ห้องโถงภายในเรือนรับรองของจวนแม่ทัพ
เหมือนว่าทุกอย่างได้ถูกวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะทันทีที่ฟ่งหลันหลั่นได้รับพระราชานุญาตจากฮ่องเต้ นางก็ได้หันไปส่งสัญญาณให้กับบ่าวของจวนแม่ทัพ และไม่นานโต๊ะทรงกลมขนาดกลางตัวหนึ่งได้ถูกนำมาวางตั้งไว้ตรงกลางห้องโถง และมีจำนวนเก้าอี้วางล้อมอยู่จำนวน 5 ตัว
"ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลขอพระบรมราชาอนุญาตอีกหนึ่งเรื่องเพคะ หม่อมฉันต้องการท้าดวลดื่มสุรากับพวกเขาทั้งสี่ได้จะได้หรือไม่เพคะ"
ฟ่งหลันหลั่นทูลถามฮ่องเต้ จากนั้นนางก็ผายมือออกไปทางด้านข้างและเอ่ยชื่อพวกเขาทั้งสี่คนออกมา
คำกล่าวของสตรีน้อยได้สร้างความกังขาและความสงสัยต่อทุกคนภายในห้องนั้น ยกเว้นหลงอี้หลิง เขายังคงวางสีหน้าเรียบตึง นิ่งเฉย และยืนดูเหตุการณ์ด้วยท่าทีสุขุม
"ท้าดวลดื่มสุรา ?"
ฮ่องเต้ทรงย้อนถามอย่างแปลกใจ
"เพคะ ท้าดวลดื่มสุรา" สตรีน้อยทูลตอบกลับอย่างฉะฉาน แววตาแน่วแน่
องค์ฮ่องเต้ได้รับฟังคำตอบของนางที่ย้ำชัดเจนเช่นนั้นก็ทรงนั่งนิ่งเงียบไป
หลงอี้หลิงจึงได้กล่าวแสดงความคิดเห็นขึ้น เพื่อสนับสนุนในสิ่งที่สาวใช้ของตนต้องการ
"ฝ่าบาท! เพียงแค่ดวลสุราเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรับรองด้วยเกียรติของแม่ทัพของพระองค์"
ฮ่องเต้ทรงได้รับการยืนยันของแม่ทัพหนุ่ม จึงทรงทอดสายพระเนตรมองมายังขันทีเฒ่าของตน
"หม่อมฉันยินดีที่จะรับคำท้าดวลของแม่นางฟ่งผู้นั้น ขอฝ่าบาททรงโปรดอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
เฉากงกงกล่าวทูลต่อองค์ฮ่องเต้อย่างชัดถ้อยชัดคำ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าสตรีน้อยนางนั้นกำลังคิดวางแผนอะไรไว้อยู่กันแน่
ตัดสลับไปยังซ่งเฉาเกา พอได้ฟังหลงอี้หลิงพูด และได้ยินคำตอบตกลงจากเฉากงกง ซึ่งเป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ ยอมตกปากรับคำท้าดวลจากฟ่งหลันหลั่น
และพอหันไปสังเกตสีพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ พระองค์ดูเหมือนว่าจะเห็นดีเห็นงามตอบอนุญาต
ขุนนางขั้นสามมีสีหน้าซีดขาว แววตาตื่นกลัว และแสดงท่าทีร้อนรนใจในบางอย่างออกมาทันที
"ฝ่าบาท! สถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้เร่งด่วนยิ่งนัก เพื่อความปลอดภัยของพระองค์และทุกคนภายในเรือนแห่งนี้ และเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาต่อประชาชนด้านนอกนั่น พระองค์ควรจะเรียกให้เหล่าทหารองครักษ์เข้ามาควบคุมและนำตัวผู้กระทำผิดไปรับโทษดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ"
คำกราบทูลของเขาที่พูดแทรกแซงขึ้นอย่างร้อนรนใจได้สร้างความขุ่นเคืองพระทัยต่อฮ่องเต้อย่างที่สุด
"บังอาจ! เจ้าเป็นแค่ขุนนางขั้นสามกลับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าออกคำสั่งกับเราผู้เป็นกษัตริย์กระนั้นรึ! หากไม่เห็นโลงศพเจ้าก็คงจะไม่หลั่งน้ำตาสินะ!"
ซ่งเฉาเการู้ตัวว่าตัวเองได้ทำพลาดไปเสียแล้ว จึงได้ทรุดเข่าและหมอบกราบลงบนพื้นลงทันที
"พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันมิได้มีเจตนาคิดจะลบหลู่เบื้องสูงเลยพ่ะย่ะค่ะ ตะ แต่..." ขุนนางขั้นสามก้มหน้ามองพื้น ตัวสั่นงันงกและพยายามพูดแก้ตัว แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เยี่ยอ๋องก็ได้กล่าวแทรกขึ้น
"ฝ่าบาท วันนี้เป็นงานสมรสพระราชทานของซิงเอ๋อร์ แต่ตอนนี้กลับถูกสตรีต่ำต้อยแอบปลอมตัวสวมรอยเป็นเจ้าสาวแทนและยังไม่รู้ว่าธิดาของข้าเป็นตายร้ายดีร้ายยังไง หม่อมฉันรู้สึกกังวลและเป็นห่วงในความปลอดภัยของนางยิ่งนัก ได้โปรดทรงรับสั่งให้ทหารองครักษ์จับตัวคนผิดไปไต่สวนและเร่งตามหาคนเพื่อช่วยธิดาของหม่อมฉันให้พ้นภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
คำกล่าวของเยี่ยอ๋องก็ฟังดูมีเหตุผล ไม่ว่าเขาจะเคยทำความผิดในเรื่องใดมา หรือมุ่งหวังต้องการในอำนาจมากแค่ไหน แต่ในฐานะของบิดาย่อมเป็นกังวลและเป็นห่วงบุตรสาวของตนอย่างจับใจ
องค์ฮ่องเต้เองก็ทรงรักและเอ็นดูในตัวเยี่ยชิงเซียวไม่น้อย ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ สร้างความกดดันและยากที่พระองค์จะตัดสินพระทัยสั่งการอะไรลงไปอย่างเร่งด่วนโดยไร้ซึ่งหลักฐานได้ และในพระทัยลึก ๆ ก็ได้แต่เชื่อในใจตัวหลงอี้หลิงและสาวใช้ของเขา ว่าทั้งสองจะไม่ทำผิดต่อความไว้วางพระทัยของพระองค์ที่ทรงมอบให้
ฟ่งหลันหลั่นกลัวว่าองค์ฮ่องเต้จะเกิดความลังเลและอาจจะเปลี่ยนพระทัยในที่สุด นางจึงถือวิสาสะพูดแทรกขึ้น
"ฝ่าบาท ...เรื่องนั้นพระองค์โปรดวางพระทัยได้ คุณหนูเยี่ยยังคงปลอดภัยดี หม่อมฉันเพียงแค่ต้องการใช้สถานะเจ้าสาวของนาง เพื่อสะสางปัญหาและหนี้แค้นส่วนตัวกับคนในงานนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้คิดทำอันตรายนางถึงขั้นแก่ชีวิตอย่างแน่นอนเพคะ"
"ฝ่าบาท หม่อมฉันขอรับรองว่าทั้งหมดที่นางกล่าวมาเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้คุณหนูเยี่ยอยู่ในการคุ้มครองดูแลของทหารในหน่อยกองรบของข้าพระองค์"
ฮ่องเต้ทรงนั่งนิ่งและไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าหากไม่กระทำอะไรบางอย่าง สถานการณ์ตรงเบื้องหน้าคงจะยืดเยื้อไม่จบ ในที่สุดพระองค์ก็ได้ตอบตกลง
"ได้! เราอนุญาตตามนั้น พวกเจ้าทั้งห้าคนก็รีบดวลสุรากันซะ ความวุ่นวายพวกนี้จะได้จบลงเสียที เพราะหากเรื่องนี้ล่วงรู้ออกไปถึงหูเหล่าชาวบ้านข้างนอกจวนแม่ทัพแห่งนี้ ก็คงจะเป็นที่ครหาได้ว่า ผู้ที่มีอำนาจทั้งหลายทำตัวไร้ยางอายและก่อปัญหาภายในราวกับผู้ซึ่งไร้การศึกษา"
ฮ่องเต้ทรงมีพระดำรัสเยี่ยงนั้น ทั้งสี่คนก็ไม่อาจจะขัดรับสั่งได้
"พวกเราขอน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
บุรุษทั้งสี่ขานรับพระดำรัสจากฮ่องเต้ด้วยความจำใจ และในใจของพวกเขาต่างก็เคลือบแคลงสงสัยว่าสตรีน้อยนางนี้กำลังวางแผนสิ่งใด เพื่อมุ่งหวังทำร้ายและแก้แค้นต่อพวกตนกันแน่
หยวนจูวเย่ซึ่งนั่งนิ่งเงียบฟังคนอื่นพูดมานาน เขาก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพื่อจะเดินไปรวมตัวยังโต๊ะกลมที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว
ด้วยความเป็นกังวลและเป็นห่วงนายของตน ผู้คุ้มครองของหยวนจูวเย่ จึงได้คว้าหมับที่ท่อนแขนและเหนี่ยวรั้งตัวเขาไว้ พร้อมทั้งกล่าวทัดทานอย่างขึงขัง
"ไม่ได้นะขอรับคุณชาย พวกเราไม่รู้ว่านางผู้นั้นกำลังวางแผนสิ่งใดอยู่กันแน่ ดังนั้นข้าจะไม่ยอมให้ท่านไปเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนั้นเด็ดขาด"
หยวนจูวเย่รู้ว่าผู้คุ้มครองของเขาจงรักภักดีและเป็นห่วงเขาขนาดไหน แต่เขาเองก็มั่นใจว่า เนื้อแท้ของฟ่งหลันหลั่น มิใช่สตรีที่โหดเหี้ยมร้ายกาจอันใด อีกอย่างตัวเขาก็ทำผิดต่อนางอย่างไม่น่าให้อภัย เขาจึงไม่อาจจะปฏิเสธในคำขอนี้ของนางได้
บุรุษรูปงามวางมือทับลงบนมือของผู้คุ้มครองและตบลงไปบนหลังมือของอีกฝ่ายเบา ๆ
"ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงในความปลอดภัยของข้า แต่พวกเราเดินมาถึงขั้นนี้แล้วคงถอยไม่ได้แล้ว และดูท่าพวกเราคงไม่อาจจะฝืนลิขิตของสวรรค์ได้แล้วกระมัง"
เพียงแค่หยวนจูวเย่กล่าวอย่างสุขุมใจเย็นประโยคเดียวและรอยยิ้มอ่อนโยนที่เขามอบให้แทนคำขอบคุณ ผู้คุ้มครองก็ยอมปล่อยมือออกจากแขนของเจ้านาย และมองตามหลังอย่างห่วงใย
"คุณชายโปรดระวังตัวด้วย!"
ครู่ต่อมาทั้งห้าคนก็ได้นั่งล้อมวงลงบนโต๊ะทรงกลมขนาดกลาง และประจันหน้าเข้าหากัน
ทุกสายตาตรงนั้นต่างจับจ้องมองดวงหน้างามด้วยสายตาระแวดระวัง โดยเฉพาะซ่งเฉาเกา
เวลาต่อมา สาวใช้ของจวนแม่ทัพก็ได้นำจอกสุรามาวางเรียงลงบนโต๊ะตรงหน้าของทั้งห้าคน โดยวางเหยือกสีขาวหนึ่งใบไว้ตรงกลางโต๊ะ
ฟ่งหลันหลั่นไม่สนใจในสายตาของทั้งสี่คนที่กำลังจับจ้องมายังตน นางวางสีหน้าเรียบเฉย แววตาฉายแววเย็นชา พร้อมเอื้อมมือไปจับที่ตรงหูของเหยือกสีขาว จากนั้นหยิบมันขึ้นมาก่อนที่จะรินสุราในเหยือกนั้นใส่จอกของตัวเอง และยกขึ้นดื่มเป็นคนแรก
เมื่อสี่คนที่เหลือเห็นสตรีน้อยยกสุราขึ้นดื่มเรียบร้อย และนางยังดูปกติดี หยวนจูวเย่ก็จึงได้เริ่มเป็นคนที่สอง โดยที่ผู้คุ้มครองของเขายังคงจับจ้องมองมาอย่างไม่กะพริบตาและอยู่ในท่าเตรียมพร้อม
ปรากฏว่าทุกอย่างปกติ สีหน้าและท่าทางของคุณชายรูปงามผู้นี้ก็ยังคงดูไม่ต่างไปจากเดิม
เฉากงกงนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ด้านข้างของฟ่งหลันหลั่นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ได้ยื่นมือไปจับเหยือกสีขาวและรินสุราลงใส่จอกของตน จากนั้นเขาก็ยกขึ้นดื่มอย่างไม่มีท่าทีกังขาหรือเกรงกลัวต่อภัยที่รออยู่
เยี่ยอ๋องมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เมื่อสามในห้าคนได้ยกสุราตรงหน้าขึ้นดื่มเรียบร้อย และหากเขาเองจะนั่งนิ่งต่อไปเช่นนี้ เห็นทีคงได้ถูกตราหน้าทีหลังว่าเป็นคนขี้ขลาดตาขาวเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็ตัดสินใจรินสุราลงใส่จอกตรงหน้าและยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดเช่นกัน
ตอนนี้เหลือเพียงซ่งเฉาเกาที่ยังคงนั่งสีหน้าซีดขาว เม็ดเหงื่อมากมายผุดขึ้นมาบนใบหน้า แววตาล่อกแล่กและแสดงท่าทีหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด จนเยี่ยอ๋องทนมองต่อไม่ได้ จึงได้พูดตวาดเสี้ยวกร้าวใส่เขาอย่างหงุดหงิดรำคาญ
"เจ้าจะนั่งมองจอกสุรานั่นให้มันมีอะไรงอกออกมาก่อนอย่างนั้นรึ กะอีแค่สุรา เจ้าดื่มมาตั้งแต่หนุ่มแล้วจะกลัวอะไรกันหนักหนา รีบยกขึ้นดื่มซะ เรื่องบ้าบอพวกนี้จะได้จบเร็ว ๆ ซะที"
ซ่งเฉาเกาเป็นเบ๊คอยรับใช้และร่วมวางแผนการร้ายต่าง ๆ กับเยี่ยอ๋องมานาน พวกเขาสองคนจึงรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนเช่นไร และเมื่อถูกอีกฝ่ายกดดันไล่ต้อนให้จนมุมและกล่าวดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้น เขาก็ไม่ทนนิ่งเฉยให้ถูกต่อว่าฝ่ายเดียวเป็นแน่
"อ้อ! ขอโทษด้วย ข้าก็ลืมไปว่าสุราเหยือกนี้เป็นของจวนแม่ทัพ เลยอดระแวงและกลัวตายไม่ได้ เพราะถ้าหากว่าเป็นสุราจากจวนอ๋อง ไม่แน่ว่าข้าอาจจะมีชะตากรรมเหมือนคนในพระตำหนักต้องห้ามนั้นก็เป็นได้"
ซ่งเฉาเกากล่าวถ้อยคำทิ่มแทงถากถางเยี่ยอ๋อง เพราะมีความแค้นส่วนตัวกับเขานั่นเอง จึงได้ต้องการแฉความผิดของอีกฝ่ายออกมาให้ทุกคนได้รู้โดยทั่วกัน
ฟ่งหลันหลั่นกำหมัดแน่น นางทนนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ ภายใต้ดวงหน้างาม และดวงตากลมโตพยายามซ่อนความโกรธ ความแค้นและความเจ็บปวดเอาไว้ แต่มันก็ไม่อาจจะปกปิดสายตาของหยวนจูวเย่ไปได้
บุรุษรูปงามไม่อยากทนเห็นสตรีที่เขาหลงรักต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้ จึงได้พูดตัดบทสนทนาของเยี่ยอ๋องกับขุนนางขั้นสามขึ้นทันที
"เรื่องส่วนตัวของพวกท่าน ก็ควรไปพูดกันทีหลัง และหากท่านทั้งสองไม่อยากจะถูกฮ่องเต้ตรัสลงโทษต่อหน้าผู้คนในห้องโถงนี้ พวกท่านก็ควรรีบดวลสุราตรงหน้าซะให้จบเกมเร็ว ๆ"
คำพูดของหยวนจูวเย่สะกิดเตือนสติบุรุษวัยกลางคนทั้งสองให้หยุดชะงักการโต้เถียงที่เป็นอยู่ พวกเขาจึงพากันเงียบเสียงลง
จากนั้นซ่งเฉาเกาก็ยื่นมือออกไปตรงด้านหน้าอย่างสั่นเทา และจำใจยกจอกสุราของตนขึ้นดื่มตามทุกคนในโต๊ะกลมนั้นอย่างกล้ำกลืนฝืนทน
เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป การดวลสุราของทั้งห้าก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางการจับจ้องมองของผู้คนภายในห้องโถงอย่าสนอกสนใจว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ
แต่สิ่งที่สร้างความฉงนใจ จนเกิดคำถามขึ้นในใจของใครหลายคน ดูเหมือนว่าทั้งห้าคนนี้คอแข็งกันมาก และต่างฝ่ายต่างก็ผลัดกันยกจอกสุราของตนขึ้นดื่มวนรอบวงไปโดยไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน
ผ่านไปอีกครึ่งก้านธูป ตอนนี้เริ่มมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับซ่งเฉาเกา เป็นคนแรก
จู่ ๆ เขาก็ลุกพรวดพลาดยืนขึ้น พร้อมกับเขวี้ยงจอกสุราในมือลงบนพื้นด้านข้างอย่างแรง
เพล้ง!
พร้อมกับชี้นิ้วไปที่หน้าของไปยังหลงอี้หลิง และพูดโวยวายขึ้นอย่างขาดโทสะ
"หลงอี้หลิง! เจ้าคนหยิ่งยโส จอมอวดดี คิดว่าตัวเองเป็นแม่ทัพของฮ่องเต้เลยไม่เคารพผู้ใด และมักทำตามใจตัวเองตลอด
แม้ข้าจะมีตำแหน่งขุนนางต่ำกว่าเจ้า แต่เทียบประสบการณ์ชีวิตแล้วเจ้านั้นด้อยกว่าข้ามากนัก หากไม่มีเยี่ยอ๋องผู้ใจโลเลคอยสั่งห้ามข้าไว้ เจ้าคงตายด้วยฝีมือของข้าไปนานแล้ว"
แม่ทัพหนุ่มข่มสติและยืนฟังนิ่ง ๆ ไม่โต้ตอบอันใดกลับไป เพราะว่าการดวลสุราของคนทั้งห้ายังไม่จบลง
แม้แต่ฮ่องเต้ก็ต้องทรงพยายามระงับความโกรธไว้ก่อน เพราะทรงได้รับปากสตรีน้อยไว้ จึงได้ปล่อยเลยตามเลยไปก่อน
ซ่งเฉาเกายังคงพูดพล่ามโวยวายเสียงดังไม่หยุดปาก พร้อมทั้งชี้นิ้วกวาดไปรอบตัว และคราวนี้มาหยุดอยู่ที่เยี่ยอ๋อง พร้อมกับเดินเข้าไปผลักที่ไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรง
"ท่านอ๋อง! ท่านช่างโหดเหี้ยมและร้ายกาจยิ่งนัก ข้าอุตส่าห์จงรักภักดีต่อท่าน คอยรับใช้ท่านมานานหลายสิบปี และไม่ว่าท่านจะสั่งให้ไปทำเรื่อง ชั่วช้าเลวทรามอะไรหรือสั่งให้ไปเข่นฆ่าผู้ใด ข้าก็จัดการพวกเขาโดยไม่มีความปรานีตามคำสั่งของท่าน แต่ข้าเพียงแค่ขอสิ่งเดียว..."
เขากล่าวโวยวายและตบลงบนแผ่นอกของตัวเองตรงด้านซ้ายหลายที
"...ข้าเพียงขอสิ่งเดียว เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนในความซื่อสัตย์นั้น ท่านกลับปฏิเสธคำขอของข้าอย่างไม่ไยดี เหตุใดกัน! ท่านถึงได้ใจดำกับข้าด้วย ทำไม! ท่านจะต้องยกคุณหนูชิงเซียวให้ไปแต่งงานกับเจ้าแม่ทัพหนุ่ม อวดดีหยิ่งยโสผู้นั้นด้วย"
เอิ๊ก!
ขุนนางขั้นสามสะอึกเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ คงเป็นเพราะพิษสุรา แม้แต่น้ำเสียงยังพูดลิ้นพันกันเป็นพัลวัน
แต่ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น
เยี่ยอ๋องดึงมีดสั้นออกมาจากไหนไม่รู้ และแทงสวนเข้าไปยังหน้าท้องของซ่งเฉาเกาและดูเหมือนจะโดนจุดสำคัญของเขาเข้าเต็ม ๆ
จากนั้นอ๋องเฒ่าก็ชักมือกลับ โดยที่มีดสั้นนั้นยังปักอยู่บนลำตัวของขุนนางขั้นสามผู้นั้น
สีหน้าของเยี่ยอ๋องกลับสร้างความแปลกใจให้กับผู้คนในโถงนั้น เขาดูนิ่งเฉย เย็นชา ทว่าแววตากลับเผยความโหดเหี้ยมอำมหิตไร้ซึ่งความเมตตาปรานีแผ่ออกมา
หลงอี้หลิงรีบเข้าไประงับเหตุไว้ทันที ก่อนที่จะเหตุการณ์จะแย่ไปกว่าเดิม
ฮ่องเต้ก็ทรงดูตกพระทัยมากกับการกระทำของเยี่ยอ๋องในครั้งนี้
ไม่ต่างจากบุรุษสองคนที่เหลือตรงโต๊ะกลมนั้น ต่างก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับซ่งเฉาเกาและเยี่ยอ๋อง หรือแม้กระทั่งภายในตัวของพวกเขาเองก็เช่นกัน
เฉากงกงนั่งยกจอกสุราขึ้นดื่มด้วยท่าทีสงบมาตลอดจนก่อนที่ซ่งเฉาเกาจะก่อเรื่อง แต่เวลานี้ ตัวเขาเองก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างเริ่มผิดปกติขึ้น
ความรู้สึกผิดในใจได้ก่อตัวรุนแรงขึ้นจนเห็นภาพหลอนบางอย่างในหัว น้ำตาของชายแก่หลั่งไหลพรั่งพรูอาบลงสองแก้มราวกับเด็กน้อย
มืออันแห้งเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบสัมผัสใบหน้าที่โรยราไปตามวัยของตัวเอง
นาทีต่อมาขันทีเฒ่าก็ทรุดตัวลงไปนั่งบนพื้น และหมอบกราบลงตรงนั้นราวกับฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา
"ฝ่าบาท! หม่อมฉันได้ทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง และซึ่งผิดต่อพระองค์จนไม่มีหน้าทูลขอพระราชทานอภัย...ฝ่าบาท...โปรดสั่งลงโทษประหารชีวิตหม่อมฉันเถิดพ่ะย่ะค่ะ...ฝ่าบาท!"
เฉากงกงยังคงก้มหมอบกราบและโขกศีรษะของตัวเองลงบนพื้น แต่ทิศทางที่เขาหันไป กลับตรงกันข้ามกับฝั่งที่ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ในขณะนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งสามคนได้สร้างความกังขาต่อผู้คนในห้องโถงยิ่งนัก
และตอนนี้แม้แต่หยวนจูวเย่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในตัวเขาเช่นกัน
เขารู้สึกว่าภายในหัวหนักอึ้ง จังหวะหัวใจก็เต้นผิดปกติ สายตาเริ่มพร่ามัว หูก็เริ่มดังอื้ออึง และรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียการทรงตัว บุรุษรูปงามมั่นใจว่านี่ไม่ใช่อาการของคนเมาเหล้าอย่างแน่นอน
หยวนจูวเย่จึงหยิบจอกสุราขอตัวเองขึ้นมาและดมใกล้ ๆ แต่กลับไม่ได้กลิ่นอันใดนอกจากกลิ่นของสุรา
จู่ ๆ มือไม้ แข้งขาของเขากลับหมดเรี่ยวแรงไปดื้อ ๆ จึงได้พยายามใช้แรงที่เหลืออันน้อยนิดวางมือลงบนโต๊ะทันที
ปัง!
เขาพยายามประคองร่างกายตัวเองไว้เพื่อไม่ให้หน้าฟุบฟาดลงบนโต๊ะตรงหน้า พร้อมกับเงยหน้าจ้องมองฟ่งหลันหลั่นด้วยสายตาเจ็บปวด และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาบาง
"น่ะ ในสุรานี้มียาพิษงั้นรึ!"
เมื่อผู้คุ้มกันของเขาได้ยินเช่นนั้น เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปจี้สกัดจุดชีพจรให้กับผู้เป็นนายไว้อย่างรวดเร็ว และนาทีต่อมาเขาก็ชักดาบจ่อที่ลำคอยาวระหงของสตรีน้อยตรงเบื้องหน้า และฉายแววตาดุดันเหี้ยมเกรียมจ้องหน้านาง
"ตอบมา! เจ้าผสมอะไรลงไปในสุราให้พวกเขาดื่มกันแน่!"
ฟ่งหลันหลั่นดูไม่ได้สะทกสะท้านหรือตกใจกลัวคมดาบนั้นของคนตรงหน้าเลยสักนิด มือน้อยนิ้วเรียวยาวยังคงยื่นออกไปหยิบเหยือกใบสีขาวตรงหน้าและรินสุราลงใส่จอกสุราของตนอย่างช้า ๆ
จากนั้นนางก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มด้วยความใจเย็นต่อหน้าเขาผู้นั้นอย่างท้าทาย แววตาฉายประกายความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ไม่กลัวตาย พร้อมกับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวจิ้งจอกน้อย
ท่ามกลางความตกใจของผู้คนมากมายที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม้แต่หลงอี้หลิงเองก็ไม่รู้เรื่องในส่วนนี้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
'หลั่นเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรกับพวกเขากันแน่ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายความเชื่อใจที่ข้ามีต่อเจ้าอย่างหมดหัวใจนะ'
ทันใดนั้นเอง สตรีผู้ที่ทุกคนต่างสงสัยว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหนกันแน่ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
"ฟ่งหลันหลั่น! เจ้าห้ามทำร้ายบิดาของข้านะ" เสียงของเยี่ยชิงเซียวตะโกนดังลั่นลอดผ่านประตูใหญ่ของเรือนรับรองแทรกเข้ามาภายในห้องโถง
ทุกคนจึงพากันเบนสายตาหันไปมองยังจุดที่เป็นต้นกำเนิดของเสียงนั้นทันที
เยี่ยชิงเซียวยืนตระหง่านอยู่ตรงกลางประตูใหญ่ โดยที่ไม่หลงเหลือสภาพของคุณหนูผู้สูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย นางสวมอาภรณ์ของสาวใช้ซึ่งทั้งเก่าและขาดวิ่น ใบหน้างามสกปรกมอมแมมไปด้วยฝุ่นเถ้าถ่าน และพอสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าตรงข้อมือน้อยของนางที่กำลังชี้นิ้วมายังฟ่งหลันหลั่น แดงคล้ำเป็นรอยเสียดสีของเชือกขนาดใหญ่อย่างว่าเพิ่งผ่านการผูกรัดไว้อย่างแน่นหนามานาน
ฟ่งหลันหลั่นวางจอกสุราลงในมือ และค่อย ๆ เบนหน้าหันไปมองตามทุกคน และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาพลิ้วไหวราวสายลม
"คุณหนูเยี่ย! เจ้าช่างใช้เวลานานเสียจริงนะ ข้าอุตส่าห์มัดปมเชือกนั้นไว้แค่หลวม ๆ เท่านั้น ข้าละนั่งลุ้นอยู่ตั้งนาน นึกว่าเจ้าจะมาไม่ทันสั่งลาบิดาของเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายซะแล้ว"
น้ำเสียงเย็นชาของฟ่งหลันหลั่นที่หันไปกล่าวกับเยี่ยชิงเซียว ดูแตกต่างไปจากสตรีน้อยคนเดิมที่คนของจวนแม่ทัพและเรือนสกุลหลงรู้จักอย่างสิ้นเชิง
เซียงไค 盛開