ตอนที่ 40 กระแสมิติและห้วงเวลาที่ไหลเชี่ยว
“ตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเรารอดชีวิตไปได้”
กงซุนซีล้วงเข้าไปในถุงสัมภาระก่อนจะหยิบลูกบอลเหล็กสีดำมืดขึ้น
“คุณยังไม่ได้ถูกราชันมารพบตัว ฉะนั้นรีบไปยังอีกโลกโดยรวดเร็ว หลังจากที่หาค่ายกลขนาดใหญ่ที่ฉันจัดตั้งไว้เจอแล้ว ก็ขอให้วาง ‘ตราแห่งศรัทธา’อันนี้ลงไป”
กู่ฉิงซานลังเล “นายพลกงซุน พลังอำนาจของคุณแข็งแกร่งอย่างที่ฉันเทียบไม่ติด ทำไมคุณถึงไม่ไป…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงของกู่ฉิงซานค่อยๆ จางหายไป
เนื่องเพราะเบื้องหน้าเขา กงซุนซีได้ปลดกระดุมเสื้อออก เผยให้เห็นบาดแผลอันน่าสยดสยอง
เปลวเพลิงสีเขียวเข้มลุกไหม้จากไหล่ลามลงมาถึงหน้าอก และจากเอวลามไปถึงหลัง
มันเป็นแผลลึก ลึกเข้าไปจนถึงขั้วหัวใจ ชนิดที่ว่าหัวใจถูกสะบั้นจนแยกจากกันเป็นสองส่วน
เปลวเพลิงยังคงลุกไหม้อย่างสงบ บริเวณโดยรอบของมันถูกวางไว้ด้วยรูนเพื่อไม่ให้เปลวไฟลุกลามสร้างความเสียหายเพิ่มเติมได้อีก
เพลิงผลาญเก้าพิภพ ในบรรดาเพลิงมาร นี่นับว่าเป็นเพลิงที่รุนแรงที่สุด
กู่ฉิงซานเหลือบมองไปที่มัน แล้วบังเกิดแค่เพียงความเงียบงันขึ้นในจิตใจ
มันคือไฟที่เป็นต้นเหตุของความแห้งแล้ง ขอแค่เพียงกลุ่มก้อนเล็กๆ ของเปลวไฟนี้ไปตกลงที่ใด มันจะสามารถเปลี่ยนแม่น้ำและลำธารในรัศมีพันลี้ให้กลายเป็นสีชาด!
ทว่าภายในตัวของกงซุนซีที่โดนกระบวนท่านี้เข้าไป กลับยังคงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ นี่มันนับว่าเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้
กงซุนซี “ฉันได้ใช้สิบค่ายกลจองจำเก็บกักพลังชีวิตของตนเองเอาไว้ ดังนั้นฉันจึงยังไม่ตาย แต่บาดแผลที่ราชันมารฝากเอาไว้ด้วยตัวเองนี้ จะทำให้มันสามารถรับรู้ถึงตัวตนของฉันได้ในทุกที่ๆ ฉันจะไป ”
กู่ฉิงซาน “แล้วคุณจะทนได้อีกนานแค่ไหน?”
กงซุนซี “ครึ่งวัน หลังจากผ่านพ้นไปอีกแค่ครึ่งวัน สิบค่ายกลจองจำของฉันก็จะสูญสลาย แล้วฉันก็จะตายลงในที่สุด”
กู่ฉิงซานมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายและกล่าว “แล้วมีใครบ้างที่จะสามารถช่วยคุณรักษาอาการบาดเจ็บนี้ได้”
กงซุนซียิ้มและกล่าว “บางทีมันอาจจะเป็นไม่ได้ที่จะรักษา เว้นเสียแต่ว่าจะกลับไปยังที่ราบสูงของมนุษยชาติ จากนั้นก็เชิญผู้ที่มีสกิลรักษาอันโดดเด่นในระดับก้าวสู่เทพมาช่วยเหลือ”
กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก เขาหันไปมองหนิงเยว่ฉานที่ยังต่อสู้อยู่บนท้องฟ้า ก่อนจะขบฟันแน่นและกล่าว “ตกลง ฉันจะไป”
กงซุนซีดูจะสุขใจยิ่ง เขาวางลูกเหล็กลงบนมือของกู่ฉิงซานและกล่าว “ยังมีพวกเราบางคนอยู่ในโลกเทวะ แต่ราชันมารน่าจะพบตัวพวกเขาแล้ว สันนิษฐานว่าพวกเขาคงเหมือนกับตายไปแล้ว ฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มากเกินไปนัก”
ดิสก์ค่ายกลถูกนำออกมา และวางลงบนมือของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานมองมันและเห็นว่าดิสก์ค่ายกลนี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน แต่ละส่วนมีรูนค่ายกลที่ดูสลับซับซ้อน
กงซุนซีหยิบดิสก์ค่ายกลขึ้นมาแล้วอธิบายการทำงานของแต่ละชิ้นจนครบ “นี่เป็นดิสก์ค่ายกลสารพัดประโยชน์ มันบรรจุไว้ซึ่งค่ายกลทั่วไปหลายชนิดอยู่ภายใน นอกจากนี้ยังสามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงได้อีกด้วย .. แต่ก็ปล่อยได้อย่างจำกัดน่ะนะ”
“และนี่คือแผนภาพตำแหน่งที่ตั้ง”
หลังจากอธิบายทุกอย่างแล้ว กงซุนซีก็หยิบกระจกหกเหลี่ยมขึ้นมาปล่อยให้เขาขึ้นไปยืนบนมัน
“ท่ามกลางกระแสของห้วงเวลาและมิติ จงอย่าสนใจสิ่งใด ขอให้เพิกเฉยต่อทุกสิ่ง อย่าทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด หากมีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นแล้วล่ะก็…แม้กระทั่ง ‘ไตรภาคี’ ก็ไม่อาจช่วยคุณได้”
“ฉันเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้า
“ถ้างั้นก็…ไป!” กงซุนซีกระแทกฝ่ามือไปทางกู่ฉิงซาน
และพริบตาเดียว ร่างของกู่ฉิงซานก็หายวับไป
ปัง! ปรากฏเสียงหนักทึบ พร้อมกับร่างของหนิงเยว่ฉานที่ถูกรามสูรไร้พักตร์โจมตีจนร่วงลงจากกลางอากาศ ตกกระแทกกับพื้นดินจนเกิดเป็นหลุมลึก
“ชิ”
หนิงเยว่ฉานส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ก่อนจะกระโจนขึ้นมาจากหลุม
“คุณส่งเขาไปยังโลกเทวะอย่างงั้นเหรอ?” เธอเอ่ยถาม
กงซุนซี “ใช่แล้ว ฉันและเธอถูกกักขังไว้ด้วยจิตสัมผัสเทวะของราชันมาร หากพวกเราไปกับเขาด้วย ราชันมารจะต้องไม่ปล่อยให้พวกเราเข้าใกล้ค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างแน่นอน”
“หรือว่า…คุณจะต้องการให้เขาหนีไป?”
กงซุนซีถอนหายใจและกล่าว “ฉันได้บอกความลับแก่เขาไปแล้ว ถ้าหากเขาสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ เขาก็จะเป็นคนถ่ายทอดข้อความของพวกเราออกไปเอง”
หนิงเยว่ฉานยืนอยู่ท่ามกลางสายลม ดวงตาที่เย็นชาของเธอค่อยๆ กลับมาอ่อนโยนลงอย่างช้าๆ
เธอเช็ดเลือดตรงมุมปาก กล่าวเสียงแผ่ว “ดูเหมือนคุณจะเตรียมใจเอาไว้แล้วสินะ…”
มือของเธอวูบไหว พร้อมกับกระบี่ยาวที่ปรากฏขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า
“ส่วนฉันก็เตรียมใจเอาไว้แล้วเหมือนกัน ถ้าหากสามารถฆ่าเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ได้ ต่อให้ต้องตาย ฉันก็จะไม่เสียใจ!”
กล่าวจบ กระบี่ยาวในมือก็ถูกกุมแน่น ก่อนที่ทั้งคนทั้งกระบี่จะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่าตนได้กลายเป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ ลอยคว้างอยู่ในความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด
กระแสของเวลาแปรเปลี่ยนจนไม่อาจคาดเดาได้ สัมผัสการรับรู้ถูกยืดขยายออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด และบางครั้งก็รู้สึกว่ามันเหมือนกับหลายวันผ่านพ้นไปแต่จริงๆ แล้วทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น
รอบทิศทางที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุดค่อยๆ จางหายไป และถูกแทนที่ด้วยหลุมลึกสีทะมึนอันไร้ก้นบึ้ง
นี่คือชั้นนอกสุดของห้วงมิติ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ตัดผ่าน มันคือกระแสอันเชี่ยวกรากของมิติและห้วงเวลา
หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม
ในตอนที่เขาได้จุติใหม่อีกครั้ง เขาก็ได้สัมผัสกับฉากนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงรับรู้ได้ว่ามันน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์การต่อสู้มามากมาย และเผชิญกับอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังอดหวังไม่ได้ที่จะขอให้การเดินทางในครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี
“มันคงจะเป็นการที่ที่สุด ถ้าไม่พบเจอสิ่งใดเลย”
กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างลับๆ
วินาทีต่อมา ทั่วทั้งโลกก็สลายหายไปอย่างฉับพลัน กู่ฉิงซานทะลวงเข้าไปในห้วงมิติและเวลาอันเชี่ยวกราก
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ปัจจุบันกู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่ามีกระแสธารเชี่ยวกรากม้วนอยู่รอบตัวเขา วิสัยทัศน์มืดบอด ร่างของเขาถูกส่งข้ามห้วงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตด้วยความเร็วที่ไม่อาจจินตนาการได้ดูเหมือนเขาจะได้เข้ามาสู่ชั้นกลางแล้ว
เบื้องหน้าของกู่ฉิงซานปรากฏดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน ก่อนที่เขาจะถูกผลักดันให้เข้าสู่ฉากนี้อย่างแรง
และภาพต่อมาที่พบก็คือ เสายักษ์สีบรอนซ์ที่ยาวเสียดฟ้า ราวกับว่ามันได้เชื่อมต่อสวรรค์และโลก ถูกตั้งทิ้งไว้อยู่ในพื้นที่โล่งกว้าง
ตรงกลางเสายักษ์ ปรากฏร่างที่ถูกตอกยึดไว้อย่างแน่นหนาด้วยตะปูห้าดอก
ร่างดังกล่าวอยู่ในสภาพห้อยหัว ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยชุดเกราะสีหมึกกว่าสิบชั้น
ถึงกระนั้น เมื่อเทียบกับเสายักษ์สีบรอนซ์แล้ว ร่างของเขาก็เป็นแค่เพียงมดตัวน้อยๆ
ใต้เสายักษ์สีบรอนซ์ เต็มไปด้วยโครงกระดูกสีดำนับไม่ถ้วน พวกมันเดินวนไปมา ดูเหมือนว่าจะพยายามที่จะปีนป่ายขึ้นไป
โครงกระดูกกองรวมกันและเริ่มซ้อนทับกันเป็นชั้นกองพะเนินสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะสัมผัสกับร่างที่ถูกตรึงเอาไว้อยู่แล้ว
กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า แต่ยังคงบินผ่านมิติและห้วงเวลาอันแปลกประหลาดนี้ต่อไป ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ช่วยฉันด้วย”
ทันใดนั้นเอง เสียงๆ หนึ่งก็ดังก้องขึ้นในจิตใจของเขา
กู่ฉิงซานกัดฟันแน่นและยังคงบินไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดเหลียวหลัง
เวลานี้เขาจะหยุดไม่ได้ การเคลื่อนไหวแค่เพียงเล็กน้อย อาจจะส่งผลกระทบต่อชั้นพลังแปลกๆ ที่กำลังห่อหุ้มรอบตัวเขาอยู่ในตอนนี้
ชั้นพลังนี้กำลังชักนำกู่ฉิงซานเข้าไปสู่โลกเทวะ หากเกิดความผิดปกติขึ้น ผลที่ตามมาก็ไม่อาจคาดเดาได้
มีความเป็นไปได้ว่าเข้าจะหลุดไปอยู่ในโลกที่ไม่รู้จัก หรืออาจจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ในพริบตาเดียว แต่สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ เขาจะติดอยู่ในโลกใบนี้ และไม่อาจหนีออกไปได้อีกเลย
“ถ้าคุณช่วยฉัน ฉันจะมอบชีวิตนิรันดร์ไม่มีวันดับสูญให้แก่คุณ”
เสียงนั้นยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ทว่าแม้จะตกอยู่ในสภาพดังกล่าว แต่น้ำเสียงก็ยังเจือไว้ซึ่งความภาคภูมิเล็กน้อย
กู่ฉิงซานเพิกเฉยต่อมันโดยสิ้นเชิง และในที่สุดมันก็จางหายไปพร้อมกับเขาที่ทะลวงเข้าสู่มิติและห้วงเวลาอันมืดมิดอีกชั้นหนึ่ง
ไม่นานนัก
ร่างบนเสายักษ์สีบรอนซ์ก็เริ่มขยับตัว อ้าปากปล่อยลมหายไปเฮือกหนึ่ง
ลมหายใจนี้เต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีเขียวเข้ม และพริบตาเดียวโครงกระดูกสีดำที่อยู่เบื้องล่างทั้งหมดก็พลันถูกเผาจนเกลี้ยง
“บ้าจริง อุส่าห์มีชีวิตอยู่ได้ตั้งสองร้อยล้านปี แต่ดันปล่อยให้เขาหนีไปซะได้”
ร่างนั้นพยายามดิ้นรนต่อสู้อย่างหนัก แต่ตะปูทั้งห้าที่ตอกตรึงร่างกายของเขาไว้กลับไม่แม้แต่จะสั่นไหว
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างกายที่ดิ้นรนก็เริ่มเหนื่อยล้า ก่อนจะกลับมาสงบนิ่งดังเดิม
ภายใต้พื้นดินเหนียวเบื้องล่างเสายักษ์สีบรอนซ์ โครงกระดูกสีดำค่อยๆ ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่นาน ฝูงโครงกระดูกก็กลับมาเต็มพื้นที่ พวกมันเงยหน้าขึ้นมองร่างที่ถูกตอกตรึงกับเสาและเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
กู่ฉิงซานยังคงมุ่งหน้าบินต่อไปท่ามกลางมิติและห้วงเวลาอันปั่นป่วน และไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน แต่แล้วจู่ๆ วิสัยทัศน์เบื้องหน้าเขาก็เปิดออกอย่างกะทันหัน
กู่ฉิงซานกระโจนเข้าไป วินาทีนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่าน ชั้นพลังอันท่วมท้นที่ห่อหุ้มร่างกายค่อยๆ เบาบางลงเรื่อยๆ เผยให้เห็นถึงรูปทรงของมันในอากาศ
มันคือบอลสีขาวน้ำนม กู่ฉิงซานอยู่ภายในนั้น ตัวเขาดูราวกับถูกห่อหุ้มด้วยชั้นฟองสบู่ก้อนโต กำลังล่องลอยอยู่รอบๆ
ด้านนอกบอล เต็มไปด้วยชั้นหมอกปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นดินและท้องฟ้า
หมอกพวกนี้มันแปลกประหลาดมาก เห็นได้ชัดว่ามันอัดแน่นไปด้วยสีดำทะมึน แต่กลับโปร่งใส ทำให้เขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบที่อยู่ห่างไกลได้อย่างชัดเจน
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ มองไปไกลจนสุดสายตาจะมองเห็น
สุดสายตาของเขาเต็มไปด้วยพื้นที่อันไร้ที่สิ้นสุดที่เผ่ามารครอบครอง ส่งผลให้ฉากนี้แลดูคล้ายจุดสิ้นสุดของโลก
ในระยะที่ไกลออกไป กู่ฉิงซานเห็น เท้าของรามสูรไร้พักตร์ที่ร่างของมันอยู่ลึกขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือเมฆ กำลังต่อสู้อยู่กับเผ่ามารอีกตัวหนึ่งที่ปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยียบออกมาจากทั่วร่าง
เขาได้ก้าวเข้ามาสู่โลกที่ถูกทำลายเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนพวกมารก็ได้เข้ายึดครองสถานที่แห่งนี้แล้วเช่นกัน!
........................................