webnovel

บทที่ 15

"เจ้ากำลังนำยาไปให้เยว่ซินใช่หรือไม่" เฉิงอี้ที่เพิ่งกลับมาจากไปส่งไท่จื่อ เมื่อมาถึงหน้าห้องเขาเห็นหลินหลินเดินถือถาดถ้วยยามาพอดีจึงเอ่ยถาม

"เจ้าค่ะ"

"เจ้าส่งมาให้ข้า ข้าจะเข้าไปดูอาการของนางอยู่พอดี"

"เช่นนั้นข้า..." หลินหลินไม่แน่ใจว่าเมื่อมอบถาดถ้วยยาแก่เฉิงอี้แล้ว นางยังต้องเข้าไปเฝ้าเยว่ซินอยู่อีกหรือไม่

"เจ้าไปธุระของเจ้าเถิด" เฉิงอี้รับถาดถ้วยยามาเรียบร้อย หลินหลินจึงช่วยเปิดประตูห้องของเยว่ซินให้ โดยมีเสี่ยวเข่ออ้ายมารอรับที่หน้าประตูอย่างแสนรู้

"ซือฝุ" เยว่ซินเมื่อเห็นเป็นเฉิงอี้เดินเข้ามา จึงค่อยๆ ประคองตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ เพราะนางยังปวดหัวเพราะพิษไข้อยู่มากทีเดียว

เฉิงอี้วางถาดถ้วยยาที่โต๊ะข้างเตียงนอน แล้วช่วยประคองให้เยว่ซินนั่งในท่าสบายก่อนจะนั่งลงข้างกันบนเตียง ส่วนเจ้าเสี่ยวเข่ออ้ายเมื่ออยู่กับเยว่ซินตามลำพังมันจะนอนเฝ้าสลับนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง แต่เมื่อเฉิงอี้มาอยู่ด้วย เสี่ยวเข่ออ้ายก็หันไปอ้อนเขาแทนโดยการเลียเท้าอย่างเอาใจผู้เป็นนายที่แท้จริง

"เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ปวดหัวมากหรือไม่"

"ข้าปวดหัวมากเจ้าค่ะ คงเพราะพิษไข้ขึ้นสูง"

"หลินหลินต้มยามาให้เจ้าแล้ว ข้าป้อนยาเจ้า" เฉิงอี้หันไปยกถ้วยยา ตักมาเป่าให้คลายร้อนแล้วป้อนเยว่ซินช้าๆ อย่างเกรงว่านางจะสำลักเพราะยามีรสขม

"ยานี้ขมมากจริงๆ"

"ขมมากใช่หรือไม่" เฉิงอี้ยากจะกลั้นยิ้มเมื่อเห็นเยว่ซินกินยาขมจนตาหยี

"ต้องกินทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ" เยว่ซินเอ่ยน้ำตาซึม เพราะรสยาต้มขมติดลิ้นจนอยากจะร้องไห้ด้วยความพะอืดพะอม

"กินไหวหรือไม่" เฉิงอี้ยกหลังมือถูข้างแก้มนางแผ่วเบาอย่างปลอบโยน เยว่ซินส่ายหน้าตอบ ยานี้ช่างขมนัก นางทนกลืนลงไปไม่ไหวแน่

"เช่นนั้นเจ้ารอข้า"

เฉิงอี้วางถ้วยยากลับลงไปที่ถาดข้างเตียงนอน แล้วลุกเดินออกไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมขวดแก้วสีเขียวไข่กาขนาดเท่าฝ่ามือ

"นี่คือ..." เยว่ซินมองขวดแก้วอย่างไม่แน่ใจนัก

"นี่คือน้ำผึ้งป่า ข้าผสมตอนยาของเจ้ายังร้อนอยู่ ทำเช่นนี้ยาของเจ้าจะได้มีรสหวาน" เฉิงอี้อธิบายไปพร้อมกับมือที่กำลังคนยาผสมน้ำผึ้งไปด้วยอย่างใจเย็น

"ไม่ขมแน่แล้วนะเจ้าคะ" เยว่ซินทำหน้าไม่แน่ใจเมื่อเฉิงอี้กำลังจะป้อนยาหลังผสมน้ำผึ้งป่าให้นางหนึ่งคำ

เฉิงอี้ไม่ได้ตอบนาง เพียงแต่เขาจิบชิมยาจากปลายช้อนนั้นเพื่อให้แน่ใจด้วยตัวเอง เมื่อยามีรสหวานแน่แล้วเขาจึงพยักหน้าแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยตอบนางว่า "ไม่ขมแล้ว เจ้าต้องกินให้หมดนะ จะได้หายไวๆ"

เยว่ซินเชื่อฟังเฉิงอี้แล้วตั้งใจกินยาที่เขาป้อนจนหมดถ้วย หากบอกว่ายานี้ไม่ขมก็ไม่ใช่ เพียงแต่ขมน้อยลงแล้วเท่านั้น กลิ่นหอมของน้ำผึ้งป่าช่วยกลบกลิ่นสมุนไพรรสขมได้ระดับหนึ่ง นางจึงกินยาได้ง่ายขึ้น

"ครั้งต่อไปที่หลินหลินต้มยามาให้เจ้า เจ้าบอกนางด้วยว่าให้ผสมน้ำผึ้งป่าเพิ่มสักสองช้อน ข้าวางไว้ให้เจ้าตรงนี้ดีหรือไม่" เฉิงอี้วางขวดน้ำผึ้งป่าไว้ให้ที่โต๊ะข้างเตียงนอน ข้างๆ ถาดถ้วยยา

"ขอบคุณเจ้าค่ะ"

"ข้ามีคำถามจะถามเจ้าเรื่องหนึ่ง" เฉิงอี้นึกถึงเรื่องที่ได้คุยกับไท่จื่อเมื่อครู่ ที่ต้องการให้เยว่ซินไปร่วมขบวนล่าสัตว์ด้วย แต่เพราะเขาสัญญากับลี่จิ่นไว้แล้วว่าจะไปส่งนางกลับบ้านทันทีที่เสร็จงาน เขาจึงไม่แน่ใจว่าเยว่ซินจะคิดเห็นเรื่องนี้เช่นไร

"ซือฝุมีเรื่องอันใดจะถามข้าหรือเจ้าคะ"

"อีกสามวัน หากเจ้าหายไข้แล้ว เจ้าอยากจะไปร่วมขบวนล่าสัตว์กับไท่จื่อหรือไม่"

"ไท่จื่อจะไปล่าสัตว์หรือเจ้าคะ"

"ใช่ ไท่จื่อโปรดรสอาหารฝีมือเจ้ามาก จึงอยากให้เจ้าติดตามขบวนเสด็จเพื่อเตรียมสำรับระหว่างเดินทาง เจ้ายินดีหรือไม่" แม้เฉิงอี้จะเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดของไท่จื่อที่สารภาพกับเขาตามตรงว่าชอบเยว่ซิน ภายในใจของเขาก็รู้สึกขุ่นมัวไม่น้อยเลย

เยว่ซินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อตัดสินใจดีแล้วจึงเอ่ยตอบกับเฉิงอี้ว่า "ซือฝุ หากข้าหายไข้ดีแล้ว ข้าสามารถไปร่วมขบวนล่าสัตว์กับไท่จื่อได้เจ้าค่ะ ไท่จื่อประทานรางวัลให้ข้ามาถึงสิบเบี้ยทอง หากได้รับใช้ไท่จื่อต่อไปอีกเพียงไม่กี่วัน ข้ายินดีเจ้าค่ะ"

"ตกลง เช่นนั้นข้าจะบอกไท่จื่อว่าเจ้าจะไปด้วย เมื่อเจ้าหายดีเท่านั้น หากเจ้ายังไม่หายไข้ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปเด็ดขาด" เฉิงอี้เอ่ยขู่น้ำเสียงทุ้มต่ำพลางจิ้มปลายนิ้วชี้เข้าที่ปลายจมูกโด่งรั้นของนางเช่นที่เขาชอบทำ

"เจ้าค่ะ ซือฝุ" เยว่ซินเองก็รับคำอย่างว่าง่าย

"เอาล่ะ เจ้านอนพักผ่อนเถิด" เฉิงอี้ลุกขึ้นแล้วประคองให้เยว่ซินนอนลงแล้วห่มผ้านวมอุ่นหนาให้มิดชิด

เมื่อเยว่ซินหลับตา เฉิงอี้ยืนมองใบหน้างดงามที่หลับตาพริ้มอยู่นั้นแล้วพลันเกิดคำถามขึ้นในใจว่า หากเขาไม่ผูกพันกับนางมาตั้งแต่เมื่อครั้งนางยังเด็ก ความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางจะยังคงเป็นเช่นนี้หรือไม่ เขาจะเป็นห่วงนางมากเช่นนี้อยู่หรือไม่ เขาจะรู้สึกหวงแหนนางได้มากเช่นนี้อยู่หรือไม่ ความรู้สึกมากมายปะปนจนกลายเป็นความสับสนขึ้นมาว่า เหตุผลที่ได้มาผูกพันกับเยว่ซินเช่นนี้ เป็นเพราะลิขิตแห่งเทพบรรพกาลกำหนด หรือเป็นเพราะหัวใจของไท่เซียนอี้ตี้จวินที่ต้องการนางกันแน่

เมื่อไร้ซึ้งคำตอบใดภายในใจ เฉิงอี้ลูบหัวเสี่ยวเข่ออ้ายด้วยความรัก ก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องของเขาแล้วนั่งลงอย่างผ่อนคลายที่โต๊ะทำงาน เมื่อกำลังจะจุดกำยานกลิ่นไม้กฤษณาในโคมไฟ เขาได้พบกระดาษม้วนเล็กม้วนหนึ่งถูกม้วนอักษรไม้ทับอยู่ เฉิงอี้คลี่ออกเพื่ออ่านดู แล้วพบว่าเป็นกลบทถูกเขียนด้วยลายมือของซือมิ่ง สหายคนสนิทของเขานั่นเอง ซือมิ่งมีเรื่องด่วนอันใดกัน จึงได้ส่งเวทสารลงมาหาเขาถึงที่นี่

'อดีตกาลถึงปัจจุบัน พานพบ ดาวตกสิ้นแสงใต้ต้นดอกท้องาม'

แม้ตอนนี้จะเป็นมนุษย์นามเฉิงอี้ แต่จิตเทพที่แท้จริงเขาคือไท่เซียนอี้ตี้จวิน การเล่นแก้ปัญหากลอนกลบททั้งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแปดทิศสี่สมุทรไหนเลยจะมีใครเทียมเขา กลบทเนื้อหาแสนเศร้าเช่นนี้หาได้แก้กลยากไม่ แต่หากความหมายของกลบทนี้เป็นจริงตามที่เขาคิดไว้ เกรงว่าเทพบรรพกาลกำลังเริ่มจัดการทุกอย่างที่ผิดที่ทางให้รวบรัดหมดจดในเวลาอันใกล้นี้แล้วกระมัง

ภายในป่าเฉียวซานใกล้เชิงเขาฝั่งตะวันออกเมืองเฉียวเซียน เป็นเขตแดนที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณให้สัตว์ป่าเล็กใหญ่ได้อาศัยประโยชน์ภายใต้ความอุดมสมบูรณ์ บริเวณเชิงเขาใกล้น้ำตกขนาดเล็ก มีกระโจมตั้งเรียงราย สำหรับไท่จื่อ องครักษ์ แม่ทัพและเหล่าข้าราชบริพารที่ติดตามออกมาล่าสัตว์ด้วยในครานี้

"เยว่ซิน เจ้าดื่มน้ำเสียหน่อยเถิด" หลินหลินยกแก้วน้ำมาให้เยว่ซินที่กำลังตระเตรียมสำรับสำหรับมื้อเที่ยงในวันนี้อยู่ด้านในกระโจมสำรับ

เมื่อเยว่ซินต้องมาออกขบวนล่าสัตว์กับไท่จื่อ เฉิงอี้จึงสั่งให้หลินหลินติดตามมาด้วยเช่นกัน เพราะล่าสัตว์ครั้งนี้ต้องค้างแรมในป่าถึงสามวัน เขาเกรงว่าเยว่ซินจะเหงา หากมีหลินหลินมาอยู่เป็นเพื่อนนาง ยามเขาไปออกล่าสัตว์กับไท่จื่อและเหล่าองครักษ์ทั้งหลายจะได้หมดห่วงเยว่ซินที่อยู่เบื้องหลัง

"ขอบใจ หลินหลิน" เยว่ซินรับน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว น้ำดื่มใสสะอาดแก้วนี้ได้มาจากน้ำตกที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ดื่มน้ำเย็นเช่นนี้ทำให้เยว่ซินรู้สึกสดชื่นขึ้นมามากทีเดียว

ด้านเฉิงอี้ที่อยู่กระโจมเคียงข้างไท่จื่อ โดยมีกระโจมขององครักษ์อาอู๋กับอาลิ่ว และองครักษ์ของไท่จื่อจากเมืองหลวงทั้งสี่คนตั้งอยู่ขนาบข้าง ทั้งสองเพิ่งเดินกลับมาจากการตรวจความเรียบร้อยของบังเหียนม้าล่าสัตว์ จึงพากันมานั่งสรวลเสพูดคุยพลางจิบชาอุ่นท่ามกลางบรรยากาศป่าเขาในวสันตฤดู

"ป่าเฉียวซานแห่งนี้ สมกับคำกล่าวที่ว่า วสันต์ล้วนมวลมาลีไม่มีผิด เจ้ามองไปบนเขานั่นสิ ดอกไม้บานสะพรั่งจนภูเขาทั้งลูกเต็มไปด้วยสีสันเช่นนี้ หาดูไม่ได้หากอยู่ในเมืองหลวง" ไท่จื่อเอ่ยชื่นชมทิวทัศน์รอบๆ ตัว พลางยกน้ำชาดอกหอมหมื่นลี้ขึ้นดื่มหนึ่งคำ

"ตั้งแต่ข้าย้ายมาเมืองเฉียวเซียน ข้าก็ชินตากับภาพเช่นนี้เสียแล้ว" เฉิงอี้ที่นั่งเรียงหมากล้อมบนกระดานอยู่ข้างกันเอ่ยตอบ

"ใช้ได้นี่เฉิงอี้ เจ้ากำลังพูดโอ้อวดข้าแล้วใช่หรือไม่" ไท่จื่อแกล้งดุอย่างหยอกล้อในประโยคท้ายแล้วพากันหลุดขำทั้งสองคน

"ข้ามิกล้า" เฉิงอี้ตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ช่างดูย้อนแย้งนัก

"เฉิงอี้ ออกล่าสัตว์ในวันพรุ่งนี้ ข้ากับเจ้า และองครักษ์ทั้งหก พวกเรามาแข่งขันกันดีหรือไม่" ไท่จื่อเสนอความเห็นอย่างอารมณ์ดี

"กติกาท่านคิดไว้เช่นไร"

"แบ่งเป็นสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ และสัตว์มีปีกบนเวหา เจ้าว่าดีหรือไม่" ไท่จื่อมีแววตาที่สดใสยิ่งนักเมื่อนึกถึงเรื่องสนุก

"กำหนดแข่งขันช่วงเวลาใดหรือพ่ะย่ะค่ะ"

"เริ่มแข่งยามเว่ย หมดเวลาแข่งยามเซิน (*ช่วงเวลาบ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น) เจ้าคิดเห็นเช่นไร"

"ทูลไท่จื่อ รางวัลเป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ" อาลิ่วที่ยืนร่วมฟังกับองครักษ์ทั้งหกเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง

"เจ้าถามข้าเช่นนี้ เพราะเจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้ใช่หรือไม่" ไท่จื่อเห็นท่าทางอาลิ่วน่าเอ็นดูจึงหยอกเย้าแกล้งเล่น

"กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ" เมื่อเห็นอาลิ่วก้มหน้าก้มตาปฏิเสธ ทั้งหมดจึงยิ้มขำออกมาพร้อมกัน

"แบ่งเป็นสัตว์ใหญ่หนึ่งเบี้ยทอง สัตว์เล็กห้าเบี้ยเงิน และสัตว์ปีกบนเวหาเท่านั้นสองเบี้ยทอง เช่นนี้คุ้มค่าดีหรือไม่" รางวัลของไท่จื่อน่าสนใจมาก องครักษ์ทั้งหกหันมองหน้ากันอย่างพอใจในกติกาและรางวัล ส่วนเฉิงอี้แม้จะรับรู้แต่ก็ไร้ซึ่งท่าทีใด เพราะกำลังสนใจแก้หมากล้อมบนกระดานอยู่

ยามค่ำคืนในป่ามืดมิด มีเพียงแสงสว่างจากเปลวไฟบนคบเพลิงที่ปักเรียงตามทางเดินรอบกระโจมไว้เท่านั้น เยว่ซินยืนจับกระชับเสื้อคลุมอยู่ด้านหน้ากระโจมของตนเอง แล้วแหงนหน้ามองดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหลงใหล ในป่าเฉียวซานนี่มองเห็นดาวได้ชัดกว่าในเมืองเฉียวเซียนมากทีเดียว ไม่รู้ว่าคืนนี้นางจะได้เห็นดาวตกเช่นเดียวกับในคืนนั้น ที่ได้ยืนดูดาวกับเฉิงอี้หรือไม่

"เจ้าเพิ่งหายไข้ เหตุใดมายืนตากลมอยู่ตรงนี้" เฉิงอี้ที่เดินมาด้านหลังเงียบๆ เอ่ยขึ้น เยว่ซินตกใจเล็กน้อยแต่เมื่อหันมาพบว่าเป็นเขา นางจึงระบายยิ้มออกมาแทน

"ซือฝุ ข้ากำลังคิดถึงคืนนั้นที่ข้าได้ดูดาวกับท่านอยู่เลยเจ้าค่ะ" เฉิงอี้เลิกคิ้วเป็นคำถามเมื่อได้ยินประโยคเช่นนี้

"ที่เจ้ากำลังคิดถึงในคืนนั้น เจ้าคิดถึงดาวตกหรือคิดถึงข้าที่อยู่ข้างเจ้า" เฉิงอี้เดินมาหยุดยืนเคียงข้างเยว่ซินแล้วเงยหน้ามองดาวในทิศทางเดียวกัน

คำถามชวนให้เยว่ซินต้องนิ่งคิด นั่นสินะแท้จริงแล้วนางกำลังคิดถึงสิ่งใด เยว่ซินมองดาวพลางนึกหาคำตอบในใจ นางหันมามองเฉิงอี้พร้อมรอยยิ้มบาง แล้วเอ่ยตอบว่า "เมื่อข้าได้ออกมายืนดูดาวเมื่อครู่ ในใจข้าก็คิดถึงท่านขึ้นมา แต่ตอนนี้ท่านมาอยู่ข้างกายข้า ข้าจึงคิดถึงดาวตกในคืนนั้นที่ได้ขอพรเคียงข้างท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจึงสรุปได้ว่าถ้าเมื่อใดที่ข้าได้มองดูดาว ข้าต้องคิดถึงท่านเป็นแน่"

น้ำเสียงหวานนั้นน่าฟังแล้ว แต่คำตอบที่นางเอ่ยนั้นน่าฟังยิ่งกว่า เฉิงอี้หันมาสบตานางแล้วยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ ฝ่ามือหนาคว้าต้นคอด้านหลังของนางแล้วรั้งใบหน้าให้ยื่นล้ำเข้ามาใกล้ตัวเขาอีกสักหน่อย ก่อนจะก้มหน้าตัวเองลงไปกระซิบใกล้ๆ ข้างหูของนางด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มว่า...

"ถ้าเช่นนั้น ต่อไปนี้ยามใดเจ้ามองดาวแล้วคิดถึงข้า ให้รู้ไว้ว่าข้าเองก็กำลังคิดถึงเจ้าเช่นกัน" เมื่อพูดจบเฉิงอี้ก็ปล่อยมือจากนางแล้วหันหลังเดินกลับไป ทิ้งให้เยว่ซินยืนแก้มแดงจนรู้สึกตัวร้อนราวกับพิษไข้จะกลับขึ้นมาอีกครา

ยามเว่ยเวลาแข่งขันล่าสัตว์กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ผู้แข่งขันขึ้นหลังม้าล่าสัตว์ฝีเท้าชั้นยอดเข้าประจำที่ เยว่ซินกับหลินหลินมายืนชมช่วงเวลาการปล่อยตัวร่วมกับเหล่าข้าราชบริพาร ผู้ยืนชมต่างรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก เพราะคนที่นั่งเหนือยอดอาชาคือยอดฝีมือการยิงธนูทั้งสิ้น ใครกันเล่าจะเป็นผู้ชนะช่างเดาได้ยากยิ่ง

"เยว่ซิน เจ้าว่าใครจะชนะ" หลินหลินกระซิบถาม

"ผู้ชนะต้องเป็นซือฝุของข้าแน่" แม้หลินหลินจะกระซิบถาม แต่เยว่ซินมิได้กระซิบตอบแต่อย่างใด นางตั้งใจตอบเสียงดังขึ้นมาเสียหน่อย เพื่อให้ซือฝุที่นั่งอยู่บนหลังยอดอาชาสีดำได้ยินกำลังใจจากนาง เฉิงอี้ปรายตามองเยว่ซินที่ยืนอยู่ด้านข้างห่างกันในระยะหนึ่ง เขาได้ยินประโยคที่น่ารักนั้นแล้ว แม้ว่าจะกลั้นมิให้หัวเราะออกมาได้ แต่ก็มิอาจกลั้นยิ้มไว้ได้เลย

ทว่า...เสียงให้กำลังใจของเยว่ซินนั้นมิได้ดังแค่ให้เฉิงอี้ได้ยินเพียงผู้เดียว ไท่จื่อที่อยู่ข้างเฉิงอี้ก็ได้ยินเช่นกัน ความรู้สึกสงสัยบางอย่างเกิดเป็นคำถามขึ้นภายในใจของไท่จื่อ แม้คำถามนั้นจะสร้างความรู้สึกขุ่นมัวให้ไม่น้อย แต่มิสู้วางมันลงแล้วทำใจให้นิ่ง เพื่อตั้งใจกับการแข่งขันล่าสัตว์เสียก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยกลับมาจัดการให้สิ้นสงสัยคงมิสายไปกระมัง

เสียงฝีเท้ายอดอาชาแปดตัวดังไปทั่วบริเวณเมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทั้งแปดคนต่างเป็นยอดฝีมือพลธนู สายตาเฉียบแหลมกับทักษะการฟังเสียงของแต่ละคนถูกนำมาใช้ในการล่าสัตว์ ไม่นานนักก็มีเสียงลูกธนูวิ่งฝ่าอากาศตรงไปปักเข้าร่างเลียงผาตัวหนึ่งจนล้มนอนนิ่งด้วยฝีมือของอาอู๋

"พี่ใหญ่ ท่านสุดยอดจริงๆ" อาลิ่วที่ควบม้าตามหลังมากล่าวชม อาอู๋หันมายิ้มให้เท่านั้นก่อนจะควบม้านำออกไป

ด้านไท่จื่อกับเฉิงอี้ในช่วงแรกควบม้าเคียงข้างกันมา แต่เมื่อถึงทางแยกทั้งสองได้เลี้ยวแยกกันไปคนละทาง ไท่จื่อเห็นหมูป่าวิ่งอยู่เบื้องหน้าจึงตั้งคันศรเล็งลูกธนูแล้วในที่สุดหมูป่าตัวนั้นก็ล้มนอนนิ่งด้วยแรงยิงจากระยะไกล

ขณะนี้ใกล้จะหมดเวลายามเว่ยใกล้เข้าสู่ยามเซินแล้ว ขณะที่ทุกคนยกคันธนูเล็งสัตว์ป่าทุกตัวที่ผ่านสายตาอยู่เบื้องหน้า ทว่ามีเพียงเฉิงอี้ที่เล็งคันธนูขึ้นเวหาเพื่อยิงเพียงนกเท่านั้น เพราะในเมื่อการแข่งขันตัดสินที่จำนวนเบี้ยที่ได้รับมากที่สุด หาใช่จำนวนของสัตว์มากที่สุดไม่ ดังนั้นการยิงนกเพียงหนึ่งตัวได้รางวัลถึงสองเบี้ยทอง เท่ากับจำนวนรางวัลของสัตว์ใหญ่สองตัว หรือสัตว์เล็กมากถึงสี่ตัว จึงไม่มีเหตุผลอันใดให้เขาต้องเอาชีวิตสัตว์เหล่านั้นมากมายเพื่อชัยชนะในครั้งนี้เลย

สิ้นสุดยามเซินการแข่งขันจบลง ผู้แข่งขันบังคับยอดอาชาวิ่งกลับมายังกระโจมที่พัก แล้วสังเกตุเห็นว่าทหารชั้นผู้น้อยหายตัวไปจำนวนหนึ่ง เหลือเพียงหลินหลินที่ยืนร้องไห้อย่างกระวนกระวายใจรอพวกเขาทั้งหมดกลับมา

"หลินหลินเกิดเรื่องอันใดขึ้น" อาอู๋กระโดดลงจากหลังม้าแล้วเอ่ยถามเป็นคนแรก

"ท่านองครักษ์ช่วยเยว่ซินด้วยเจ้าค่ะ นางบอกข้าว่าจะไปหาผลไม้ป่า ตอนนี้จะมืดแล้วนางยังไม่กลับมาเลย ข้ากลัวว่านางจะหลงป่าเลยขอร้องให้ทหารบางส่วนออกไปตามหานาง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวใดเลยเจ้าค่ะ" หลินหลินเล่าด้วยเสียงสะอื้น ใบหน้าของทุกคนขมวดคิ้วเป็นปมแน่น

เฉิงอี้ที่ยังไม่ได้ลงจากหลังม้าเอื้อมมือลงมาคว้ากระบี่ที่คาดตรงเอวของอาลิ่วซึ่งยืนอยู่ใกล้เขาที่สุด ก่อนจะบังคับม้าวิ่งออกไปตามหาเยว่ซินเพียงลำพังโดยไม่รอฟังคำผู้ใด ด้านองครักษ์ฝาแฝดเห็นเช่นนั้นจึงไม่รอช้า กระโดดขึ้นหลังยอดอาชาแล้วออกเดินทางตามไปเช่นกัน

เหลือเพียงไท่จื่อกับองครักษ์ทั้งสี่ ไท่จื่อเอ่ยถามหลินหลินอีกครั้งว่าเยว่ซินเดินไปทิศใด เมื่อหลินหลินบอกทิศทางซึ่งตรงข้ามกับที่เฉิงอี้รีบออกไป ไท่จื่อกับองครักษ์ทั้งสี่จึงบังคับม้าออกเดินทางไปยังทิศทางนั้นด้วยความเร็วมิต่างจากม้าของเฉิงอี้แม้แต่น้อย

ร่างของเยว่ซินนอนสลบอยู่บนพื้นหินที่เย็นเยียบ นางเริ่มรู้สึกตัวค่อยๆ ยกเปลือกตาขึ้นทีละน้อยและเมื่อมองไปรอบตัวจึงรู้นางอยู่ภายในถ้ำสักแห่งในป่าเฉียวซาน เยว่ซินค่อยๆ สำรวจอาการบาดเจ็บของตัวเอง เมื่อรู้สึกตัวว่าลุกไหวจึงพยุงตัวขึ้นนั่ง ความรู้สึกปวดหนึบบริเวณขมับซ้ายเริ่มชัดเจนขึ้น มือบางยกแตะเบาๆ ที่ศีรษะพบว่ามีเลือดออกน่าจะเกิดจากการตกกระแทก

นางนึกย้อนไปเมื่อช่วงยามเซิน เห็นว่ามีกระรอกคาบผลผีผาวิ่งกลับรังมาบนต้นไม้ใหญ่ใกล้กระโจมที่พัก จึงคิดว่าใกล้ๆ บริเวณนั้นน่าจะมีต้นผีผาเป็นแน่ จึงได้บอกกับหลินหลินไว้ว่านางจะออกมาเก็บผลไม้ ทว่าโชคร้ายที่ป่ารกทึบทำให้มองไม่เห็นว่าใต้กอเถาไม้เลื้อยจะเป็นหลุมที่เกิดจากรอยแยกของหินถ้ำ นางจึงก้าวพลาดแล้วตกลงมาศีรษะกระแทกจนสลบไปเช่นนี้

เยว่ซินนั่งอยู่ในความมืดรู้ตัวว่าคงไม่ปลอดภัยหากอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้ จึงกลั้นใจลุกขึ้นยืนและรีบก้าวเท้าเร็วเท่าที่จะเร็วได้ไปยังปากถ้ำที่ยังคงมองเห็นแสงยามเย็นส่องสว่างนำทาง เมื่อออกมาถึงปากทาง ทิวทัศน์ตรงหน้าก็แปลกไปดูไม่คุ้นตา คงเป็นเพราะว่าทางเดิมที่นางเดินพลัดตกมานั้นอยู่คนละทิศกับปากถ้ำที่เดินออกมาเช่นนั้นเอง เยว่ซินจำได้ว่ากระโจมที่พักอยู่ใกล้กับธารน้ำตก หากนางเดินหาน้ำตกแล้วเดินลัดเลาะไป นางก็คงกลับถึงที่พักได้อย่างปลอดภัยแล้วกระมัง

เมื่อคิดได้ดังนั้น เยว่ซินจึงค่อยๆ เดินแล้วพยายามฟังเสียงตกกระทบของสายน้ำ ทว่าเสียงของน้ำตกนั้นอยู่ไกลจากตรงที่นางอยู่มากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่คิดว่าเดินหาต้นผีผามาไม่ไกลจากที่พักแท้ๆ แต่เหตุใดจึงพลัดหลงมาในป่าลึกได้ถึงเพียงนี้เล่า

แสงอาทิตย์เริ่มจางหายความมืดมิดระบายปกคลุมทั่วแผ่นฟ้า เยว่ซินเดินตามเสียงน้ำตกมาได้ระยะหนึ่งเริ่มรู้สึกอ่อนล้า เบื้องหน้าเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านหนาปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นแสงดาว ความปวดหนึบจากบาดแผลก็ส่วนหนึ่ง ความอ่อนล้าของร่างบางอีกส่วนหนึ่ง เยว่ซินรู้สึกตัวแล้วว่าเดินไม่ไหวอีกต่อไป นางจึงมองหาต้นไม้ใหญ่ที่พอจะให้พักพิงได้สักหนึ่งคืน นางหายมานานแล้วเช่นนี้ เกรงว่าหลินหลินกับซือฝุต้องกังวลใจเพราะนางอยู่เป็นแน่ ป่านนี้คงกำลังออกตามหานางกันจนวุ่นวายไปทั้งป่าแล้วกระมัง

เยว่ซินเดินมานั่งกอดเข่าบนโขดหินใต้ต้นไม้ใหญ่ พลางคิดถึงเฉิงอี้ที่เกรงว่าตอนนี้คงกำลังโมโหนางอยู่เป็นแน่ หากได้พบกันนางคงโดนดุแน่แล้วที่ทำเรื่องเดือดร้อนถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่มากับไท่จื่อแท้ๆ เหตุใดจึงนางไม่รู้จักระวังตัวให้มากกว่าสักนิด ความกลัวเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในป่าใหญ่เพียงลำพัง พร้อมกับความเครียดและกังวลใจที่ตนได้ทำเรื่องให้ผู้อื่นเดือดร้อน เยว่ซินฝืนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว นางกอดเข่าฟุบหน้าลงไปร้องไห้สะอึกสะอื้น

ด้านเฉิงอี้กับสององครักษ์ฝาแฝด เมื่อฟ้ามืดลงแล้วจึงต้องค่อยๆ ให้ม้าชะลอฝีเท้าพร้อมส่องไฟจากปลายคบเพลิงเพื่อนำทางทั้งคนและม้า เมื่อทั้งสามมาถึงทางแยกเล็กๆ กลางป่าจึงเกิดความลังเลใจว่าเยว่ซินจะหลงอยู่ทิศใดกันแน่ แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ สายลมลูกหนึ่งก็ปะทะเข้ากับทั้งสามคนจนเปลวไฟบนปลายคบเพลิงสั่นไหวไปวูบหนึ่ง

และเมื่อเฉิงอี้ได้มองดูชัดๆ เบื้องหน้า สายลมเมื่อครู่ได้นำพากลีบดอกท้อป่าลอยละลิ่วเรียงรายเป็นคลื่นกลีบดอกท้อ สายลมนั้นพัดกลีบดอกท้อป่าปลิวไสวทอดยาวเป็นสายนำทางไปยังทิศหนึ่ง เฉิงอี้เห็นดังนั้นจึงรู้แน่ชัดแล้วว่ากลีบดอกท้อป่าเหล่านั้นคือบรรดาภูติดอกท้อป่าที่มาตามให้เขาไปช่วยเทพธิดาน้อยของพวกนางให้ปลอดภัยเป็นแน่

"นางอยู่ทางนั้น" เฉิงอี้เอ่ยออกมาท่ามกลางความเงียบ อาอู๋กับอาลิ่วหันมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉิงอี้จึงมั่นใจเช่นนั้น แต่ไม่ทันได้เอ่ยถามคำใด ผู้เป็นนายก็ควบม้านำออกไปเสียแล้ว

เสียงฝีเท้าของยอดอาชานักล่าสัตว์ทั้งสามวิ่งตรงมาท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าใหญ่ ความก้องกังวาลในยามนี้ทำให้เยว่ซินได้ยินเสียงของม้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นางจึงหยุดร้องไห้ แล้วเงยหน้าจากท่ากอดเข่าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยขอบตาที่บวมช้ำ นางมองเห็นดาวดวงหนึ่งสว่างไสวอยู่บนนั้น...

'ถ้าเช่นนั้น ต่อไปนี้ยามใดเจ้ามองดาวแล้วคิดถึงข้า ให้รู้ไว้ว่าข้าเองก็กำลังคิดถึงเจ้าเช่นกัน'

ประโยคแสนหวานของเฉิงอี้แล่นผ่านมาในห้วงความทรงจำของเยว่ซิน นางจดจ้องมองดาวดวงนั้นนิ่งแล้วปาดน้ำตาให้แห้งไป

"ซือฝุ เสียงนั้นเป็นท่านที่กำลังมาหาข้าแล้วใช่หรือไม่" เยว่ซินมีความหวังขึ้นมาภายในใจว่าเป็นเฉิงอี้ที่กำลังมาช่วยนาง นางจึงลุกขึ้นแล้วยืนบนโขดหินเพื่อให้ร่างเล็กของนางมองเห็นชัดขึ้นในยามนี้

"เยว่ซิน! เยว่ซิน!" เฉิงอี้ควบม้าตามคลื่นลมกลีบดอกท้อป่ามาถึงบริเวณหนึ่งแล้วสายลมนั้นก็พัดหายวับไป เฉิงอี้มั่นใจว่าเยว่ซินต้องอยู่แถวนี้เป็นแน่ จึงส่งเสียงร้องเรียกนาง โดยมีอาอู๋กับอาลิ่วช่วยตะโกนส่งเสียงด้วยอีกแรง

"ซือฝุ" เยว่ซินที่ได้ยินเสียงม้าวิ่งมาหยุดบริเวณนี้ นางจึงตัดสินใจวิ่งออกมาจากตรงโขดหินด้านนั้น แล้วพบว่าเฉิงอี้ อาอู๋กับอาลิ่วอยู่ตรงหน้าแล้ว นางร้องเรียกเฉิงอี้ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เฉิงอี้ได้ยินเสียงของเยว่ซินจึงหันหลังกลับมามองตามเสียงแล้วพบว่าร่างบางสภาพมอมแมมและดูจะบาดเจ็บไม่น้อยกำลังยืนตัวสั่นเทาและร้องไห้อยู่เบื้องหลังของเขา เฉิงอี้กระโดดลงจากหลังม้าแล้ววิ่งเข้าไปหานางอย่างสุดฝีเท้า

ดวงตาคมปราดเปรียวของเฉิงอี้เวลานี้จดจ้องเพียงใบหน้าของเยว่ซินที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น เมื่อวิ่งมาถึงตัวเยว่ซิน เฉิงอี้เข้าสวมกอดนางไว้แน่นจนร่างบางเล็กของนางแทบจะหายวับไปในร่างสูงใหญ่ของเขา เยว่ซินขยับแขนที่เปรอะเปื้อนทั้งสองข้างสวมกอดตอบกลับเฉิงอี้แน่นเช่นกัน นางดีใจเหลือเกินที่ในที่สุดเขาก็ตามหานางจนเจอ

"เป็นเพราะข้ามองดาวใช่หรือไม่เจ้าคะ ซือฝุจึงรู้ว่าข้าอยู่ตรงนี้" เยว่ซินเงยหน้าจากแผ่นอกหนาแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบที่ยังสั่นเครือ

เฉิงอี้เงยหน้ามองหาดวงดาวที่เยว่ซินพูดถึง ที่แท้เป็นดาวเหนือถึงได้มีแสงสว่างมากเช่นนั้น เฉิงอี้ยิ้มรับบางๆ แล้วก้มลงมาสบตาเยว่ซินที่อยู่ในอ้อมกอดแล้วเอ่ยกับนางอย่างปลอบโยนว่า "ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าเมื่อใดที่เจ้ามองดาวแล้วคิดถึงข้า ข้าเองก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน"

เฉิงอี้กวาดสายตามองทั่วใบหน้าของเยว่ซิน เลือดที่แผลขมับด้านซ้ายของนางแห้งไปแล้วในตอนนี้ เฉิงอี้คลายอ้อมกอดแล้วค่อยๆ ยกนิ้วแตะเบาๆ ที่แผลนั้นแล้วเอ่ยถามต่อว่า "เจ้าเจ็บมากหรือไม่"

เยว่ซินน้ำตาซึมขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกปลอบประโลม ทั้งๆ ที่นางทำผิดมากเช่นนี้ เฉิงอี้กลับไม่คิดจะดุนางแม้สักคำ ทั้งยังปลอบนางอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ นางจะไม่รู้สึกผิดได้เช่นไร

"ซือฝุ ข้าเจ็บมากเจ้าค่ะ แต่พอเห็นหน้าท่านข้าก็ดีใจมากกว่าจนไม่เจ็บแล้ว ซือฝุ ข้าขอโทษนะเจ้าคะ ข้าไม่ดีเองที่..." เยว่ซินเอ่ยคำขอโทษพร้อมสะอื้นทั้งน้ำตา แต่ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยค คำสารภาพผิดเหล่านั้นก็ต้องถูกกลืนกลับหายไป เพราะริมฝีปากบางของนางถูกริมฝีปากหนาของเฉิงอี้ประกบปิดไว้แน่นจนมิอาจเอื้อยเอ่ยคำใด แต่ทว่าจูบนี้จากเขาช่างอ่อนโยนและหวานล้ำราวกับน้ำผึ้งป่าที่ให้รสหวานแทนรสยาขมได้เช่นนั้น

จูบแรกของนาง...ที่แท้แล้วเป็นเฉิงอี้นี่เองที่ได้ครอบครอง อาการหนาวๆ ร้อนๆ คล้ายจะเป็นไข้ที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้อยู่ใกล้กันแบบนี้ ก่อนหน้านี้นางไม่เคยเข้าใจว่าความรู้สึกเช่นนี้มีชื่อเรียกอย่างชัดเจนหรือไม่ แต่บัดนี้นางรู้แล้ว เสียงเต้นรัวเร็วภายในใจของนางกำลังให้คำตอบอย่างชัดเจนแล้วว่า...นางกำลังมีความรักต่อเฉิงอี้ ซือฝุที่แสนดีผู้นี้อย่างสุดหัวใจ

เนิ่นนานเป็นนาทีที่เฉิงอี้ประทับจูบนางด้วยความอ่อนโยนและหวานลึกล้ำจนกระจ่างใจแล้วว่าความรู้สึกที่ทั้งสองมีให้กันอยู่ภายในใจลึกๆ นั้นชัดเจนขึ้นเพียงใด เฉิงอี้นึกอยากหยุดเวลานี้ไว้ ไม่อยากคลายอ้อมกอดแนบแน่นนี้จากนางเลย

ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะด่านเคราะห์รักครั้งสุดท้ายแห่งเทพบรรพกาล หรือเพราะคาถาต้องห้ามของลี่จิ่น ที่ทำให้เขามาพบกับเยว่ซินและได้รักนาง จะเหตุผลอันใดก็มิได้สำคัญแล้ว เพราะจากนี้ไปเขาจะไม่ยอมให้มีแม้เหตุผลเดียวที่จะเสียนางไป...