บนแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแปดทิศสี่สมุทรต่างลือกันถึงเรื่องเทพธิดาทั้งสี่ที่ถูกอวี๋หลี่จวินทำโทษแขวนร่างบางของพวกนางบนสะพานเมฆาสวรรค์อยู่หลายชั่วยามเป็นที่น่าอับอาย จนมีข่าวลือต่อไปว่าที่พวกนางถูกลงโทษเช่นนั้น เพราะไปทะเลาะกันในตำหนักจวินเฟิงต่อหน้าต่อตาอวี๋หลี่จวินจนเป็นที่รำคาญใจ หนำซ้ำฟางเหนียงเองก็ถูกพูดถึงในทางที่ไม่ดีเช่นกัน เหล่าเทพสวรรค์ต่างพากันลือไปอีกว่า ฟางเหนียงแอบลอบเข้าตำหนักจวินเฟิงไปพบอวี๋หลี่จวินจนเกินงาม เมื่อเทพธิดาทั้งสี่ไปพบเข้าจึงเกิดเรื่องขึ้น
ณ ตำหนักเหมยฮวา ในที่สุดข่าวลือก็แพร่สะพัดจนถึงหูฟางเหนียง นางเป็นเทพธิดาดอกไม้สวรรค์มาห้าหมื่นปีมิเคยถูกผู้ใดติฉินนินทาเลวร้ายเช่นนี้มาก่อน ฟางเหนียงไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไรดี นางควรอธิบายเรื่องจริงออกไปหรือไม่ แต่หากนางทำเช่นนั้นก็จะเป็นการใส่ร้ายเทพธิดาทั้งสี่ว่ารังแกนางได้ พวกนางถูกทำโทษจนน่าอับอายเช่นนั้นแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรถูกพูดถึงอีกจึงจะถูกต้องใช่หรือไม่ ฟางเหนียงคิดไม่ตกจนถอนหายใจแล้วหลายเฮือก นางเก็บตัวอยู่ภายในตำหนักไม่กล้าออกไปข้างนอก กลัวว่าหากไปได้ยินเรื่องไม่ดีมาอีก นางจะทนไหวได้อย่างไร
"นายหญิงเจ้าคะ ท่านหลี่จวินมาขอพบนายหญิงเจ้าค่ะ" เซียนสาวรับใช้ประจำตำหนักเหมยฮวานางหนึ่งเดินมารายงานฟางเหนียงที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าต่าง
"เจ้าว่าอย่างไรนะ ใครมาขอพบข้า" ฟางเหนียงแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินชื่อของผู้มาเยือน ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
"ข้าเอง เจ้าลืมชื่อข้าแล้วหรือ" ไม่ทันให้เซียนสาวรับใช้ได้ตอบคำถามใด หลี่จวินก็เดินเข้ามาเองเสียเลย ฟางเหนียงที่นั่งอยู่ในท่าสบายตอนแรกถึงกับดีดตัวลุกขึ้นยืนตรงอย่างตกใจที่จู่ๆ หลี่จวินก็โผล่มาหานางเสียดื้อๆ
"ท่านหลี่จวิน ท่านมาได้อย่างไร" ฟางเหนียงเอ่ยถามน้ำเสียงสั่นอย่างประหม่า มือข้างหนึ่งแอบหยิกแขนอีกข้างของตัวเองเพื่อให้ความเจ็บนั้นย้ำว่านางไม่ได้กำลังฝันไป
"ข้ามาทวงสัญญาน่ะ" หลี่จวินตวัดมือทั้งสองข้างไปไพล่หลัง ลำตัวตั้งตรงสง่างามน่าเกรงขามสมชื่อเทพสงคราม ทว่าใบหน้ากับเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตา เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่ได้จริงจังขนาดนั้นจนกลัวจะเผลอยิ้มออกมาเสียก่อน
เหตุผลที่ทำให้เขามาเยือนตำหนักเหมยฮวาเป็นครั้งแรก เพราะซือมิ่งนำข่าวลือที่เหล่าเทพสวรรค์ต่างพูดกันมาเล่าให้เขาฟังอย่างละเอียดแล้ว หลี่จวินไม่สบายใจที่การลงโทษของเขาทำให้ฟางเหนียงพลอยถูกพูดถึงอย่างไม่ดีไปด้วย ภายในใจนึกเป็นห่วงเทพธิดาดอกไม้สวรรค์ นางผู้ที่ไม่เคยมีข่าวลือเสียหายใดมาก่อน เพราะไม่แน่ใจว่านางเป็นเช่นไรบ้าง เขาจึงต้องเป็นฝ่ายมาหานางถึงตำหนักเช่นนี้เพื่อพบนางให้แน่ใจว่า ฟางเหนียง เทพธิดาสาวผู้สดใสนั้นยังสบายดีอยู่หรือไม่
"ข้านึกออกแล้ว สัญญาเดียวที่ข้ารับปากท่านไว้ คือข้าจะทำปลาเก๋าสามรสไปให้ท่าน ท่านหลี่จวินหมายถึงสัญญานี้ถูกต้องหรือไม่" จบประโยคหลี่จวินจับสังเกตฟางเหนียงได้ว่านางมีสีหน้ามิสู้ดีอยู่จริงๆ อีกทั้งน้ำเสียงยังฟังดูไม่สบายใจอยู่มาก หลี่จวินครุ่นคิดภายในใจเพียงชั่วครู่ ก่อนเอ่ยปากออกไปอย่างนุ่มนวลว่า
"ใช่ ข้ารอกินปลาเก๋าสามรสฝีมือของเจ้า" หลี่จวินมองสบตาฟางเหนียงนิ่งอย่างตั้งใจ สองเท้าค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาร่างบางช้าๆ ในจังหวะสม่ำเสมอ ฟางเหนียงเห็นว่าหลี่จวินค่อยๆ เข้ามาใกล้ จึงเผลอก้าวถอยหลังหนีช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งถอยไปชนขอบโต๊ะน้ำชาแล้วจึงหยุดนิ่ง หลี่จวินเดินเข้ามาจนเกือบจะประชิดตัวฟางเหนียงในที่สุด เขาปล่อยมือที่ไพล่หลังมาเท้ากับขอบโต๊ะที่ฟางเหนียงยืนตัวแข็งค้างอยู่ระหว่างท่อนแขนแข็งแรงทั้งสองข้างของเขา
"ท่าน ท่านหลี่จวิน" ฟางเหนียงจ้องมองใบหน้างดงามของหลี่จวินในระยะใกล้จนต้องกลั้นหายใจ นางรู้สึกขึ้นมาได้ว่าหัวใจกำลังเต้นเร็วอย่างผิดจังหวะ หลี่จวินมักจะเย็นชาต่อนาง สงวนท่าทีและดูไร้ความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร แต่ในตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงได้เข้าหานางซะใกล้ขนาดนี้
"ข้าขอโทษ" ใบหน้าคนร่างสูงโน้มลงไปกระซิบข้างหูของหญิงสาวในอ้อมแขนเบื้องหน้า น้ำเสียงอ่อนหวานที่ฟางเหนียงไม่เคยได้ยินจากเขามาก่อนทำเอาน่าตกใจอยู่ไม่น้อย
"ทะ...ท่านขอโทษข้าเรื่องใดหรือเจ้าคะ" ฟางเหนียงเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก
"ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าถูกเข้าใจผิด ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง" หลี่จวินยิ้มบางและหันใบหน้ามาตรงกันก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ ราวกับเสียงกระซิบ
"รับผิดชอบข้า" ฟางเหนียงทวนประโยคอีกครั้ง ความหมายของเขาแปลได้ว่าอย่างไรกัน
ไม่ทันที่จะคิดหาเหตุผลอะไรออก ฝ่ามือหนาที่เท้าโต๊ะอยู่ข้างหนึ่งก็เลื่อนมาโอบเอวบางของฟางเหนียงไว้แทน ฝ่ามืออีกข้างก็ยกมาเขี่ยปรอยผมที่ข้างแก้มของนางไปทัดหูอย่างเบามือ ฟางเหนียงราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่างเสียให้ได้ในนาทีนี้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมจู่ๆ หลี่จวินก็แสดงท่าทีอ่อนโยนกับนางนัก นี่นางตายไปแล้วใช่หรือไม่ หรือว่านางกำลังหลับอยู่ถึงได้ฝันเป็นเรื่องเป็นราวดูเกินจริงได้ถึงเพียงนี้
ฝ่ามือบางยกขึ้นมาตบหน้าตัวเองจนดังฉาดใหญ่ หลี่จวินมองตาค้างคิดไม่ถึงว่านางจะทำเช่นนี้ ฟางเหนียงร้องโอ๊ยสีหน้าเหยเกเพราะตบตัวเองไปเต็มแรง หลี่จวินขำพรืดออกมาอย่างเสียมิได้ ก่อนจะจับมือฟางเหนียงทั้งสองข้างมากุมไว้อย่างเอ็นดู
"สรุปว่าเจ้ากำลังฝันไปใช่หรือไม่" หลี่จวินแกล้งถามทั้งๆ ที่ยังขำนางอยู่
"ไม่ใช่ฝัน นี่เรื่องจริงเหรอเนี่ย เมื่อครู่ท่านโอบกอดข้าจริงๆ" ฟางเหนียงขมวดคิ้วพลันรู้สึกตัวหนาวๆ ร้อนๆ ไปทั้งร่างราวกับไข้จะขึ้น หลี่จวินประคองฟางเหนียงให้นั่งลงเพื่อที่จะได้คุยกันอย่างจริงจังเสียที
"เจ้ายังชอบข้าอยู่หรือไม่" หลี่จวินยกกาน้ำชามารินเอง เพราะเจ้าของตำหนักดูจะทำตัวไม่ถูกไปอีกพักใหญ่
"ข้าก็ชอบท่านมาตลอด" ฟางเหนียงค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติ แล้วตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะแต่ไหนแต่ไรใครๆ ก็รู้กันทั้งแดนสวรรค์อยู่แล้วว่านางแอบชอบอวี๋หลี่จวินมาตั้งห้าหมื่นปี
"เช่นนั้น เรามาคบกันดีหรือไม่" ฟางเหนียงที่ตั้งสติได้ตั้งแต่คำถามก่อนหน้า เมื่อมาถึงประโยคคำถามนี้กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบกลนัก ห้าหมื่นปีที่ผ่านมานางพยายามแสดงออกมาตลอดว่าชอบเขา แต่เขากับไม่เคยแสดงท่าทีใดหรือแม้แต่สีหน้าก็ยังไร้อารมณ์เป็นเทพหน้าน้ำแข็งใส่นางมาตลอด แล้วเหตุใดวันนี้จึงเอ่ยปากขอคบกับนางได้ง่ายดายเช่นนี้เล่า
นึกย้อนไปถึงประโยคเมื่อครู่ว่าเขาจะรับผิดชอบนาง นี่คงจะเป็นความหมายของประโยคนั้นแล้วกระมัง รับผิดชอบโดยการขอคบกับนางอย่างนั้นหรือ ต้นเหตุที่แท้จริงคงมาจากเรื่องข่าวลือนั้นสินะ ที่แท้หลี่จวินก็ต้องการเพียงแก้ไขข่าวลือแย่ๆ นั่นเท่านั้นเอง หากหลี่จวินคบกับนางจริงๆ ส่วนหนึ่งข่าวลือก็จะถูกลืมไป อีกส่วนหนึ่งคือบรรดาเทพธิดาสวรรค์ทั้งหลายก็จะไม่กล้ามายุ่งกับเขาอีก ดูแล้วเหตุผลที่สองจะเข้าท่าที่สุด ที่แท้ก็คงแค่ต้องการให้นางช่วยกันท่าจากบรรดาเทพธิดาอื่นให้พ้นๆ ไปใช่หรือไม่
"หากท่านเพียงต้องการอยากช่วยข้าให้พ้นจากข่าวลือ ท่านไม่ต้องคิดมากเช่นนั้น อีกไม่นานข่าวลือนี้ก็ถูกลืมไปเอง"
"เจ้าคิดว่าข้าแค่ต้องการหยุดข่าวลือแค่นั้นหรือ"
"ข้าเข้าใจถูกต้องหรือไม่เล่า"
"ข้ายอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้ว..."
"เช่นนั้นท่านวางใจเถอะ หากท่านคิดว่าข่าวลือพวกนั้นจะทำร้ายข้าได้ ท่านคิดผิดแล้ว ข้าสบายดี เพียงแต่ต่อไปนี้ข้าควรระวังท่าทีที่มีต่อท่านให้มากขึ้นสักนิด ข้าจะไม่ไปรบกวนท่านที่ตำหนักจวินเฟิงอีก เช่นนี้ท่านพอใจแล้วใช่หรือไม่"
หลี่จวินมองฟางเหนียงอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดนางถึงปฏิเสธเขาเช่นนี้เล่า ทั้งๆ ที่นางชอบเขาไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมตกลงคบกับเขา หนำซ้ำยังบอกว่าจะไม่ไปหาเขาที่ตำหนักอีกแล้ว ทำไมเทพสตรีเช่นนางช่างเข้าใจยากถึงเพียงนี้
"ฟางเหนียง เจ้าโกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่" อาจเพราะนางกำลังโกรธเขาที่ทำให้นางถูกพูดถึงเสียหาย นางจึงไม่ยอมตกลงคบกับเขา เช่นนั้นถ้านางโกรธ เขาควรจะง้อนางถูกต้องหรือไม่
"ข้าไม่ได้โกรธท่าน" ฟางเหนียงจะโกรธเขาด้วยเรื่องใดกัน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าที่หลี่จวินทำโทษเทพธิดาทั้งสี่ก็เพื่อปกป้องนางที่โดนรังแก เช่นนี้นางจะโกรธเขาได้อย่างไร และถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นสาเหตุให้พลอยโดนติฉินนินทา แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ลือกันสักนิด ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลใดให้นางควรโกรธหลี่จวินได้เลย แค่เพียงรอเวลาให้ข่าวลือถูกลืมไปก็เท่านั้น
"ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่ยอมตกลงคบกับข้า"
"เพราะท่านรู้ว่าข้าชอบท่านมากใช่หรือไม่ ถึงได้ขอคบกับข้า" ฟางเหนียงถอนหายใจเบาๆ ภายในใจเกิดความรู้สึกปะปนระหว่างความดีใจแต่ก็น้อยใจอยู่ในที แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่าจะน้อยใจเสียมากกว่า
"ก็...ใช่"
"แล้วข้ารู้หรือไม่ ว่าท่านก็ชอบข้า" ที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะหันมามองนาง แม้แต่จะพูดคุยกันก็ประหยัดคำพูดทุกที อย่างนี้จะให้นางคิดเข้าข้างตัวเองไปได้อย่างไร
"ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องทำอย่างไร เจ้าถึงจะเชื่อใจข้า" หลี่จวินเข้าใจที่ฟางเหนียงถามแล้ว ที่แท้นางกำลังน้อยใจที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเป็นเทพหน้าน้ำแข็งอย่างที่ใครต่างพากันพูดถึงเขาอยู่บ่อยๆ จตุรเทพสงครามเช่นเขา อย่าว่าแต่เหล่าเทพธิดาสวรรค์เลย แม้แต่บุรุษเทพก็ยังไม่กล้าสบตาเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ฟางเหนียงจะไม่ยอมเชื่อใจเขาเช่นนี้
"ท่านหลี่จวิน ข้าพูดจริงๆ นะว่าข้าไม่เป็นไร ท่านวางใจเถอะ อีกไม่นานข่าวลือคงเงียบหายไปเอง อีกอย่างที่เทพพวกนั้นพากันพูดไปจะมีเรื่องจริงอยู่สักกี่ส่วนกัน ข้าไม่เก็บมาใส่ใจหรอก"
"ที่แท้เจ้าไม่เชื่อใจข้าจริงๆ สินะ" ฟางเหนียงผงกศีรษะแทนคำตอบตามตรง หลี่จวินถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นี่เขาทำพลาดแล้วจริงๆ สินะ ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจจะอาศัยโอกาสนี้ขอคบกับนางอย่างจริงจังแล้วแท้ๆ กลับกลายเป็นว่านางคิดว่าเขาเพียงแค่ต้องการจะปิดข่าวลือไร้สาระเท่านั้นเอง
"หากท่านรู้สึกผิดที่ทำให้เกิดข่าวลือเรื่องข้า แล้วจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยการขอคบกับข้า เช่นนั้นท่านกลับไปเถอะ" ฟางเหนียงไม่พูดเปล่า นางลุกขึ้นเดินไปยังหน้าประตูตำหนักเตรียมส่งแขก หลี่จวินเห็นท่าทีนางเช่นนี้ถึงกลับพูดไม่ออก ดูท่าแล้วนางคงไม่เชื่อแน่ว่าเขาจะจริงใจต่อนาง
หลี่จวินถอนหายใจอีกครั้งอย่างเสียมิได้ เขาไม่รู้จะพูดคำใดได้อีก จึงคิดได้ว่าควรกลับไปตั้งหลักทบทวนเรื่องราวภายในใจให้ถี่ถ้วนก่อนดีหรือไม่ ขืนยังรั้งอยู่ที่นี่ นอกจากฟางเหนียงจะไม่ยอมรับฟังอะไรแล้ว เกรงจะพาลมองเขาผิดไปมากกว่าเดิม เช่นนั้นเขาควรยอมถอยกลับไปก่อนจะดีกว่า
"วันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าเชื่อใจข้า ว่าข้าไม่ได้พูดไปเพียงเพราะจะปกป้องเจ้าจากข่าวลือ ข้าขอตัว" หลี่จวินทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกจากตำหนักแล้วจากไปในแสงพริบตา
หลี่จวินกลับจากตำหนักเหมยฮวาก็ตรงมายังตำหนักอักษรสวรรค์ทันที หยู่ถงที่กำลังกวาดใบไม้ใต้ต้นผีผาตรงลานกว้างหน้าตำหนักเห็นท่าทีของหลี่จวินดูมีเรื่องร้อนใจจึงรีบเอ่ยถามตามประสาคนคุ้นเคย
"มีเรื่องใดที่ทำให้เทพสงครามอย่างท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้เล่า"
"หยู่ถง ข้ามีเรื่องมาปรึกษาหวังจิ้น นายของเจ้าอยู่ที่ตำหนักหรือไม่"
"อยู่ขอรับ ข้าไปเรียนนายท่านให้ว่าท่านมา"
"ไม่เป็นไร เจ้าทำงานต่อไปเถอะ ข้าเข้าไปเอง"
"เช่นนั้นข้าไปเตรียมน้ำชาให้ท่านก่อน"
ในห้องอักษร หวังจิ้นกำลังอ่านม้วนอักษรสีหน้าเคร่งเครียด แต่เมื่อเงยหน้ามาพบอวี๋หลี่จวินที่เดินเข้ามามีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่า หวังจิ้นถึงกลับปรับสีหน้าไม่ถูกเลย
"นี่เจ้าเทพสงคราม เหตุใดมีสีหน้าเหมือนถูกคมดาบจ่อคอมาเช่นนี้เล่า" หวังจิ้นเอ่ยติดตลกขำขันตามนิสัย พลางหันมารินน้ำชาเย็นชืดหนึ่งจอกส่งให้หลี่จวิน
"นายท่าน ดื่มน้ำชาที่ข้าชงมาให้ใหม่เถิดขอรับ" หยู่ถงกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาพร้อมกาน้ำชาร้อนๆ ที่เพิ่งชงใหม่ จอกน้ำชาเย็นชืดถูกเก็บกลับออกไป หวังจิ้นจึงต้องรินน้ำชาใหม่อีกที
"ให้ข้าถูกคมดาบจ่อคอ ยังแก้กระบวนท่าให้พลิกกลับมาชนะ ง่ายกว่าการคุยกับสตรี" หวังจิ้นถึงกับเบิกตาโพลง เขาแทบไม่เชื่อตาตัวเองว่าจะได้เห็นหลี่จวินเป็นทุกข์ใจด้วยเรื่องสตรี
"เช่นนั้นเจ้ารีบเล่ามาเถอะ ข้าอยากรู้เสียแล้วว่าเทพธิดาดอกไม้สวรรค์ทำท่าไหน เจ้าถึงได้หงอยกลับมาหาข้าเช่นนี้" เมื่อได้ยินหวังจิ้นเอ่ยถึงฟางเหนียง หลี่จวินก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ยังไม่ทันที่เขาจะเริ่มเล่าสักคำ เหตุใดหวังจิ้นถึงรู้ได้ว่าเขากำลังทุกข์ใจเพราะใคร
"ท่านรู้" หลี่จวินเลิกคิ้วเป็นคำถาม หวังจิ้นยกจอกน้ำชาอุ่นขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า
"ข้าคิดว่าซือมิ่ง เซียนอี้ กับหยู่ถง ก็น่าจะรู้เหมือนกัน" หวังจิ้นพูดน้ำเสียงเย้าแหย่ อวี๋หลี่จวินนับว่าเป็นน้องเล็กสุดในพวกเขาสี่จตุรเทพ หวังจิ้น ซือมิ่ง และไท่เซียนอี้ต่างเห็นเขามาตั้งแต่กำเนิด ครั้นโตขึ้นมาสนิทกันจนป่านนี้ ไหนเลยจะดูไม่ออกว่าตลอดเวลาห้าหมื่นปีที่ผ่านมาหลี่จวินคิดเช่นไรกับฟางเหนียง
แต่เพราะน้องชายคนเล็กคนนี้มีภาระหน้าที่สำคัญยิ่ง เขาเป็นถึงแม่ทัพกองทหารเทพ ชีวิตผ่านการเสี่ยงอันตรายในคมหอกคมดาบมานับไม่ถ้วน คมดาบไร้หูตาจ้องแต่จะฟาดฟันเอาชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ เช่นนี้เทพสงครามอย่างหลี่จวินจะกล้ามีความรักได้เช่นไร
"ทั้งๆ ที่ข้าเมินเฉยต่อนางมาตลอด ทำไมพวกท่านถึงรู้ใจข้า" อวี๋หลี่จวินอึ้งไปเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เขาสร้างตัวตนเป็นเทพหน้าน้ำแข็งมาได้ตลอดแล้วแท้ๆ กลับไม่สามารถปกปิดใครได้เลย
"ไม่เห็นจะยาก หนึ่งคือเจ้าเป็นสหายรักของพวกข้า บางเรื่องถึงไม่พูดออกมา แค่มองตาพวกข้าก็รู้ใจเจ้า สองคือการกระทำของเจ้าเอง เทพธิดาไม่รู้กี่นางแล้วที่ถูกเจ้าไล่ตะเพิดออกมาจากตำหนักจวินเฟิง แต่เมื่อใดที่เป็นฟางเหนียง นอกเจ้าจะไม่ไล่นางแล้ว เจ้ายังเป็นฝ่ายถอยหนีนางเสียเอง นั่นเพราะเจ้าไม่กล้าเอ่ยปากไล่นาง แต่ก็ไม่กล้าใกล้ชิดเกรงจะใจอ่อน ก็เลยต้องเป็นฝ่ายถอยออกมาเองทุกที ข้าพูดถูกใช่หรือไม่"
หลี่จวินขบเม้มปากแน่น แล้วผงกศีรษะแทนคำตอบ หวังจิ้นส่ายหน้าแล้วขำออกมาเบาๆ เทพสงครามผู้ดุดันทุกสนามรบ ตอนนี้มานั่งคอตกอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว เป็นบุญตาจริงๆ
"เมื่อครู่ข้าไปขอคบกับนาง นางปฏิเสธข้า ข้าไม่รู้เลยว่าข้าทำอะไรผิดไป" ยังไม่ทันจบประโยคดี หวังจิ้นก็สำลักน้ำชาที่กำลังจิบอยู่ทันที วันนี้เป็นวันอะไรกันนะ ทำไมถึงมีเรื่องให้เขาประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่าได้ขนาดนี้
"อวี๋หลี่จวินเอ๊ยอวี๋หลี่จวิน อย่าว่าแต่ฟางเหนียงเลย ขนาดข้าได้ยินเจ้าพูดออกมาข้าแทบหัวใจจะวาย เจ้าคิดอะไรถึงได้ไปขอคบกับนางตรงๆ เช่นนี้เล่า เจ้ารู้หรือไม่จิตใจสตรีมิใช่เป้ายิงธนู ที่เจ้าจะยิงเข้าเป้าแล้วจบ เฮ้อ! นี่เจ้าเอาเรื่องกลุ้มใจของเจ้ามาให้ข้าแล้วแท้ๆ" หวังจิ้นส่ายหัวพลันยกมือมาคลึงขมับอย่างอ่อนใจ บทจะตีหน้าน้ำแข็งก็แข็งเป็นหิน บทจะใจอ่อนก็อ่อนจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นตัวจริง อวี๋หลี่จวินนี่น่าตีที่สุดก็วันนี้แล้วกระมัง
"ก็พอซือมิ่งมาเล่าให้ข้าฟังว่าฟางเหนียงถูกติฉินนินทาเพราะนางชอบข้า นางหมั่นไปหาข้า ข้าไม่รู้จะปกป้องนางต่อไปอย่างไร ข้าเลยคิดว่าจะตกลงคบกับนาง หากนางเป็นสตรีของข้า ไหนเลยใครจะกล้าว่าร้ายใส่นางอีก"
"แล้วตกลงเจ้าชอบนางจริงๆ หรือไม่" หวังจิ้นวางจอกน้ำชาบนโต๊ะจนดังกึกหนึ่ง เขารู้แล้วว่าปัญหาเกิดจากเรื่องใด
"ท่านก็เพิ่งบอกข้าว่าท่านรู้ใจข้า ต่อให้ข้าไม่พูดออกมาถูกต้องหรือไม่" หลี่จวินไม่เข้าใจนัยยะสำคัญของคำถามหวังจิ้น จึงยอกย้อนทำหน้ามุ่ยจนหวังจิ้นจะปวดหัวขึ้นมาอีกรอบ
"ข้ารู้ใจเจ้าเพราะอะไร เพราะเจ้ากับข้าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กใช่หรือไม่ เพราะข้าเป็นสหายรักเจ้าใช่หรือไม่ เพราะเรารู้จักนิสัยใจคอกันใช่หรือไม่"
"ก็...ใช่"
"เช่นนั้นหากข้าไม่ได้โตมากับเจ้า หากข้าไม่ได้เป็นสหายรักของเจ้า หากข้าไม่รู้จักเจ้า ข้าจะรู้ใจเจ้าได้เช่นไร มีเพียงทางเดียวคือเจ้าต้องบอกความในใจของเจ้าให้ข้ารู้ใช่หรือไม่"
อวี๋หลี่จวินมองหน้าหวังจิ้นนิ่งงัน ราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม เขาเข้าใจที่หวังจิ้นพูดแล้ว ที่แท้เป็นเพราะฟางเหนียงไม่รู้ความในใจเขาจึงได้ปฏิเสธกลับมาเช่นนั้น นางไม่เชื่อใจว่าเขาอยากคบกับนางจริงๆ เพราะที่ผ่านมาเขาแสร้งเมินเฉยต่อนางมาตลอด ผิดกับฟางเหนียงที่แสดงออกชัดเจนและยังกล้าพูดออกมาตรงๆ ว่านางชอบเขา ตลอดเวลาห้าหมื่นปี เป็นนางที่ชัดเจน และเป็นเขาที่ปกปิดความจริงในใจตลอดมา
"ข้าทำผิดไปเสียแล้ว นางคงไม่คิดว่าเทพหน้าน้ำแข็งอย่างข้าจะชอบนาง เช่นนั้นข้าไปบอกความในใจข้าให้นางรู้เลย ท่านว่าดีหรือไม่"
"เอาล่ะๆ เจ้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าพลาดตรงไหน ข้าก็เบาใจ แต่เจ้าจะไปบอกความในใจต่อนางตรงๆ เช่นนี้ ข้าเกรงว่านางจะมองเจ้าเสแสร้งไปกันใหญ่"
"นี่ข้าเป็นถึงจตุรเทพแห่งแดนสวรรค์ เหตุใดนางจะไม่เชื่อคำพูดของข้า" หลี่จวินเริ่มงอแงเสียแล้ว หวังจิ้นถึงกลับยกมือขึ้นนวดขมับอีกครา
"นางจะเชื่อเจ้าหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าเป็นใคร ต่อให้เป็นเซียนนกอัคคีอย่างหยู่ถงแสดงความจริงใจต่อนางมากกว่าเทพหน้าน้ำแข็งอย่างเจ้า นางก็ย่อมเชื่อใจหยู่ถงมากกว่าเจ้า"
"เช่นนั้น..."
"เช่นนั้นเจ้าต้องเกี้ยวนาง เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด หากข้าพูดว่าข้ารำกระบี่เก่งกว่าเจ้า แต่ข้าไม่เคยรำกระบี่ให้เจ้าดูสักครั้ง เจ้าจะเชื่อคำพูดของข้าหรือไม่" หลี่จวินครุ่นคิดตามคำพูดของหวังจิ้นอย่างตั้งใจ พลางหมุนจอกน้ำชาเปล่าเล่นวนด้วยปลายนิ้ว ก่อนหน้านี้ฟางเหนียงไม่เคยรู้จักเขาในตัวตนของอวี๋หลี่จวินเลยสักครั้ง การที่เขาไปขอคบกับนางตรงๆ นั้นก็ดูจะกระดากกระเดื่องเกินไปจริงๆ ตอนนี้ในใจของเขาเข้าใจจิตใจของฟางเหนียงแล้วแปดเก้าส่วน หลี่จวินเงยหน้ามองหวังจิ้นด้วยสีหน้าสบายใจขึ้นแล้วเอ่ยว่า
"ขอบคุณท่านมาก ข้าเข้าใจแล้ว"
ลับหลังอวี๋หลี่จวินกลับออกจากตำหนักไปแล้ว หวังจิ้นก็หยิบม้วนอักษรอันเดิมคลี่ออกดูอีกครั้ง ม้วนอักษรนิทานเล่าเรื่องสงครามระหว่างเผ่ามารฮุยอินกับเทพสวรรค์ที่เซียนอี้ส่งมาให้เขาจากโลกมนุษย์เพื่อตรวจดูนั้นช่างน่าประหลาดใจยิ่ง
สองทูตที่ถูกส่งไปตรวจตราดินแดนเผ่ามารในครั้งนั้น เทพอักษรผู้ตวัดปลายพู่กันสั่งการตามคำสั่งเทียนจวินคือเขาเอง ไหนเลยเขาจะไม่รู้ว่าสองทูตที่เผ่ามารกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายคือผู้ใด ทว่าหากเขานำม้วนอักษรขึ้นทูลเทียนจวินโดยตรง เกรงจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นไปก่อนหรือไม่ หรือแม้แต่แม่ทัพอย่างหลี่จวิน หากรู้ว่าตนเองอาจจะถูกอุบายหลอกให้ทำสงครามคร่าหลายชีวิต หลี่จวินจะแบกรับความรู้สึกไว้ได้เช่นไร ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุด คือเขาจะต้องสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเองเสียแล้ว