webnovel

ตอนที่ 1 : ก้าวแรกแห่งรสชาติกาแฟ

่        ติ๊ง!

        เสียงแจ้งเตือนอีเมลจากมือถือเครื่องบางดังขึ้นในขณะนั้น ทำให้เจ้าของห้องที่กำลังนอนหลับไหลอยู่ในผ้าห่มนวมผืนใหญ่รู้สึกตัวขึ้นมาอย่างงัวเงีย

        "ใครส่งอะไรมาแต่เช้าเนี่ย ฮื่อ…" มือบางควานหามือถือที่ตัวเองวางไว้บนที่นอนเมื่อคืนไปมาอย่างสะเปะสะปะแล้วทำการเปิดอ่านข้อความที่เพิ่งถูกส่งมาเมื่อไม่นานมานี้

        'ขอแสดงความยินดีกับคุณ ธาริช เจตนุวัทย์ คุณได้ผ่านการสัมภาษณ์เป็นพนักงานฝึกประสบการณ์ของ Coffee Favor Café'

        เมื่อได้เห็นข้อความที่ถูกส่งมาแบบชัดเจนแล้ว ถึงกับทำให้เขาต้องเบิกตากว้างขึ้นในทันที พร้อมกับตะโกนออกมาดังลั่นห้องด้วยความดีใจ

        "เยส! ในที่สุดก็จะได้ชิมรสชาติของการเป็นเด็กฝึกงานแล้วเรา… เย้ๆ ดีใจที่สุดเลย" ก็จะไม่ให้ดีใจได้ยังไงล่ะ การได้เข้าไปฝึกงานที่นั่นมันเป็นหนึ่งในความฝันของเขาที่อยากจะทำเลยนะ

        ธาริช เจตนุวัทย์ หรือ ลาเต้ คือชื่อของเขาเอง ความฝันของเขาคือการได้เป็นบาริสต้าในร้านกาแฟที่โด่งดังและเป็นที่น่าจับตามองอย่าง Coffee Favor Café มันเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคอกาแฟเลยทีเดียว นอกจากจะเป็นร้านกาแฟแล้ว ในเครือเดียวกัน เจ้าของยังมีบริษัทเกี่ยวกับการส่งออกเครื่องดื่มกาแฟหลายๆ ชนิดอีกด้วย ที่สำคัญกาแฟที่นำมาทำนั้นยังเป็นกาแฟที่ปลูกเองจากไร่อีกต่างหาก เรียกได้ว่ามีครบทุกอย่างตามที่ต้องการเลยก็ว่าได้

        เฮ้อ… ถ้าเกิดมารวยแบบนี้ก็คงจะดีสินะ ได้แต่ฝันลมๆ แล้งๆ แบบนี้ต่อไปแล้วกันเรา…

        "ฮื่อ… มัวแต่ดีใจจนลืมไปเลยนะเนี่ย โทรไปบอกไผ่กับลูกหว้าด้วยดีกว่า" เมื่อคิดแบบนั้น นิ้วเรียวก็กดเข้าแอปพลิเคชันหนึ่งก่อนจะกดโทรกลุ่มไปทันที

        ตู๊ดดด ตู๊ดดด

        [ฮัลโหล ว่าไงลาเต้เพื่อนรัก] รอสายไม่นานปลายสายทั้งสองก็กดรับ

        [นั่นสิลาเต้ โทรมาซะเช้าเชียว] ไผ่กรอกเสียงมาตามสาย แล้วตามด้วยลูกหว้าเพื่อนสาวของเขาเอ่ยกลับมา

.       "เช้าอะไรล่ะไผ่ ลูกหว้า นี่มันจะสิบโมงแล้วนะ!" ลาเต้บอกปลายสาย

        [เออว่ะ! ใช่จริงด้วย แต่เดี๋ยวนะ… วันนี้ว่างหนิ เราไม่ได้มีนัดไปไหนกันไม่ใช่เหรอ] ไผ่ว่า

        [ใช่ๆ เราควรจะนอนหลับพักผ่อนเยอะๆ นะตื่นขึ้นมาจะได้หน้าตาสดใส เจอแต่เรื่องดีๆ] ลูกหว้ากล่าวต่ออีกคน

        "นี่ๆ ทุกคนหยุดแล้วฟังเราก่อนนะ มีเเน่ๆ มีข่าวดีมาถึงเราแล้ว แต่อย่าบอกว่าไม่ได้เปิดอีเมลดูกันอ่ะ" ลาเต้ถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย

        [ข่าวดีเหรอ ข่าวดีอะไรลาเต้…] ไผ่นิ่งเงียบถามขึ้นทันที คงไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม

       "งั้นไผ่กับลูกหว้าลองไปเปิดอีเมลดูแล้วกัน รับรองว่าเซอร์ไพร์สแน่!" ลาเต้บอก

        […..] ทั้งสองเงียบไปสักพักก่อนจะ…

        [กรี๊ดดดด! ผ่านแล้วๆ ได้ที่ฝึกงานแล้ว เย้ๆ] เป็นเสียงของลูกหว้าที่ดังมาตามสาย จนเขาต้องยกมือถือออกให้ห่างจากหูนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นคงได้แสบแก้วหูแน่

        [ฝันไปแน่ๆ เลยว่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลย] ไผ่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

        "ไม่ได้ฝันหรอกไผ่ ลูกหว้า เราได้ฝึกงานที่ Coffee Favor Café แล้วทุกคน…" ลาเต้เสริมขึ้น เกินฝันจริงๆ

        [งั้นวันนี้พวกเราไปซื้อของใช้สำหรับเริ่มฝึกงานอาทิตย์หน้าดีไหม] ลูกหว้าเอ่ยชวน

        [เออใช่ๆ ซื้อเสร็จก็ไปหาอะไรกินต่อ ฉลองที่สัมภาษณ์งานผ่านเป็นไง] ไผ่พูดต่อ

        "โอเค ตามนี้เลย งั้นตอนนี้พวกเราแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัวกันก่อนดีกว่า เเล้วไปเจอกันที่ห้างก่อนเที่ยงนะ"

        [โอเค ดีล] ไผ่ตอบรับ

        [งั้นบายจ้า เจอกันๆ] ลูกหว้าบอกก่อนที่ทั้งสามคนจะวางสายกันไป

 

        ณ ห้างสรรพสินค้า

        "กินอะไรดีอ่ะไผ่ ลูกหว้า เราเลือกไม่ถูกเลย" ลาเต้เอ่ยถามเพื่อนของตัวเองที่เดินขนาบข้างมาด้วยกัน

        "ไหนว่าจะซื้อของเสร็จก่อนแล้วค่อยไปหาอะไรกินไง" ไผ่ถาม ตกลงกันก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่ไหงมาเปลี่ยนกะทันหันแบบนี้ล่ะ

        "จะอะไรซะอีกล่ะ ก็เพื่อนตัวดีของนายไง บ่นหิวๆ อยู่นั่นแหละ" ลูกหว้าบอก

        "เรื่องกินนี่ให้ที่หนึ่งเลยนะลาเต้!" ไผ่ว่าปนเอ็นดูเพื่อนเล็กน้อย

        "แหะๆ ก็เราหิวนี่นา ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยอ่ะ" พูดพร้อมทำหน้าอ้อนเบาๆ

        "อ่าๆ พอเลย ไม่ต้องมาทำหน้าอ้อน ไปหาอะไรกินก่อนก็ได้ แล้วกินเสร็จก็อย่ามาบ่นง่วงทีหลังแล้วกันนะ ไม่งั้นจะหยิกให้เขียวเลยคอยดู" ไผ่ขู่เล็กน้อย แต่มีเหรอว่าเขาจะกลัว

        "นี่นายเป็นเพื่อนหรือพ่อของลาเต้กันเเน่เนี่ย บ่นเก่งจังเลย" ลูกหว้ามองเพื่อนทั้งสองคนที่เหมือนพ่อบ่นลูกมากขึ้นทุกวัน เป็นแบบนี้จนชินไปเสียแล้ว

        "ใช่ๆ ไผ่ชอบบ่นอ่ะ เดี๋ยวก็หน้าแก่ก่อนวัยหรอก" พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยทันทีกับคำของเพื่อนสาวของตัวเอง

        "ให้ท้ายกันแบบนี้แหละ เพื่อนตัวดีของเธอถึงได้ดื้อตาใสแบบนี้เนี่ย"

        "โอ๋ๆ เราเป็นเด็กดีขึ้นแล้วน๊า จริงๆ" พูดอย่างเดียวไม่พอยังมาทำตาปริบๆอีก แบบนี้จะไม่ให้ใจอ่อนได้ยังไงล่ะ

        "โอเคๆ งั้นไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า ท้องกิ่วหมดแล้วเนี่ย ไปๆ" พูดจบลูกหว้าก็เดินลากแขนเพื่อนทั้งสองไปทันที

        อีกฝั่งหนึ่งของห้าง

        "วันนี้มีนัดคุยงานกับลูกค้าคนไหนอีกหรือเปล่ามานพ" เสียงทุ้มของชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลาในชุดสูทสีเข้มตามแบบฉบับนักธุรกิจเอ่ยถามเลขาของตัวเอง โดยที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับงานในไอแพดที่ถืออยู่

        "ไม่มีแล้วครับ แล้วท่านรองจะกลับเลยไหมครับ" เลขาหนุ่มถามผู้เป็นเจ้านายกลับ

        "อืมกลับเลยแล้วกัน นายก็กลับบ้านเลยนะ วันนี้วันเสาร์ไม่มีงานอะไรที่บริษัทแล้ว" เขาบอกกับเลขา

        "ได้ครับ แล้วท่านรองจะให้ผมขับรถไปส่งไหมครับ"

        "ไม่เป็นไร พรุ่งนี้วันอาทิตย์ วันนี้ฉันจะแวะไปเอาของที่คอนโดก่อนเข้าบ้านใหญ่ด้วย" เขาตอบ

        "ครับ…" เลขาตอบรับ ก่อนจะพูดต่อเมื่อนึกอะไรได้ "เอ่อ… ท่านรองครับ คุณหญิงท่านฝากมาบอกว่า เดือนหน้าคุณรินดาจะกลับมาจากอังกฤษ ให้ท่านรองไปรับเธอด้วยครับ"

        "ที่บ้านเขาไม่มีคนไปรับหรือไง ทำไมต้องให้ฉันไปรับ ฉันไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้นนะ"

        "เรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบครับ ท่านรองจะให้ผมถามคุณหญิงให้ไหมครับ" นี่ซื่อใช่ไหม

        "เฮ้อ… ไม่ต้องๆ เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายกลับไปเถอะ"

        "ครับท่านรอง" จากนั้นเลขาหนุ่มก็แยกตัวออกไปเพื่อกลับบ้านของตัวเอง

        "คุณแม่นะคุณแม่ ทำไมไม่ถามผมสักคำ เฮ้อ…" นี่ต้องถอนหายใจกับเรื่องนี้ไปกี่ครั้งกัน

 

        ทางฝั่งของสามเพื่อนซี้นั้นก็ได้หาของกินจนตอนนี้หนังท้องเริ่มตึงไปหมดแล้ว เมนูวันนี้คงจะหนีไม่พ้นชาบูซึ่งเป็นเมนูโปรดของนักกินประจำกลุ่มอย่างลาเต้นั่นเอง

        "ลูกหว้า ไผ่ เราขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ กินน้ำเยอะไปหน่อยอ่ะ…" ลาเต้บอกกับเพื่อนทั้งสอง วันนี้กินน้ำไปเยอะจนตอนนี้จุกไปหมดแล้ว

        "อะไรนะ! เพิ่งกินเข้าไปจะเอาออกแล้วเหรอ" ไผ่ถามอย่างไม่เชื่อ

        "งื้อ… ก็มันอร่อยนี่นา"

        "เอาล่ะๆ อย่าเพิ่งถามมากเลย ให้ลาเต้ไปเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่า เดี๋ยวก็ฉี่ราดลงกลางร้านหรอก" ลูกหว้าพูดขัดขึ้น ขืนปล่อยให้พูดกันต่อคงได้ฉี่ราดจริงนั่นแหละ

        "โอเคๆ รีบไปรีบมานะ หรือจะให้ไปเป็นเพื่อนไหม เดี๋ยวไปเดินซุ่มซ่ามชนใครเข้าอีก" ไผ่ว่า ขนาดต้นไม้ที่มันอยู่เฉยๆ ยังเดินไปชนได้เลย

        "ฮื่อ… ไผ่อ่ะ ไปดีกว่า" พูดจบก็รีบวิ่งออกจากร้านไปอย่างรวดเร็วทันที ทิ้งให้เพื่อนๆต้องส่ายหัวไปมา

 

       ห้องน้ำ

        "เฮ้อ… ค่อยโล่งขึ้นมาหน่อย ล้างมือก่อนดีกว่า" เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็จัดการปิดก๊อกน้ำแล้วหมุนตัวเตรียมเดินออกไปโดยไม่ทันได้ดู ก่อนจะ…

        พลั่ก! ตุ๊บ!

        "โอ๊ย!" ร่างบางของลาเต้ก็ได้ชนเข้ากับร่างแกร่งของใครคนหนึ่งจนตัวเองล้มลงไปนั่งกับพื้นห้องน้ำ

        "เป็นอะไรไหมครับ" เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถามคนตรงหน้าที่กำลังก้มหน้าปัดกางเกงอยู่

        "มะ ไม่เป็นไรครับ" ลาเต้ตอบเสียงแผ่วเบา เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานี่ไง ใครจะไม่รู้จักว่าที่เจ้านายของตัวเองกันล่ะ เกร็งเป็นบ้าเลยเนี่ย แถมยังเป็น…

        "ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมรีบเดินเข้ามาเลยมองไม่เห็นคุณ" อ้าว! นี่เขาว่าเราเตี้ยหรือเปล่านะ…

        "เอ่อ… คุณไม่ผิดหรอกครับ พอดีผมไม่ทันมองเอง แหะๆ" ร่างสูงมองเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้ม ตัวบางตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมาเบาๆ

        "คุณชื่ออะไรเหรอครับ ผม ภาวิน"

        "คือ… ผมชื่อลาเต้ครับ คือ…" รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เจอกับคนคนนี้ใกล้ๆ ไม่คิดไม่ฝันเลยสักที

        "หึ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอกครับ ทำตัวสบายๆเถอะ" เมื่อเห็นคนตรงหน้าทำท่าทีตะกุกตะกัก เขาก็อดที่จะบอกอย่างเอ็นดูไม่ได้

        "ครับ… คือที่จริงผมรู้จักคุณภาวินอยู่แล้วแหละครับ" ลาเต้บอก

        "หืม… รู้จักผมด้วยเหรอครับ" ร่างสูงถามอย่างแปลกใจ

        "ใช่ครับ คุณเป็นถึงนักธุรกิจที่กำลังเป็นที่จับตามองมากในตอนนี้ แล้วก็เป็น…"

        "เป็นอะไรเหรอครับ"

        "เป็นว่าที่เจ้านายของผมน่ะครับ!" คำตอบของร่างบางทำให้เขาถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนจะร้องอ๋อขึ้นมาในใจ

        "คุณคงเป็นนักศึกษาที่จะมาฝึกงานในร้านกาแฟของผมใช่ไหม" คำถามนั้นทำให้เด็กฝึกงานตัวน้อยพยักหน้าหงึกๆเป็นคำตอบทันที

        ตู๊ดดด ตู๊ดดด

เสียงเรียกเข้าจากมือถือดังขึ้นเรียกความสนใจจากสองคนที่กำลังคุยกันให้หยุดลง

        "ของผมเองครับ" ลาเต้บอก ทำให้ร่างสูงพยักหน้าเบาๆ

        "ฮัลโหล ลูกหว้ามีไรเหรอ"

        [ยังจะมาถามอีกนะ หายไปเข้าห้องน้ำถึงไหนเนี่ย ทำไมถึงนานอย่างนี้!" ลูกหว้าบ่นมาตามสาย

        "เออใช่! เราลืมไปเลยอ่ะ พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยเราเลยช้าอ่ะ"

        [เกิดอะไร แล้วเป็นอะไรมากไหมเนี่ย]

        "ไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวเราไปหานะ รอแปปนึง"

        [โอเคๆ เรากับไผ่จะไปรอที่โซนของใช้นะ รีบตามมาด้วย]

        "รับทราบ!" ติ๊ด! แล้วลูกหว้าก็วางสายไป

        "เพื่อนโทรมาตามเหรอ"

        "ใช่ครับ งั้นผมขอตัวไปหาเพื่อนก่อนนะครับ ออกมานานแล้ว"

        "ถ้าอย่างนั้น นี่ครับ…" พูดพร้อมยื่นมือถือของตัวเองให้อีกคน "ขอเบอร์ติดต่อไว้แล้วกันนะครับ ผมจะได้เลี้ยงข้าวเป็นการขอโทษที่ชนคุณล้ม"

        "ที่จริงไม่เป็นไรก็ได้นะครับ…" แต่พอมานึกดูอีกที ก็รับมือถือจากอีกคนมากดบางอย่างลงไป ก่อนจะส่งคืนให้เจ้าของเช่นเดิม "แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขอบคุณนะครับ เเเหะๆ" ไม่ได้เห็นแก่กินจริงๆนะ

        "หึ ครับไว้เจอกันนะครับ"

        "ครับผม! บ๊ายบายครับ…" พูดจบร่างบางของลาเต้ก็วิ่งไปทันที เหลือเพียงร่างสูงของอีกคนที่มองตามหลังจนร่างนั้นวิ่งลับสายตาไป

 

        "นั้นไง ไอ้ตัวดีวิ่งมาโน่นแล้ว" ไผ่ที่ยืนอยู่กับลูกหว้าเพยิดหน้าไปทางที่ลาเต้กำลังมาหาพวกเขา

        "แฮ่ก แฮ่ก มาแล้วๆ เฮ้อ… เหนื่อยอ่ะ" ลาเต้ทั้งพูดทั้งหอบอยู่ข้างๆ

        "ไปซนที่ไหนมาอีกล่ะถึงได้มาช้าขนาดนี้น่ะ" ไผ่ถามขึ้น

        "นั่นสิ เห็นบอกว่าอุบัติเหตุ เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหม" ลูกหว้าพูดพร้อมหมุนตัวเพื่อนร่างบางไปมา

        "เดี๋ยวๆ เราไม่ได้เป็นไรมากหรอก แค่ล้มนิดเดียวเอง" บอกกับเพื่อนแล้วยิ้มแฉ่งส่งไปให้

        "ดีแล้วที่เป็นไร คราวหลังก็ระวังด้วยนะ เดี๋ยวจะเจ็บตัวมากกว่านี้แล้วอย่ามางอแงทีหลังล่ะ" ไผ่พูดแล้วเอานิ้วดีดที่หน้าผากมนของเพื่อนเบาๆ

         "รู้แล้วน่า สัญญาด้วยเกียรติของนายธาริชเลย"

        "จ้าาา จะรอดูแล้วกันนะพ่อคนเก่ง"

        "งั้นเรารีบไปเลือกดูของดีกว่า จะได้รับกลับไปพัก ฉันเริ่มง่วงแล้วล่ะ สงสัยกินเยอะไปหน่อย ฮ่าๆๆ" ลูกหว้าเอ่ยชวนเพื่อนๆ

        "โอเค งั้นเราเริ่มที่ร้านนั้นกัน…" แล้วทั้งสามก็เดินเข้าออกแทบทุกร้านจนได้ของครบตามที่ต้องการก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านในเวลาใกล้มืดพอดี