราดเปรื่องกำลังเผยความร้อนใจ มองหาไปรอบๆ ไม่หยุด

หนูน้อยผมเปียคนหนึ่ง นั่งหลังพิงต้นหลิวอยู่ ใบหน้างามเกลี้ยงเกลาดุจหยกเจียระไน เป็นคนสวยโดยกำเนิด แต่ตาทั้งสองข้างกลับบวมแดง เหมือนเพิ่งร้องไห้มา

"หรือว่าพี่ใหญ่จะตายแล้ว?" หนูน้อยจับขากางเกงเจ้าเด็กอ้วนแล้วร้องคร่ำครวญ

เจ้าเด็กอ้วนโพล่งออกมา "ปากเสียน่า ไม่เคยได้ยินเพื่อนบ้านพูดกันเหรอ พี่ใหญ่เป็น 'ดาวกำพร้าหายนะ' นะ ต้องให้คนอื่นตายหมดก่อน ถึงจะเป็นคราวตายของพี่ใหญ่"

แม้จะพูดแบบนี้ แต่สายตาที่เป็นกังวลของเขากลับทรยศกับความคิดในใจ ไม่กี่เดือนก่อนแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งจะเปิด จู่ๆ เหมียวอี้ก็ให้เขาเรียนรู้วิธีฆ่าหมู ตอนนั้นเขารู้ว่าพี่ใหญ่ของตนเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดไว้แล้ว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่ชาย เขาจะได้มีวิชาไว้หาเงินเลี้ยงดูน้องสาวต่อไปได้

สองพี่น้องต่างก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่ของพวกเขาไปเสี่ยงอันตรายนี้ แต่กลับขวางไว้ไม่ได้

เจ้าเด็กอ้วนอายุมากกว่าขึ้นมาหน่อย เข้าใจความคิดของพี่ใหญ่ เพื่อนบ้านล้วนพูดว่าพี่ใหญ่เป็น 'ดาวกำพร้าหายนะ' ทำให้พ่อแม่ของน้องทั้งสองต้องตาย อาจจะเพื่อตอบแทนบุญคุณ หรือในใจอาจจะรู้สึกผิด หรืออาจจะเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างให้เพื่อนบ้านเห็น ขอแค่มีโอกาส พี่ใหญ่ก็จะเสี่ยงกับทุกอย่างเพื่อให้น้องๆ ได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ ครั้งนี้มีโอกาสทำให้น้องๆ รองสำเร็จเป็นเซียน พี่ใหญ่ก็ยิ่งไม่ห่วงชีวิตตัวเอง

"ฮือๆ พวกเราทำให้พี่ใหญ่ต้องเหนื่อยใช่มั้ย? ข้าได้ยินคนพูดว่า ที่บ้านเฒ่าหลี่ร้านขายเต้าหู้ไม่ยอมให้พี่หลี่แต่งงานกับพี่ชายเรา ก็เพราะที่บ้านมีเราสองคนเป็นภาระ" หนูน้อยร้องไห้งอแง

"น้องสาม หยุดร้องเถอะ น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว"

จังหวะที่เจ้าเด็กอ้วนกำลังตบหัวหนูน้อยเบาๆ ด้วยความรำคาญ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยตะโกนขึ้นมา "เจ้ารองสอง เจ้าสาม"

เจ้าเด็กอ้วนกับหนูน้อยเงยหน้ามองทันที เห็นเพียงชายคนหนึ่งที่สภาพเหมือนปีนขึ้นมาจากกองถ่าน กำลังเร่งฝีเท้าวิ่งมา

"พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!"

หนู่น้อยเปล่งเสียงด้วยความตื่นเต้นดีใจ ผุดลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปหาเหมียวอี้พร้อมกับเจ้าเด็กอ้วน

สามพี่น้องกอดกันกลม ดีใจสุดชีวิต

พอทั้งสามปล่อยมืออกจากกัน หนูน้อยรีบช่วยตบเบาๆ บนตัวเหมียวอี้ เจ้าเด็กอ้วนทำหน้าล้อเลียน หัวเราะแล้วพูดว่า "เจ้าสามยังห่วงว่าพี่จะตายอยู่ในนั้น พี่จางบอกเจ้าแล้วไง พี่ใหญ่เป็นใครล่ะ ใครจะตายก็ตายไป แต่พี่ใหญ่ไม่ตายง่ายๆ หรอก!"

พอพูดจบแล้วมองซ้ายมองขวา เข้าไปใกล้ๆ ข้างหูเหมียวอี้แบบลับๆ ล่อๆ พูดด้วยเสียงต่ำ "พี่ใหญ่ พี่ลงมือด้วยตัวเอง ทำสำเร็จหรือเปล่า?"

ดูจากท่าทางของเขา ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร แล้วก็จริงๆ ด้วย เด็กอ้วนจางทำชั่วสารพัดอย่างตั้งแต่เด็ก ชอบลักเล็กขโมยน้อย ตอนนี้บรรดาเพื่อนบ้านพากันเกลียดจนเค้นคันฟัน น สิ่งที่น่านึกเสียใจว่าก็คือทำไมไม่ส่งเจ้าเด็กนี่เข้า 'จวนฉือย่วน' ไปตั้งแต่แรก จะได้ลดหายนะไปหนึ่งอย่าง

เหมียวอี้ตบหน้าอกที่นูนขึ้นมา เพื่อส่งบอกเป็นนัยๆ

"จริงเหรอ?" เจ้าอ้วนจางกับหนูน้อยลู่ตาเป็นประกายทันที

เหมียวอี้สั่นหัวเบาๆ มองไปรอบๆ บอกเป็นนัยๆว่าอย่าให้คนอื่นรู้

เด็กอ้วนจางท่าทางเหมือนหมาป่าจ้องขโมยไก่ ใช้สองมือลูบพุงอ้วนๆ แล้วพูดเสียดสี "แ*ม่งเแอ๊ย บ้านเฒ่าหวงส่งลูกสาวคนงามไปเป็นหญิงรับใช้ท่านเซียนแล้วนี่ อาศัยลูกสาวถึงได้กลายเป็นผู้ใหญ่บ้านเป๋าจ่าง เลยกล้ามาข่มเหงพวกเราบ่อยๆ ไง รอพวกเรากลับไปก่อนเถอะ คอยดูว่าข้าจะจัดการกับตระกูลหวงยังไง โดยเฉพาะไอ้ถ่อยหวงเฉิง จะบิดไข่มันออกมาให้ได้เลย ถ้าล้างแค้นไม่ได้ ก็อย่าถือว่าข้าเป็นบุรุษเลย รอข้าก่อนเถอะ! "

เจ้าอ้วนจางทำสีหน้าสบายใจ แต่สีหน้าเหมียวอี้กลับเปลี่ยนไป

คำพังเพยกล่าวว่ายิ่งเกลียดยิ่งเจอ พอพูดถึงหวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวง ก็เห็นหวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านหวง ปรากฏตัวพร้อมคนสิบกว่าคนพร้อมอาวุธครบมือ

…………………………