webnovel

บทที่ 8

ช่วงยามเย็นเป็นเวลาที่ท้องฟ้าถูกระบายด้วยแสงสีทอง ดวงอาทิตย์ลอยต่ำลงจนใกล้จะลาลับขอบฟ้า ผ่านมาสองวันแล้วที่เยว่ซินฝึกงานในห้องครัว นางฉลาดเรียนรู้งานไวจนใครๆ ต่างเอ่ยชม หลินหลินเองก็ได้รับหน้าที่พี่เลี้ยงประกบเป็นสหายสนิทอยู่เคียงข้างเยว่ซินตามคำสั่งของเฉิงอี้ ทำให้เยว่ซินอุ่นใจและปรับตัวเข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งความมีน้ำใจและความสดใสอารมณ์ดีของเยว่ซินทำให้ทุกคนเอ็นดูนางยิ่งนัก งานครัวที่ซ้ำเดิมก็ดูจะมีสีสันขึ้นมาจนครึกครื้นกว่าแต่ก่อน

"นายท่าน แม่นางเยว่ซินนี่ช่างเฉลียวฉลาดจริงๆ มาเพียงแค่สองวัน ก็เข้าใจลำดับงานครัวของจวนเราทั้งหมดแล้ว" อาลิ่วเอ่ยชมกับเฉิงอี้ที่มายืนดูเยว่ซินอยู่ไกลๆ

"นางฉลาดมาตั้งแต่เด็ก" เฉิงอี้พูดออกมาอย่างลืมตัว อาอู๋กับอาลิ่วที่อยู่ข้างๆ ได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ

"นายท่านรู้ได้อย่างไรกัน" อาอู๋คิดจนคิ้วขมวด นายท่านของเขาเพิ่งย้ายมาเมืองเฉียวเซียนยังไม่ถึงเดือน จะรู้จักแม่นางเยว่ซินตั้งแต่เด็กๆ ได้อย่างไร

"ข้าเดาน่ะ" เฉิงอี้ตอบอย่างขอไปที ก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังห้องครัวเพื่อตัดบทสนทนา

"คารวะนายท่าน" สาวรับใช้สองคนที่หันมาเจอเฉิงอี้เดินเข้ามาในครัวรีบกล่าวคำนับ เยว่ซินที่กำลังหัดแกะสลักแตงกวารีบวางมีดเพื่อยืนคำนับเขาเช่นกัน

"ท่านแม่ทัพเฉิง ท่านมาได้อย่างไร" เยว่ซินเอ่ยถามไป มือก็ถูเช็ดผ้ากันเปื้อนไปด้วย

"เย็นมากแล้ว วันนี้เจ้าพักงานก่อนเถิด ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง" เฉิงอี้คว้าข้อมือบางให้เดินตามออกมา โดยไม่รอให้เยว่ซินได้เอ่ยอะไร อาอู๋กับอาลิ่วเองก็หมุนตัวเดินตามออกมาแทบไม่ทัน

"ท่านจะพาข้าไปที่ใด ทำไมรีบร้อนนัก ข้าก้าวขาไม่ทันท่านแล้ว" เยว่ซินบ่นตามหลัง เฉิงอี้นึกได้ว่าอีกฝ่ายตัวเล็กนัก จึงเดินช้าลงจนเยว่ซินเดินตามทันมาอยู่ข้างๆ โดยที่เขายังจับข้อมือนางอยู่

"ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าวเย็น" จบประโยคก็เดินมาถึงรถม้าแล้ว อาลิ่วกำลังจะไปยกบันไดมาวาง แต่เฉิงอี้ไม่รอช้า เขาหันมาอุ้มเยว่ซินขึ้นรถม้าเสียเอง อาอู๋รีบหันไปส่งสายตาให้อาลิ่วรีบเก็บบันไดกลับที่เดิม เยว่ซินที่ถูกอุ้มขึ้นมาต่อหน้าองครักษ์ทั้งสองก็เขินจนรีบเปิดม่านเข้าไปนั่งหลบสายตาอยู่ด้านใน อาอู๋กับอาลิ่วมองตากันอย่างรู้ใจ ก่อนจะปรายตามามองเฉิงอี้อย่างรู้ทัน

"ออกรถ" เฉิงอี้ทำทีออกคำสั่งเสียงเข้ม ปรับสีหน้าขรึมแล้วรีบเข้าไปนั่งในรถม้าเพื่อเลี่ยงสายตาจับผิดจากองครักษ์คนสนิททั้งสอง

ภายในรถม้าเยว่ซินนั่งรออยู่ด้านขวามือ เฉิงอี้เข้ามาเห็นจึงส่งสายตาให้ย้ายไปนั่งตรงกลางแทน

"ที่นั่งของท่าน เชิญท่านนั่งเถอะ ข้านั่งตรงนี้ก็สบายดีแล้ว" เยว่ซินแม้จะไม่เคยนั่งรถม้ามาก่อน แต่นางก็เข้าใจได้เมื่อสังเกตเห็นที่นั่งภายในรถม้าว่าเบาะนั่งตรงกลางที่หรูหรานั้นต้องเป็นตำแหน่งที่นั่งของใคร เยว่ซินจึงนั่งเบาะด้านข้างที่เล็กกว่ามาตั้งแต่ครั้งแรกนั้นแล้ว

"เจ้าไปนั่งด้านในปลอดภัยกว่า ข้าเป็นผู้ชาย ข้านั่งตรงนี้เอง" เยว่ซินยากจะปฏิเสธ จึงย้ายไปนั่งด้านในตามคำสั่งของเฉิงอี้

ไม่นานนักรถม้าก็มาหยุดอยู่หน้าร้านอาหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ภายนอกตกแต่งด้วยโคมไฟสีแดงห้อยระย้าสว่างไสว ผู้คนเดินผ่านเข้าออกมากหน้าหลายตาดูที่นี่คึกคักยิ่งนัก

เฉิงอี้ลงจากรถม้ามายืนรอเยว่ซิน อาลิ่วกำลังจะเดินไปยกบันไดตามความเคยชินแต่ถูกอาอู๋ดึงแขนเสื้อห้ามไว้เสียก่อน เยว่ซินเดินออกมาไม่เห็นบันไดจึงหันไปมองอาลิ่วอย่างขอความช่วยเหลือ ทว่าอาอู๋กับอาลิ่วแกล้งไม่สบตา แสร้งทำเป็นจับม้านิ่ง เฉิงอี้ที่ยืนรออยู่แล้วจึงเอื้อมมือไปคว้าข้อมือเยว่ซินแล้วดึงร่างบางโน้มลงมาก่อนจะรวบรัดท่อนแขนแข็งแรงอุ้มเยว่ซินลงมาจากรถม้า โดยที่อาอู๋กับอาลิ่วยืนหันหลังให้อย่างรู้งาน

"ข้าลงบันไดก็ได้ ท่านไม่ต้องอุ้มข้า"

"รถม้าของข้าไม่มีบันได" เฉิงอี้ตอบหน้านิ่ง

"มีสิ ตอนแรกที่ข้านั่งอาลิ่วยังยกมาให้ข้าอยู่เลย" เยว่ซินหันไปมองอาลิ่วอีกครั้ง แต่อาลิ่วรู้ทันหันหนีไปอีกทาง

"ต่อไปนี้ไม่มีแล้ว" เฉิงอี้พูดนิ่งๆ เยว่ซินถึงกับพูดไม่ออก อาอู๋กับอาลิ่วลอบสบตากันเองยิ้มๆ

หากเป็นเช่นนี้เวลานางต้องขึ้นรถม้าจะต้องถูกอุ้มขึ้นลงแบบนี้ตลอดไปแล้วใช่หรือไม่ คิดอยู่ในหัวจนเห็นภาพตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของเฉิงอี้ซ้ำไปซ้ำมา เยว่ซินก็เขินอายจนรู้สึกได้ว่าแก้มเริ่มร้อนระเรื่อคล้ายจะเป็นไข้ขึ้นมาอีกแล้ว

ภายในร้านอาหารขนาดใหญ่มีสองชั้น เฉิงอี้พาเยว่ซินมานั่งที่ชั้นสอง ซึ่งอาอู๋กับอาลิ่วได้เดินตามมาด้านหลังและนั่งโต๊ะข้างๆ กัน เมื่อมองลงไปด้านล่างตรงกลางโถงจะเป็นเวทีแสดงของนางระบำและนักเล่านิทานที่จะขึ้นแสดงสลับกัน

เฉิงอี้สั่งอาหารไปแปดเก้าอย่าง ระหว่างนั่งรออาหารมาเยว่ซินก็หันไปชมการแสดงของนางระบำอย่างสนุกสนาน นางไม่เคยเข้ามาในตัวเมืองเฉียวเซียนมาก่อน ไม่เคยได้ชมการแสดงของนางระบำ และไม่เคยมานั่งร้านอาหารใหญ่โตเช่นนี้ด้วย

"ท่านแม่ทัพ เหตุใดจึงพาข้ามาเลี้ยงข้าวที่นี่หรือเจ้าคะ" เยว่ซินหันมาถามเมื่อการแสดงของนางระบำจบลง

"ข้าอยากให้เจ้ามาลองกินอาหาร เผื่อจะมีอาหารที่เจ้าอยากทำถวายไท่จื่อเพิ่ม" เฉิงอี้ปรับน้ำเสียงเป็นจริงจัง ทั้งๆ ที่ในใจเพียงต้องการพาเยว่ซินมาเที่ยวเล่นเท่านั้นเอง แต่หากเขาบอกความจริงกับนาง นางคงเกรงใจจนหมดสนุก ดังนั้นเขาจึงอ้างว่ามาทำงานส่วนหนึ่ง เยว่ซินจะได้ไม่กังวล

"เช่นนี้เอง วางใจเถอะ ข้าจะพยายามจำสูตรอาหารไปให้เยอะๆ อย่างน้อยในหนึ่งเดือนนี้ท่านอยากกินอะไร ข้าจะทำให้ท่านเอง ไม่ต้องเสียเงินมากินแพงๆ ถึงที่นี่ดีหรือไม่"

"ดี เช่นนั้นเจ้าต้องกินเยอะๆ จะได้จำสูตรอาหารไปทำให้ข้ากินที่จวนได้" เฉิงอี้พูดบทไปตามน้ำอย่างเอ็นดู

เวลาผ่านไปสักพักอาหารก็ทยอยมาจัดวางจนเต็มโต๊ะ เยว่ซินไม่เคยได้กินอาหารหน้าตาแบบนี้มาก่อน เฉิงอี้จับตะเกียบคีบเกี๊ยวหมูกับซาลาเปาไส้เม็ดบัวใส่จานให้เยว่ซิน เยว่ซินมองอาหารในจานตนก็เงยหน้าไปสบตาเฉิงอี้หงอยๆ

"ท่านแม่ทัพเฉิง ข้าเอียนซาลาเปาแล้ว ทำไมท่านไม่คีบขาหมูให้ข้าบ้าง" เยว่ซินงอแงตามประสา นางเป็นแม่ค้าขายซาลาเปาเขาลืมแล้วหรืออย่างไร เฉิงอี้ยิ้มขบขันก่อนจะคีบซาลาเปากลับมาในจานตัวเอง แล้วคีบขาหมูให้นางแทน

"อร่อยไหม" เฉิงอี้ถามเมื่อเยว่ซินคีบขาหมูเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย เยว่ซินพยักหน้ารัวพร้อมอมยิ้มจนตาหยี อาหารที่นี่ช่างอร่อยถูกปากไม่ผิดหวัง

ระหว่างที่ทั้งสี่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าอยู่นั้น เสียงปรบมือจากแขกเหรื่อในร้านก็ดังขึ้น เยว่ซิน เฉิงอี้ อาอู๋และอาลิ่วจึงหันไปมองตามปลายสายตาของทุกคน

บนเวทีปรากฏร่างสูงสง่าของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เขาถือม้วนอักษรมาสองสามม้วนในมือและนั่งลงที่โต๊ะกลางเวที เฉิงอี้เห็นท่าทางแบบนั้นก็เดาได้ไม่ยาก บุรุษท่านนี้คงจะเป็นนักเล่านิทานกระมัง และด้วยใบหน้างดงามของเขา สาวๆ แขกเหรื่อในร้านต่างรุมจ้องไปที่เขาจนตาเป็นประกาย

"คารวะทุกท่าน ข้านามว่าซวิ่นเฟิง วันนี้ข้าจะมาเล่านิทานให้พวกท่านฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามระหว่างเผ่ามารและแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแปดทิศสี่สมุทร พวกท่านอยากฟังหรือไม่" ซวิ่นเฟิง จอมมารที่แปลงกายมาในร่างมนุษย์ประกาศเกริ่นเสียงดัง เฉิงอี้ราวกับถูกหัวข้อนิทานนั้นสะกดใจให้อยากฟัง ช่างน่าสนใจยิ่งนัก เขาอยากรู้จริงๆ ว่ามนุษย์จะมีเรื่องเล่าพูดถึงเหล่าเทพแดนสวรรค์เช่นเขาอย่างไรบ้าง แล้วเผ่ามารในเรื่องเล่าของมนุษย์จะร้ายกาจเท่าเรื่องเล่าในแดนสวรรค์หรือไม่

"ดีๆ ท่านเล่าเลย พวกข้าอยากฟัง" เสียงตอบรับฮือฮาจากบรรดาแขกเหรื่อในร้านโห่ร้องบอกอย่างตื่นเต้น

"เอาล่ะๆ พวกท่านช่วยเงียบเสียง ข้าจะเริ่มเล่าเดี๋ยวนี้แล้วดีหรือไม่..." ซวิ่งเฟิงยกสองมือเป็นสัญญาณเพื่อหยุดเสียงของทุกคน ก่อนจะเริ่มเปิดม้วนอักษรนิทาน เขากระแอมในลำคอสองสามที แล้วเริ่มต้นเล่าว่า... "เมื่อสองแสนปีก่อน ดินแดนเผ่ามารอันสงบสุขเกิดเรื่องเศร้า เมื่อฟูเหรินผู้เป็นที่รักของจอมมารฮุยอินได้จากไป จอมมารผู้ยิ่งใหญ่เสียใจจนตั้งสติไม่อยู่ จนเกิดข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทุกดินแดน ว่าจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ใกล้จะสูญเสียความสามารถในการรักษาอำนาจแล้ว ต่อมาแดนสวรรค์ได้ส่งทูตสวรรค์สองคนมายังดินแดนแห่งเผ่ามารเพื่อสืบข่าวให้แน่ชัด แต่เมื่อสองทูตสวรรค์นั้นเห็นจอมมารฮุยอินอ่อนแอลง สองทูตสวรรค์จิตใจชั่วร้ายจึงถือโอกาสกลับไปทูลเทียนจวิน สร้างเรื่องใส่ร้ายเผ่ามารว่ากำลังคิดการใหญ่ก่อกบฏแก่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า ทั้งๆ ที่ผ่านมาตลอดหลายแสนปีเผ่ามารฮุยอินต้องการเพียงความสงบในดินแดนให้พี่น้องเผ่ามารได้ดำรงรักษาเผ่าพันธุ์เท่านั้น ทว่าเทียนจวินกลับเชื่อเรื่องโกหกของสองทูต ส่งกองทัพมาปราบเผ่ามารฮุยอินจนแทบสิ้นแผ่นดิน..."

เรื่องเล่านิทานวรรคแรกของซวิ่นเฟิง นักเล่านิทานหนุ่มนั้นสะกดใจให้ทุกคนในร้านตั้งใจฟังอย่างเคลิบเคลิ้มด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกน่าฟัง แต่เฉิงอี้กลับไม่รู้สึกเช่นนั้น เรื่องเล่าของบุรุษหนุ่มคนนี้ช่างต่างจากเรื่องเล่าในแดนสวรรค์ของเขาลิบลับ เหตุใดเรื่องเล่าในโลกมนุษย์ เผ่ามารจึงได้น่าสงสารเยี่ยงนี้

"...เคราะห์ดีที่ไท่เซียนอี้ตี้จวินเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ตี้จวินเสนอให้สงบศึกแลกกับดินแดนเผ่ามารหนึ่งในสามส่วน คือดินแดนที่ติดกับป่ายงโจว เพื่อลดอาณาจักรของเผ่ามารไม่ให้ยิ่งใหญ่เท่าแดนสวรรค์ จอมมารฮุยอินเห็นแก่พี่น้องเผ่ามารจึงยอมทำตามข้อเสนอ แต่แล้วความสงบสุขก็อยู่กับพวกเขาได้เพียงสามหมื่นปี เมื่อสองทูตคนเดิมทำทีมาตรวจตราเขตแดนร้างว่างเปล่าที่เผ่ามารเสียไป กลางดึกคืนหนึ่งจู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้ป่าเสียหายไปกว่าครึ่ง เหล่าสัตว์น้อยใหญ่กรีดร้องวิ่งหนีตาย เผ่ามารยืนยันหนักแน่นว่าเป็นฝีมือของสองทูตสวรรค์ชั่วร้ายนั่นเป็นแน่ ทว่าใครจะเชื่อพวกมารกันเล่า เทียนจวินแห่งแดนสวรรค์เกือบจะส่งกองทัพมาเตรียมรบอีกครา ในข้อหาเผ่ามารก่อกบฏไม่เคารพแดนสวรรค์ แต่สงครามนั้นยังไม่ทันเกิดขึ้น เพราะไท่เซียนอี้ตี้จวินเป็นคนห้ามทัพด้วยตัวเองอีกครั้ง..."

เฉิงอี้ขมวดคิ้วครุ่นคิด เป็นเขาเองที่ห้ามทัพในครานั้นเพราะสงสารเหล่าสัตว์ป่าที่กำลังหนีตาย เหล่าเทพควรเห็นแก่สรรพชีวิต จำเป็นต้องช่วยเหลือเหล่าสัตว์ผู้อ่อนแอนั้นก่อน หาใช่เวลามาสู้รบกัน นับเป็นเรื่องที่ควรทำแล้วใช่หรือไม่ ครั้งนั้นหวังจิ้นได้ช่วยชีวิตหยู่ถง นกหงส์อัคคีให้รอดชีวิตมาด้วยเช่นกัน แต่สาเหตุที่แท้จริงในครั้งนั้นกับไม่มีหลักฐานใดว่าเผ่ามารเป็นผู้วางเพลิง หรือแม้แต่หลักฐานว่าคนของแดนสวรรค์เป็นผู้วางเพลิงเช่นกัน สงครามครั้งนั้นจึงไม่เกิดขึ้น แต่ทำไมเรื่องเล่าในนิทานของโลกมนุษย์ กลับใส่ร้ายทูตสวรรค์กันเล่า...

"...แต่ในที่สุดฟ้าดินก็ไม่เข้าข้างเผ่ามารอยู่ดี สองแสนปีอันสงบสุขนั้นสั้นนัก เมื่อรองแม่ทัพเผ่ามารหย่งเล่อเกิดพลาดท่าติดกับดักชั่วร้ายของใครสักคนในแดนสวรรค์ หย่งเล่อถูกทหารเทพกลุ่มหนึ่งคิดอุบายหลอกให้ตั้งกองทัพขนาดในเวลาเดียวกับที่จอมมารฮุยอินยังอ่อนแอ เพื่อเป็นกองกำลังเสริมช่วยกองทัพเทพสวรรค์ปราบปีศาจเต่าพันปีที่ทะเลตงไห่ หย่งเล่อเห็นว่าหากช่วยทัพสวรรค์ได้ เรื่องคลางแคลงใจระหว่างภพเทพกับเผ่ามารก็คงเลิกแล้วต่อกัน

แต่ทว่าเมื่อไปถึงทะเลตงไห่ นอกจากจะไม่มีปีศาจเต่าพันปี กลับพบเพียงร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารเทพนับพันชีวิตนอนนิ่งเรียงรายสุดสายตา จังหวะไม่ดีที่เทพสงครามอวี๋หลี่จวินเดินทางมาถึงพอดี หลักฐานตรงหน้าจึงยากจะแก้ตัว

เบื้องหน้าของ อวี๋หลี่จวินคือกองทัพเผ่ามารกับร่างไร้วิญญาณของทหารเทพ เมื่อหย่งเล่อพยายามจะอธิบายก็ไร้ซึ่งน้ำหนักที่น่าเชื่อถือแล้ว สงครามระหว่างเผ่ามารและเทพสวรรค์จึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จอมมารฮุยอินต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องเผ่ามารจนตัวตาย สุดท้ายกองทัพเผ่ามารก็พ่ายแพ้ให้แก่เทพสงครามอวี๋หลี่จวิน บัดนี้เผ่ามารเหลือเพียงดินแดนแทบจะร้างสิ้นชื่อ ผิดกลับแดนสวรรค์ที่ประกาศชัยชนะเหนือผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่างน่าขัน เหล่าเทพสวรรค์จัดงานเลี้ยงฉลอง ในขณะที่เผ่ามารจัดงานไว้อาลัยให้กับพี่น้องที่จากไปในสงคราม ช่างเป็นเรื่องเล่าที่ตลกร้ายยิ่งนัก"

นิทานจบลงอย่างน่าเศร้า ซวิ่นเฟิงได้รับเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องชื่นชมจากผู้ฟัง เหรียญเงินถูกโยนแสดงความชื่นชอบต่อนักเล่านิทานมาจากทุกทิศ ซวิ่นเฟิงจอมมารในร่างมนุษย์แม้จะไม่เห็นค่าในเหรียญเงินของพวกมนุษย์สักนิด ก็ต้องแสดงบทบาทให้สมจริง เขาก้มเก็บเหรียญที่ตกกระจัดกระจายบนเวทีด้วยแววตาและรอยยิ้มซุกซนตามบทบาทนักเล่านิทานหนุ่มอารมณ์ดี เฉิงอี้นั่งนิ่งไปตั้งแต่ฟังนิทานจบ สายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังซวิ่นเฟิงผู้นั้น ในหัวเต็มไปด้วยความคิดสงสัยคาใจ

"เยว่ซิน เจ้ากินไปก่อนนะ ข้าจะลงไปหานักเล่านิทานผู้นั้น เดี๋ยวข้ามา" เฉิงอี้หันมาบอกเยว่ซินที่กำลังซดน้ำแกงปลา ก่อนจะหันไปบอกองครักษ์ทั้งสองให้เฝ้านางดีๆ

เฉิงอี้เดินลงมายังโถงด้านล่าง ซวิ่นเฟิงยังคงก้มเก็บเหรียญเงินที่เหลือบนพื้นอีกไม่มากแล้ว เฉิงอี้ช่วยตามเก็บอีกแรง เพื่อจะได้คุยกับนักเล่านิทานได้สะดวกขึ้น

"ข้าช่วยเจ้าเก็บ" เฉิงอี้ยื่นเหรียญเงินจำนวนหนึ่งในกำมือส่งให้ซวิ่นเฟิง

"ขอบคุณนายท่าน ข้าก้มเก็บจนปวดหลังไปหมดแล้ว" ซวิ่นเฟิงกำหมัดหลวมๆ ทุบเบาๆ ที่เอวด้านหลังประกอบคำพูด

"ข้าชื่อเฉิงอี้ เป็นแม่ทัพใหญ่ในเมืองเฉียวเซียน หากเจ้าเล่านิทานจบแล้ว ข้าขอเวลาคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยวได้หรือไม่" ซวิ่นเฟิงเผยยิ้มมุมปากบางๆ ขณะที่กำลังก้มหน้าเก็บเหรียญใส่กระเป๋าผ้าและเก็บม้วนตำราอักษร ในที่สุดเขาก็ดึงความสนใจจากไท่เซียนอี้ตี้จวินหรือเฉิงอี้ผู้นี้ได้สำเร็จ

"ท่านแม่ทัพเฉิงอี้ ท่านมีเรื่องอันใดกับข้าหรือ" ซวิ่นเฟิงหันกลับมาถามด้วยแววตาซื่อใสไร้เหลี่ยมอย่างสมบทบาท

"ข้าสนใจนิทานของเจ้า เลยอยากจะถามรายละเอียดอีกสักหน่อย"

"ได้อยู่แล้ว ข้าดีใจที่ท่านแม่ทัพชอบนิทานของข้า เช่นนั้นข้าขอไปร่วมโต๊ะกับท่านได้หรือไม่ ข้าเล่านิทานจนคอแห้ง ข้าอยากดื่มน้ำชาสักจอก" ซวิ่นเฟิงยังคงแสดงบทหนุ่มนักเล่านิทานเจ้าคารมณ์ เฉิงอี้ไม่ติดใจอะไรจึงยินดีจะพาเขาไปร่วมโต๊ะด้วย

"ท่านนักเล่านิทาน นี่ท่านมาได้อย่างไร" เยว่ซินเอ่ยถามเมื่อจู่ๆ ซวิ่นเฟิงมานั่งร่วมโต๊ะ

"ท่านแม่ทัพเฉิงอี้อนุญาตให้ข้ามานั่งดื่มน้ำชา ข้าชื่อซวิ่นเฟิง แม่นางน้อยชื่ออะไร" ซวิ่นเฟิงชวนคุยอย่างเป็นกันเอง ขณะที่เยว่ซินกำลังรินน้ำชาให้เขาจอกหนึ่ง

"ข้าชื่อเยว่ซิน"

"ชื่อแม่นางน้อยเพราะมาก เหมาะกับใบหน้างดงามของเจ้าจริงๆ" ดูท่าซวิ่นเฟิงคงจะชวนเยว่ซินคุยจนติดลม เฉิงอี้จึงกระแอมสองสามทีในลำคอเพื่อตัดบทของทั้งคู่เสียก่อน

"ซวิ่นเฟิง ข้ามีคำถามอยากถามเจ้า"

"เชิญท่านแม่ทัพ"

"นิทานที่เจ้าเล่า ใครเป็นคนเล่าให้เจ้าฟัง"

"ซื่อฝุของข้าเล่าให้ข้าฟัง ตอนข้าเล่าเรียนหัดอ่านเขียนอักษร" ซวิ่นเฟิงตอบไปตามบทที่ตระเตรียมมาอย่างดี

"เช่นนั้น ข้าขอลองอ่านม้วนอักษรนิทานของเจ้าได้หรือไม่ พอดีมีบางตอนที่ข้าฟังไม่ทัน ข้าอยากลองอ่านอีกครั้ง"

"ได้ ท่านแม่ทัพ" ซวิ่นเฟิงหยิบม้วนอักษรออกมาจากห่อผ้าแล้วส่งให้เฉิงอี้ เยว่ซินไม่เคยอ่านม้วนอักษรมาก่อน จึงลุกไปนั่งข้างๆ เขา เยว่ซินยื่นหน้าเข้ามาอ่านม้วนอักษรจนแก้มชมพูระเรื่อใกล้ชิดกับแผ่นอกของร่างสูงอย่างลืมตัว เฉิงอี้นั่งตัวแข็งเกร็ง อาอู๋กับอาลิ่วที่นั่งโต๊ะข้างๆ นั่งมองอยู่ก็อดกลั้นยิ้มมิได้ ท่าทางที่ลืมระวังตัวอย่างไร้เดียงสาของเยว่ซิน ช่างน่าเอ็นดูนัก

"อักษรพวกนี้ข้าอ่านไม่ออกเลย พวกท่านอ่านเข้าใจได้อย่างไร" เยว่ซินขมวดคิ้วอย่างงุนงง ลายเส้นอักษรที่ดูซับซ้อนอ่านยากเช่นนี้ นางไม่เคยเรียนมาก่อนเลย

"นี่เจ้าไม่เคยเรียนเขียนอ่านอักษรเลยใช่หรือไม่" เฉิงอี้หันมาถามคนตัวเล็กที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ

"ข้าอ่านออกไม่ถึงห้าสิบอักษร ในม้วนอักษรนี้มีคำที่ข้าอ่านออกอยู่ไม่ถึงยี่สิบคำด้วยซ้ำ"

"แม่นางน้อย นี่เจ้ามาจากที่ใดกัน โตจนป่านนี้ทำไมเจ้าอ่านเขียนอักษรไม่ได้กันเล่า" อย่าว่าแต่ซวิ่นเฟิงยังประหลาดใจ แม้แต่อาอู๋ อาลิ่วเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน

"ท่านแม่ของข้าไม่เคยสอนข้านี่นา"

"แล้วเจ้ามีซือฝุหรือไม่" เฉิงอี้ถามบ้าง

"ไม่มี ซือฝุคนเดียวของข้าก็คือท่านแม่เท่านั้น"

"เช่นนั้น ข้าจะเป็นซือฝุของเจ้า" เฉิงอี้อาสาตัวเองพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น เยว่ซินสบตามองเขาเมื่อได้ยินประโยคที่น่ายินดีเช่นนี้นางก็อดดีใจไม่ได้ นางอยากอ่านออกเขียนได้มานานแล้ว แต่ลี่จิ่นไม่เคยสอนนางอย่างจริงจังเสียที นางก็ไม่รู้จะทำเช่นไร บัดนี้นางจะมีซือฝุแสนเก่งกาจอย่างแม่ทัพเฉิงอี้ มีหรือนางจะยอมพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ได้อย่างไร

"คารวะท่านอาจารย์" เยว่ซินลุกขึ้นจากเก้าอี้ลงไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าเฉิงอี้แล้วคำนับยกย่องเขาเป็นอาจารย์ เฉิงอี้เห็นท่าทางของเยว่ซินก็หัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะประคองร่างบางให้ลุกขึ้นมานั่งเก้าอี้ข้างเขาเช่นเดิม

"ซวิ่นเฟิง ข้าขอยืมม้วนอักษรนิทานของเจ้าได้หรือไม่ ข้าเองก็อยากอ่านเนื้อเรื่องส่วนหนึ่ง และอยากเอาไว้สอนลูกศิษย์ข้าอ่านเขียนด้วย เจ้ายินดีหรือไม่" เฉิงอี้หันไปออกอุบายกับซวิ่นเฟิง จากที่อ่านคร่าวๆ ในตอนนี้ เฉิงอี้เห็นได้ชัดว่าเรื่องเล่าในนิทานของโลกมนุษย์ช่างตรงกันข้ามกับเรื่องเล่าบนแดนสวรรค์ที่เขารับรู้มาทั้งชีวิตอย่างสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่จตุรเทพตี้จวินเช่นเขาอยู่ในเหตุการณ์มาทุกครั้ง กลับไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรไปได้ถึงเพียงนี้

"ข้ายินดีมอบให้ท่าน เห็นแก่แม่นางน้อยอยากร่ำเรียนอ่านเขียนตำรา เช่นนั้นข้ามอบให้เป็นของขวัญแก่แม่นางน้อยเลยแล้วกัน นายท่านไม่ต้องคืนข้า ข้าอ่านมาหลายรอบจนจำขึ้นใจ ข้าไม่มีวันลืมนิทานตลกร้ายเรื่องนี้อย่างแน่นอน ข้าจะจดจำไปตลอดชีวิต" ซวิ่นเฟิงเน้นเสียงหนักในประโยคท้ายอย่างระบายความในใจ จอมมารเช่นเขามีหรือจะรู้ไม่ทันไท่เซียนอี้ตี้จวินคนตรงหน้า อยากได้ก็เอาไปเถิดม้วนอักษรนั้น เพราะเขาเองก็ตั้งใจเขียนเรียบเรียงมามอบให้อยู่แล้วตั้งแต่แรก

"ข้าขอบใจเจ้ามาก ซวิ่นเฟิง" เฉิงอี้บอกกล่าวอย่างจริงใจ

"อย่าได้เกรงใจเลย ถือว่าแลกกับน้ำชาที่ท่านเลี้ยงข้าแล้วเป็นอย่างไร" ซวิ่นเฟิงยกจอกน้ำชาชนกับจอกของเฉิงอี้เป็นพิธี

"เช่นนั้นพวกข้าขอตัวลา ไว้เราได้เจอกันใหม่ ข้ายินดีเลี้ยงน้ำชาเจ้าอีกครั้ง" เฉิงอี้กล่าวลา อาอู๋กับอาลิ่วลุกขึ้นอารักขาผู้เป็นนาย เยว่ซินเองก็ไม่ลืมที่จะคำนับขอบคุณซวิ่นเฟิงเช่นกัน ที่ให้ม้วนอักษรนิทานเป็นของขวัญ

"ข้าขอบคุณท่านซวิ่นเฟิงที่มอบม้วนอักษรให้ข้า วันหน้าข้าจะหัดเป็นนักเล่านิทานที่เก่งกาจได้เช่นท่านแน่นอน" เยว่ซินพูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วน่าเอ็นดู ซวิ่นเฟิงเห็นนางแล้วก็อดยิ้มตามใบหน้าเล็กที่ดูไร้เดียงสาเช่นนั้นไม่ได้

"เอาล่ะๆ เจ้าตั้งใจเรียนเข้านะ ข้าจะรอฟังนิทานที่เจ้าเล่า" ซวิ่นเฟิงก็พูดบทตามน้ำไปบ้าง

ไม่มีบทสนทนาใดเพิ่มเติม ทั้งสี่คนเดินออกไปแล้วพร้อมกับม้วนอักษรของเขา ซวิ่นเฟิงมองตามหลังเฉิงอี้ด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนที่แววตาสดใสเมื่อครู่จะเลือนหายไป