บทที่ 7 บัณฑิต (3)
บัณฑิตพยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า "พบกันราวพรหมลิขิตเช่นนี้ นี่ถือเป็นของขวัญแรกพบ เจ้าเก็บไว้เป็นที่ระลึก"
ยังพูดกันไม่กี่คำ แม้แต่ที่มาของแต่ละฝ่ายก็ยังไม่รู้แน่ชัด ก็ให้ของแล้วเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกว่าคนผู้ๆนี้แปลกนิดหน่อย แต่ของชิ้นนี้ดูแล้วก็ไม่เลวแฮะ ไม่แน่อาจจะแลกเป็นเงินได้ รับไว้ก็ไม่เสียหายนี่
เหมียวอี้รับจับของนั่นไว้ในมือ ทำทีสุภาพคล้องใส่คอ แล้วก็กล่าวขอบคุณเขา
บัณฑิตหมุนตัวจากไป พอเดินถึงข้างหน้าผาแล้ว ชุดคลุมกับผมสลวยก็ปลิวสยายอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกดุจเทพเซียน ราศีจับยิ่งนักมาก
เขาชำเลืองไปตรงไหล่เขาใต้หน้าผา ที่นั่นมีต้นไม้ต้นไม้ที่กำลังเปล่งแสงอ่อนๆ ห้าต้น มันคือสมุนไพรเซียน 'ซิงหัว' ที่บรรดาผู้ฝึกตนมองว่าเป็นยาวิเศษสำหรับรักษาการบาดเจ็บได้ และเป็นหนี่งในสิ่งของที่เหมียวอี้อยากได้เมื่อมาที่นี่
แต่ทว่า บัณฑิตที่หันหลังให้เหมียวอี้อยู่กลับดีดนิ้วไปที่ไหล่เขาหนึ่งครั้ง สมุนไพรเซียนสามในห้าต้นถูกพลังงานลึกลับแปรสภาพให้กลายเป็นผงละเอียด เหลือไว้เพียงสองต้น
สิ่งของที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะได้มา กลับถูกเขาทำลายไปชั่วพริบตาเดียว
ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด แค่เพราะว่าเมื่อครู่นี้ เหมียวอี้บอกว่าตนว่ามีกันสามคนพี่น้อง ดังนั้นเขาจึงเหลือไว้เพียงสองต้น คอยดูว่าเหมียวอี้จะเลือกอย่างไร
บัณฑิตถือโอกาสชี้ไปที่ไหล่เขา โดยที่ตัวก็ไม่ได้หันกลับมา เขาพูดว่า "น้องชาย เจ้ามาดูสิ"
เหมียวอี้ยังคงระแวดระวังคนประหลาดผู้นี้อยู่ มีดฆ่าหมูที่อยู่ในมือไม่เคยวางลง พอเดินไปใกล้ก็รักษาระยะห่างเล็กน้อย มองไปตามทิศทางที่นิ้วเหล่าไป๋ชี้ สายตาพลันจ้องเขม็ง พร้อมพูดเสียงหลงว่า "สมุนไพรเซียน เป็นสมุนไพรเซียน" แถมยังมีสองต้นด้วย
แต่สักพักก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล หันมาจ้องบัณฑิตแล้วถามว่า "ทำไมท่านไม่เก็บล่ะ? อย่าบอกนะว่าที่ท่านมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อหาสมบัติ?"
"ปีนขึ้นปีนลงกลัวเสื้อผ้าเลอะได้ง่ายจะเลอะน่ะ"
บัณฑิตทิ้งท้ายสาเหตุที่ทำให้คนฟังอึ้งไว้หนึ่งประโยค และหันหลังจากไป
เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก มองดูหลังของบัณฑิตที่กำลังกึ่งเดินกึ่งเหาะจากไป สุดท้ายก็เข้าใจว่าทำไมร่างกายของเขาถึงสะอาดสะอ้าน มาถึงสถานที่ที่ต้นไม้ใบหญ้าถูกเผาหมด ลองถูดูมั่วๆ ล้วนเป็นสถานที่ที่ฉาบด้วยสีดำทั้งสิ้น เขายังทำตัวสะอาดหมดจดอยู่ได้ คง รักสะอาดมากกระมังทำไมยังกล้ารักสะอาดอยู่อีก
แต่เหมียวอี้ยังเต็มไปด้วยความสงสัย กลัวสกปรกแล้วยังจะมาเสี่ยงภัยที่นี่ทำไมอีกเหรอ? คงไม่มีแผนอะไรหรอกนะ?
"ท่านจะไปไหนน่ะ?" เหมียวอี้ตามไปถึงข้างบันได มองเห็นเงาบัณฑิตเหาะลงเขาไป จึงตะโกนว่า "พวกเราไปด้วยกันเถอะ?"
"ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบ เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด! พ่อหนุมน้อย หากมีวาสนาคงได้พบกันอีก"
เสียงของบัณฑิตดังมาจากที่ไกลๆ
เหมียวอี้หันกลับไปมองตัวอักษรที่ทิ้งไว้บนแท่นหินใหญ่ข้างหลังโดยสัญชาตญาณ แล้วหันมองด้านล่างภูเขาอีกครั้ง พบว่าเงาของบัณฑิตหายไปท่ามกลางหมอกหนาแล้ว
ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะคิดเรื่องอื่น อีกฝ่ายเขาจะมีแผนการหรือไม่มีแผนก็ช่าง เก็บสมุนไพรเซียนสองต้นนั้นมาไว้ในมือก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เขากลับไปตรงข้างหน้าผา เหน็บมีดฆ่าหมูไว้ที่เอว ใช้แขนขาทั้งสี่ปีนลงหน้าผาอย่างระมัดระวัง
ลักษณะภูเขาไม่ถือว่าสูงชันมาก เหมียวอี้เก็บสมุนไพรเซียนสองต้นนั้นได้อย่างราบรื่น ตาทั้งคู่เป็นประกาย ฮึกเหิมจนหัวใจเต้นแรง
ตลอดตามทางที่มาที่นี่ เขาเห็นการเข่นฆ่ากันเพื่อของสิ่งนี้ เพื่อที่จะแย่งชิงสมุนไพรเซียนหนึ่งต้น ไม่รู้ว่าตายกันไปแล้วอีกี่คน ตอนนี้ตนกำลังจะก็หาจะได้สองต้นแล้ว ไม่ให้ตื่นเต้นก็คงจะยาก
สมุนไพรเซียนต้นก่อนหน้าที่นี้เขาเคยเห็นเยียนเป่ยหงชิงไปนั่นแย่งชิงสมุนไพรเซียนได้แล้วหนึ่งต้น แต่ก็ไม่ใหญ่เท่าสองต้นที่อยู่ตรงหน้าเขา
เหมียวอี้ที่ตัวติดอยู่บนหน้าผา ไม่มีอารมณ์จะเชยชมสมุนไพรเซียนที่เพิ่งเก็บมาไว้ในมือ เพราะบัณฑิตผู้นั้นใจกว้างซะจนเขากังวล เขารีบฉีกห่อผ้ามาห่อสมุนไพรเซียนสองต้นนี้ จากนั้นก็ซ่อนไว้ในอ้อมอก
พอแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว เพิ่งปีนขึ้นไปได้นิดเดียว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าข้างๆ ตัวมีลมวูบใหญ่พัดมา
ลมพัดเหรอ? พอหันกลับไปมอง เขาตกใจจนขวัญกระเจิง
เห็นเพียงตั๊กแตนทมิฬรูปร่างขนาดสองจั้งตัวหนึ่งกระพือบินอยู่ข้างหลัง ดวงตาเขียวทะมึนบนหัวรูปสามเหลียมกำลังจ้องเขาอยู่ ปากแบบกัดกินที่แหลมคมอ้าขึ้นอ้าลงไม่หยุด
หมดกัน! เหมียวอี้ก้มหัวมองทะเลสาบด้านล่างภูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ทางไหนก็ตายเหมือนกัน เสี่ยงสู้ดูสักตั้งครั้งดีกว่า เขาทำใจแน่วแน่ ปล่อยมือปล่อยเท้า กระโดดลงไปทันที
จังหวะที่เขากำลังจะตกลงไปในน้ำ พลันพบว่าร่างกายตนลอยขึ้นมาอีกครั้ง
เหมียวอี้อยากจะบ้าตาย นิ้วมือถึงผิวน้ำแล้ว พยายามใช้แรงยื่นมือไปที่ผิวทะเลสาบอยู่หลายครั้ง อยากจะทะลวงเจาะเข้าไปในน้ำจริงๆ แต่ร่างกายกลับก็ได้ออกห่างจากระยะที่มือจะแตะถึงทะเลสาบ ไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าไม่เชื่อว่าตั๊กแตนทมิฬตัวนั้นดัน ‘ช่วยชีวิต’ เหมียวอี้ที่กำลังกระโดดทะเลสาบ ‘'ฆ่าตัวตาย'’ ขึ้นมาแล้ว ปล้องขาแหลมคมทั้งสี่โอบเหมียวอี้เฉียดผ่านผิวน้ำไปไกลอย่างรวดเร็ว
สมุนไพรเซียนสองต้นที่ ได้มาอย่างยากเย็น ใครจะไปรู้ว่าตนจะตกได้มาอยู่ในน้ำมือตั๊กแตนทมิฬอีกครั้ง
เหมียวอี้อยากจะร้องไห้ ดึงมีดฆ่าหมูที่เอวออกมาฟันลงที่ปล้องขาตั๊กแตนสองที หวังว่าจะฟันให้ตั๊กแตนทมิฬคลายมือ เพื่อให้ตนเองตกลงไปในทะเลสาบ
เสียงดังเช้งๆ มีดฆ่าหมูฟันที่ปล้องขาสีดำของตั๊กแตนทมิฬจนมีประกายไฟออกมา แต่เหมือนฟันลงไปบนเหล็ก ไม่ทิ้งร่องรอยให้มันเลยแม้แต่น้อย กลับยั่วยุแย่จนมันก้มหัวมองที่ส่วนอกของตัวเองแทนด้วยซ้ำ
เมื่อโดนดวงตาสีเขียวขลับน่ากลัวจ้องเขม็ง เหมียวอี้ที่กำลังชูมีดฆ่าหมูอยู่ในมือชะงักไปทันที ทิ้งมีดลงด้วยสีเจื่อนๆ เขาไม่กล้าฟันส่งเดชอีกแล้ว กลัวโดนมันบิดตาย
ตั๊กแตนทมิฬพลันบินเร็วขึ้น เมฆหมอกลอยหายไปอย่างรวดเร็ว ลมแรงที่พุ่งมาข้างหน้าพัดจนเหมียวอี้ลืมตาไม่ขึ้น หนาวจนตัวสั่นระริก
ไม่รู้เหมือนกันว่าบินไปนานแค่ไหนแล้ว รอจนรู้สึกว่าความเร็วลดช้าลง พอลืมตาทั้งสองขึ้น กลับพบว่าตั๊กแตนทมิฬอยู่ๆ ก็ดิ่งลงในระดับต่ำ
พอเห็นตัวเองกำลังจะชนพื้น หัวใจของเหมียวอี้ก็ก็จุกอยู่ที่คอหอย
จู่ๆ ตั๊กแตนทมิฬก็หมุนกลับขึ้นฟ้าไป ขณะโฉบลงจากที่สูงเสร็จแล้ว ขาทั้งสี่ของมันก็คลายปล่อยเหมียวอี้ออก
"อา...แค่กๆ..."
เหมียวอี้ตกลงมาในสภาพทุลักทุเลเหมือนหมากินขี้ พอคลานลุกขึ้นได้ ก็บ้วนโคลนออกมาไม่หยุด ด้วยจิตใต้สำนึกเขารีบพลิกตัวไปดูตั๊กแตนทมิฬว่ามันจะทำอะไรกับเขากันแน่
"…." ผลลัพธ์ก็คือไม่เห็นอะไรเลย ตั๊กแตนทมิฬตัวนั้นไม่รู้ไปไหนแล้ว หายไปแบบไร้เงาไร้ร่องรอย ที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือ…
เหมียวอี้เบิกตาโพลงมองไปข้างหน้า ขยับแขนขาทั้งสี่ที่หนาวจนแข็งทื่ออยู่บ้าง เดินโซซัดโซเซออกไปจากหมอกหนาไร้พรหมแดน
ตรงหน้าเขา มีคนไม่น้อยกำลังยืนมุงดูอยู่ข้างนอกข้างๆ กำลังมองเขาอยู่
ด้านหลังของกลุ่มคน เป็นเมืองกู่เฉิงนั่นที่เขาคุ้นเคย ตอนที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเปิด เขาก็ออกเดินทางจากตรงนี้
เขาหันกลับไปมองด้านหลังทันที เป็นหมอกมายาที่มิติเชื่อมต่อฟ้าดินนั่นนี่นา
เขาพยายามขยี้ตาดู ยังนึกว่าเป็นภาพลวงตา หันหน้าหันหลังอยู่หลายครั้ง ดูให้แน่ใจหลายๆ รอบและ พบว่าดูไม่ผิด ตนเองออกมาได้แล้วจริงๆ แล้ว ออกมาได้ยังไงกัน? ตั๊กแตนทมิฬตัวนั้นพาเขาส่งออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจเหรอ?
"ใช่พี่ใหญ่บ้านจางรึเปล่า?"
สตรีที่คลุมผ้าโพกหัวนางหนึ่งมองเหมียวอี้ที่อยู่ในสภาพครึ่งผีครึ่งคนแล้วเอ่ยถาม เหมือนนางจะไม่มั่นใจเล็กน้อย
แล้วก็ไม่กล้ามั่นใจจริงๆ ต้นไม้ใบหญ้าในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งไหม้เป็นสีดำหมดแล้ว ทุกคนที่เข้าไปในนั้นเหมือนปีนออกมาจากเหมืองถ่าน ถ้าไม่ใช่เพราะคุ้นหูคุ้นตามีดฆ่าหมูที่อยู่บนเอวเหมียวอี้ สตรีนางนั้นก็คงจะไม่เอ่ยปากถาม
สาเหตุที่เรียกเหมียวอี้ว่าพี่ใหญ่บ้านจาง เพราะว่าเหมียวอี้ยังมีน้องสาวกับน้องชายอีก น้องชายอายุสิบสี่ ชื่อจางเฟิงเป่า น้องสาวอายุสิบสอง ชื่อลู่เสวี่ยซิน
…………………………