ใจกลางเมืองเฉียวเซียนมีบรรยากาศครึกครื้นตั้งแต่เช้าตรู่ ชาวบ้านออกมาจับจองที่นั่งริมถนนจนเต็มสองข้างทางทอดยาวไปตลอดสาย เพื่อมารอรับเสด็จไท่จื่อที่มีกำหนดการเดินทางมาถึงในวันนี้ โดยตลอดระยะทางที่ไท่จื่อเสด็จผ่านจะมีทหารจากจวนแม่ทัพใหญ่ยืนคุ้มกันประจำที่เป็นระยะๆ ส่วนอาอู๋กับอาลิ่วและนายทหารม้าจำนวนหนึ่ง ได้ติดตามเฉิงอี้ไปตั้งขบวนรอรับเสด็จที่หน้าประตูเมืองแล้ว
"ขบวนเสด็จของไท่จื่อมาทางนั้นแล้วขอรับ" เฉิงอี้หันมองตามทิศทางที่อาอู๋ชี้บอก ก่อนส่งสัญญาณมือให้นายทหารด้านหลังได้รับรู้ด้วย เมื่อเห็นสัญญาณมือทุกคนจึงลงจากหลังม้า
ไม่นานเกินรอนัก หัวขบวนเสด็จไท่จื่อจากเมืองหลวงก็มาถึงหน้าประตูเมืองเฉียวเซียน
"ถวายบังคมไท่จื่อ" เฉิงอี้และนายทหารทั้งหมดคุกเข่าลงเพื่อถวายบังคมตามธรรมเนียม
ไท่จื่อเปิดผ้าม่านจากในรถม้าแล้วเพียงยกมือเป็นสัญญาณหนึ่งที ทหารทั้งหมดก็ลุกขึ้นและกลับขึ้นหลังม้าเข้าประจำที่เพื่อเดินทางเข้าเมืองต่อไป
ตลอดระยะทางที่ขบวนเสด็จเดินผ่าน ชาวบ้านก้มคำนับไท่จื่อตลอดทางด้วยความปีติยินดีที่มีโอกาสได้ต้อนรับเสร็จสักครั้งในชีวิต โดยที่ไท่จื่อไม่ได้เมินเฉยแต่อย่างใด ทรงมองประชาชนของเขาผ่านผ้าม่านบางๆ ภายในรถม้านั่นเอง และเมื่อขบวนเสด็จมาถึงจวนแม่ทัพใหญ่ ไท่จื่อก็ได้แสดงความเป็นกันเองต่อเฉิงอี้ทันที
"ตั้งแต่เจ้าย้ายมาอยู่ที่นี่ ดูสีหน้าเจ้าอิ่มเอิบขึ้นนะเฉิงอี้" ไท่จื่อเอ่ยอย่างหยอกล้อทันทีที่ลงจากรถม้า
"ทรงล้อข้าเล่นอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ไท่จื่อยังคงเป็นไท่จื่อคนเดิม ที่ให้ความสนิทสนมและชอบหยอกล้อกับเขาอยู่เป็นนิจ อุปนิสัยเช่นนี้ดูจะคล้ายกับหวังจิ้นอยู่มากทีเดียว
"ข้าไม่ได้ล้อเจ้า ดูท่าแล้วอาหารเมืองเฉียวเซียนคงอร่อยมาก เจ้าถึงได้มีเนื้อมีหนังมากกว่าตอนเป็นแม่ทัพอยู่ที่เมืองหลวงเสียอีก"
"ทรงเอ่ยเช่นนั้นก็ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ" เฉิงอี้ตอบรับเพราะไม่รู้จะปฏิเสธได้อย่างไร ในเมื่ออาหารที่จวนอร่อยทุกมื้อจริงๆ ตั้งแต่มีเยว่ซินมาอยู่ทำครัวให้ที่นี่
"ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ข้าให้เจ้าย้ายมาอยู่ดูแลจวนแห่งนี้แทนที่จะสร้างเรือนแม่ทัพใหม่ บรรยากาศที่นี่ดูสดชื่นและตกแต่งได้สวยงามถูกใจข้ามาก" ระหว่างทางที่ไท่จื่อเสด็จเดินไปยังห้องพักในจวนใหญ่ ทรงมองบรรยากาศรอบๆ และเอ่ยชมเฉิงอี้ด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีจวนใหญ่แห่งนี้เป็นของไท่จื่อตามยศถาบรรดาศักดิ์ ก่อสร้างด้วยงบของคลังหลวง แต่เมื่อตัวเขาอยู่ที่เมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่ เรือนใดไร้ผู้อยู่อาศัยจะมีแต่ทรุดโทรมลงไปเสียเปล่า เมื่อเฉิงอี้ สหายคนสนิทเพียงคนเดียวของเขาได้รับราชโองการให้ย้ายมาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่เมืองแห่งนี้ เขาจึงยกจวนนี้ให้เฉิงอี้และนายทหารทั้งกองได้มาอยู่ไปเสียเลย ข้อหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญให้แก่สหายสนิทอย่างเฉิงอี้ ข้อสองจวนนี้มีทั้งคอกม้า ลานสนามหญ้าสำหรับฝึกทหาร ที่นี่จึงเหมาะสมกับเฉิงอี้ทุกประการแล้ว
เมื่อเฉิงอี้พาไท่จื่อมาถึงห้องพัก สาวรับใช้และองครักษ์ที่ติดตามมาจากเมืองหลวงก็มารับหน้าที่ดูแลไท่จื่อต่อจากเขา ส่วนเหล่าขุนนางคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกันไปที่ห้องพักทั้งหมดแล้ว
"เชิญไท่จื่อพักผ่อนก่อน ยามซวี (*ช่วงหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) ข้าได้จัดเตรียมงานเลี้ยงไว้ต้อนรับท่านแล้ว"
"ขอบใจเจ้ามากเฉิงอี้" ไท่จื่อตบบ่าเฉิงอี้เบาๆ ตามประสาคนสนิทคุ้นเคย ก่อนจะเข้าห้องไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ระหว่างรอเวลางานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
เรือนรับรองขนาดใหญ่ถูกตกแต่งด้วยโคมไฟสีแดงส่องเป็นแสงสีเทียนสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงดนตรีจากนักดนตรีบรรเลงพิณกู่เจิงขับกล่อมสร้างบรรยากาศในงานเลี้ยงต้อนรับไท่จื่อให้รื่นเริง
เมื่อถึงเวลาตั้งสำรับอาหาร สาวใช้ตั้งขบวนแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อยกสำรับอาหารมาบริการข้าราชบริพารและขุนนาง โดยหลินหลินเป็นผู้ยกสำรับอาหารมาถวายไท่จื่อ ไท่จื่อมองอาหารในสำรับแล้วยิ้มอย่างถูกใจเพราะอาหารในมื้อนี้กลิ่นหอมกรุ่นและน่าทานมากทีเดียว
"เฉิงอี้ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าดูอิ่มเอิบเช่นนี้สินะ" ไท่จื่อชี้นิ้วที่อาหารตรงหน้าพลางหันมาเอ่ยหยอกล้อเฉิงอี้ที่นั่งลดหลั่นอยู่ข้างกัน
"ไท่จื่อลองเสวยดูก่อนดีหรือไม่ ไม่แน่ว่าก่อนจะกลับวังหลวง อาจจะอิ่มเอิบไม่ต่างจากข้านัก"
"ใช้ได้นี่เฉิงอี้ กล้ายอกย้อนข้า ได้! เช่นนั้นข้าจะลองชิมซาลาเปาลูกนี้ก่อนเลยแล้วกัน" ไท่จื่อพูดพลางกลั้วหัวเราะ แล้วกัดซาลาเปาไส้หมูสับหนึ่งคำ เมื่อพิจารณารสชาติอยู่ครู่หนึ่งจึงหันมามองเฉิงอี้พร้อมรอยยิ้มกว้างแล้วเอ่ยว่า "ให้ตายเถอะเฉิงอี้ แม่ครัวที่นี่ทำอาหารอร่อยมากจริงๆ ข้าไม่เคยกินซาลาเปาไส้หมูสับรสชาติเข้มข้นดีเช่นนี้มาก่อน"
เมื่อเฉิงอี้ได้ยินคำชมเช่นนั้นก็ยิ้มขำออกมาพลางมองซาลาเปาในมือตนเองด้วยแววตาพึงใจ ซาลาเปาจะไม่อร่อยได้เช่นไร ในเมื่อเขาคัดเลือกแม่ครัวมาด้วยตัวเอง ฝีมือการทำซาลาเปาแป้งนุ่มอร่อยรสชาติเข้มข้นเช่นนี้ต้องชื่นชมเยว่ซินแล้ว
เสียงบรรเลงพิณกู่เจิงจบลง นางระบำและนักดนตรีได้หลีกทางให้นักเล่านิทานออกมาแสดงในลำดับถัดไป เมื่อซวิ่นเฟิงเดินเข้ามาภายในโถงเรือนรับรอง เหล่าสตรีต่างมองเขาและสะกิดซุบซิบกันจนเสียอาการ แม้แต่ข้าราชบริพารที่เป็นบุรุษยังหันมองด้วยสายตาชื่นชมในความสง่างาม ซวิ่นเฟิงเป็นบุรุษหนุ่มร่างสูงรูปงาม ใบหน้าคมเข้มเช่นนี้สตรีที่ได้พบจะเก็บอาการไว้ได้เช่นไร
"แม้แต่นักเล่านิทานยังรูปงามเช่นนี้ ดูท่าเมืองเฉียวเซียนช่างน่าสนใจไม่น้อยแล้ว" ไท่จื่อเอ่ยชมกับเฉิงอี้ เฉิงอี้เพียงพยักหน้ารับฟังเท่านั้น
"ถวายบังคมไท่จื่อ"
"เชิญ" ไท่จื่อผายมือและตอบรับ พร้อมกับทุกสายตาต่างมองมาที่ซวิ่นเฟิงเพื่อตั้งใจรับฟังเขาเล่านิทาน
"จริงสิ หากนักเล่านิทานแสดงจบแล้ว ข้าอยากพบแม่ครัวของเจ้าเพื่อมอบรางวัลให้แก่พวกนางได้หรือไม่ อาหารมื้อนี้อร่อยถูกใจข้ายิ่งนัก"
"ข้าจะให้องครักษ์ไปตามพวกนางมาให้" เฉิงอี้ปรายตามองไปที่อาอู๋ อาอู๋รับรู้คำสั่งเช่นนั้นแล้ว
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งก้านธูป ซวิ่นเฟิงเล่านิทานตำนานความรักของเทพสวรรค์และมนุษย์จบลงเป็นที่เรียบร้อย เขาได้รับคำชื่นชมและเสียงปรบมือมากมาย ไท่จื่อเองก็ได้ประทานรางวัลให้แก่เขาถึงสิบเบี้ยทองไม่น้อยเลย
ระหว่างที่ทุกคนกำลังชื่นชมซวิ่นเฟิงกันอยู่นั้น ด้านหน้าประตูที่เปิดกว้าง อาอู๋ได้เดินนำหน้าเยว่ซินเข้ามาพร้อมกับแม่ครัวใหญ่ของจวนแม่ทัพ เมื่อซวิ่นเฟิงกลับไปนั่งที่โต๊ะสำรับแล้ว ทุกสายตาต่างพากันหันมาสนใจสตรีร่างบางที่กำลังเดินเข้ามา ใบหน้าของนางช่างงดงามราวกับเทพธิดาสวรรค์สะกดทุกสายตาให้มองตามนางทุกก้าวย่างจนบรรยากาศรอบข้างราวกับหยุดนิ่ง
"ถวายบังคมไท่จื่อ" เยว่ซิน หลินหลินและแม่ครัวย่อคำนับ ทว่าไท่จื่อกับมองเยว่ซินนิ่งราวกับต้องมนต์
เยว่ซินเห็นว่าไท่จื่อมองจ้องนางนิ่งไปจนรู้สึกทำตัวไม่ถูก จึงหันไปมองเฉิงอี้ที่อยู่ข้างๆ ด้วยความประหม่า เฉิงอี้กระแอมไอเบาๆ หนึ่งครั้ง ไท่จื่อจึงยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน
"เจ้าทั้งสามเป็นแม่ครัวที่ทำอาหารในวันนี้ใช่หรือไม่"
"เพคะ" นางทั้งสามขานรับพร้อมกัน
"พวกเจ้าทำอาหารได้อร่อยถูกใจข้ามาก ข้าจึงอยากมอบรางวัลให้ด้วยตัวเอง" แม้ไท่จื่อจะพูดกับนางทั้งสามคน แต่ในสายตาของเขากลับมองเพียงเยว่ซินคนเดียวเท่านั้น
เฉิงอี้ที่นั่งดูอยู่ข้างๆ ตั้งแต่ก่อนที่ไท่จื่อจะได้รับการแต่งตั้งพระยศ แต่ไหนแต่ไรมาเขากับไท่จื่อได้ชื่อว่าเป็นสหายสนิทกันตั้งแต่ครั้งยังอยู่ที่เมืองหลวง ดังนั้นสายตาที่ไท่จื่อมองเยว่ซินอยู่บัดนี้ ไหนเลยเขาจะไม่รู้ว่าไท่จื่อกำลังสนใจนางเข้าแล้ว
"ขอบพระทัยเพคะ" เมื่อไท่จื่อประทานรางวัลให้คนละสิบเบี้ยทองเรียบร้อยแล้ว นางทั้งสามจึงย่อคำนับอีกครั้งก่อนจะเดินกลับออกไป
"เดี๋ยว" ไม่ทันที่ทั้งสามคนจะเดินออกไป ไท่จื่อได้เอ่ยรั้งไว้เสียก่อน เมื่อเยว่ซินหันกลับมา จึงเอ่ยถามต่อว่า "แม่นางน้อย เจ้านามว่าอะไร" เพราะสายตาของไท่จื่อจ้องมองเพียงเยว่ซินเท่านั้น หลินหลินกับแม่ครัวใหญ่จึงย่อคำนับอีกครั้ง แล้วขอตัวเลี่ยงออกไปก่อน
"ข้านามว่าเยว่ซินเพคะ" เพราะเยว่ซินถูกอบรมให้ทั้งมารยาทและศิลปะงานครัวมาตลอดหนึ่งเดือนแล้ว การแสดงออกต่อหน้าไท่จื่อจึงดูเรียบร้อยงดงาม กิริยานุ่มนวลเช่นนี้ส่งให้นางดูสง่างามกว่าเมื่อครั้งแรกที่มาถึงจวนมากนัก
"นามของเจ้าเพราะมาก เหมาะสมกับใบหน้างดงามของเจ้าแล้ว"
"ขอบพระทัยเพคะ" แม้เยว่ซินจะเอ่ยตอบไท่จื่อ แต่กลับปรายสายตาลอบมองไปที่เฉิงอี้ และพบว่าเขาได้จ้องมองนางอยู่เช่นกัน แต่เพราะเหตุใดเขาถึงมองนางด้วยสายตาเรียบนิ่งทว่าแข็งกร้าวอยู่ในทีเช่นนั้นเล่า หรือว่านางทำให้ซือฝุต้องขายหน้าเข้าเสียแล้ว นางคงมิได้ทำกิริยาใดไม่เหมาะสมออกไปต่อหน้าไท่จื่อใช่หรือไม่ เยว่ซินหันกลับมาสบตาไท่จื่อ รอยยิ้มของไท่จื่อดูใจดีและอบอุ่นเช่นนี้ นางคงมิได้ทำเรื่องใดให้ถือสาแล้วกระมัง
"ซือฝุ" เฉิงอี้ตกใจเล็กน้อยเพราะไม่ทันสังเกตว่าเยว่ซินได้ยืนรอเขาอยู่ที่หน้าห้อง
หลังจากงานเลี้ยงจบลงในช่วงเวลายามห้าย (*ช่วงเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม) เมื่อผู้คนแยกย้ายกันไปพักผ่อนในยามดึกสงัด ความสงบยามค่ำคืนเงียบจนได้ยินเสียงจิ้งหรีด เยว่ซินที่เสร็จงานจากในครัวเรียบร้อยแล้วจึงมายืนรอเฉิงอี้ที่หน้าห้องอยู่สักพักหนึ่ง เพราะเฉิงอี้ต้องไปตรวจดูความเรียบร้อยที่จวนของไท่จื่อ จึงกลับมาช้าไปสักหน่อย
"เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้" เฉิงอี้ถามกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ
"ซือฝุ วันนี้ข้าทำให้ท่านขายหน้าแล้วหรือไม่ เหตุใดท่านจึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น"
ที่แท้นางมีเรื่องกังวลใจที่เขามองนางด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นนั้นเองหรือ เมื่อเห็นว่าเยว่ซินหน้าหงอย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อคล้ายลูกแมวยามหิวนม เฉิงอี้รู้สึกนึกขำที่นางคิดมากถึงเพียงนี้ เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวนางอย่างเอ็นดู แล้วตอบคำถามที่นางคาใจว่า "ตอนนั้นเพราะไท่จื่อมีคำถามกับเจ้า จะให้ข้าทำสีหน้าราวกับมีส่วนร่วมด้วยได้เช่นไร นอกเสียจากจะนั่งมองเจ้าอยู่เฉยๆ"
เฉิงอี้รู้อยู่แก่ใจว่าเขากำลังแก้ตัว ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเขาเห็นไท่จื่อมีสายตาสนใจเยว่ซินเช่นนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเสียดื้อๆ ภายในใจเกิดความรู้สึกซับซ้อน จึงได้แสดงสีหน้าเรียบนิ่งแบบนั้นออกไป แต่สำหรับเยว่ซิน นางไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ทั้งๆ ที่นางได้รับคำชื่นชมจากไท่จื่อแท้ๆ แต่เมื่อเห็นซือฝุของนางมีสีหน้านิ่งเฉยคล้ายไม่ยินดี จึงไม่แปลกแล้วที่นางจะคิดกังวล ภายในใจของนางคงจะกลัวว่าตนได้ทำเรื่องขายหน้าให้แก่เขาแล้ว จึงได้เอ่ยถามเช่นนี้
"เช่นนั้น หากท่านไม่ได้โกรธข้า เชิญท่านเข้าห้องไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่กวนท่านแล้ว" เยว่ซินถอยหลังหนึ่งก้าว เพื่อหลบให้ทางเดินเข้าหน้าประตู
"แล้วเจ้าล่ะ เจ้าง่วงแล้วหรือไม่"
"ข้ายังไม่ง่วงเจ้าค่ะ ก่อนท่านมา ข้านั่งตากลมเย็นๆ อยู่เฉยๆ จนรู้สึกดีขึ้นแล้ว"
"เช่นนั้น เราไปดูดาวด้วยกันดีหรือไม่" เฉิงอี้ยื่นหน้ามาถามเยว่ซินใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าเฉิงอี้มีท่าทางกลับมาใจดีเช่นเดิมแล้ว เยว่ซินจึงรีบพยักหน้าตอบรับพร้อมยิ้มดีใจจนตาหยี
เฉิงอี้พาเยว่ซินมาที่ศาลาริมสระดอกบัว ตรงนี้มีโคมไฟน้อยกว่าจุดอื่นๆ เมื่อแสงสว่างน้อยทำให้สามารถมองเห็นแสงดาวบนท้องฟ้ายามราตรีได้ชัดเจนกว่าที่ใด
เมื่อเงยหน้ามองผืนฟ้าที่ประดับด้วยดวงดาราพร่างพราว ภายในใจของเฉิงอี้จึงอดคิดถึงซือมิ่งขึ้นมาไม่ได้ สหายรักคนนี้กำลังรอเขานำพาเทพธิดาน้อยกลับไป เพื่อให้ดาวเก้าแฉกในดาราจักรลิขิตชะตาดวงนี้กลับมาเดินทางตามเส้นชะตาได้อย่างถูกต้องเสียที
เยว่ซินเงยหน้าชมดวงดาวบนท้องฟ้าที่มีมากมายดั่งเม็ดทราย สายลมพัดเย็นจนนางต้องกอดอกเอาไว้แน่น เฉิงเห็นเช่นนั้นจึงถอดเสื้อคลุมของเขาไปสวมไว้ให้นาง เยว่ซินไม่ได้ละสายตามาสนใจว่าเขาจะสวมเสื้อคลุมให้ เพราะสายตาของนางถูกดวงดาวบนท้องฟ้าสะกดให้จดจ้องตราตรึงอยู่อย่างนั้นเสียแล้ว
เฉิงอี้ลอบมองใบหน้าของเยว่ซินที่อยู่ใกล้เพียงระยะฝ่ามือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยยิ้มตลอดเวลาและดวงตาที่ซื่อใสไร้เหลี่ยมใด เขาเห็นเยว่ซินมาตั้งแต่นางยังเด็ก แม้ตอนนี้นางจะโตขึ้นมากแล้ว แต่เขากลับไม่วางใจเลยว่านางโตพอที่จะแบกรับลิขิตชะตาจากเทพบรรพกาลได้แล้วหรือไม่
"ซือฝุ นั่นดาวตกเจ้าค่ะ!" จู่ๆ เยว่ซินที่ยืนมองดาวอยู่เงียบๆ ก็ร้องขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปที่ดาวตกดวงหนึ่งบนท้องฟ้า ดูท่านางคงจะเคยได้ยินใครต่อใครเล่าต่อกันมาว่าเมื่อใดที่เห็นดาวตก จะต้องกุมมือเพื่ออธิษฐานขอพร เยว่ซินถึงได้ทำเช่นนั้น
เฉิงอี้จ้องมองเยว่ซินที่กำลังหลับตาอธิษฐานต่อดวงดาวพลางคิดเล่นๆ ขึ้นมาในใจว่า เมื่อมนุษย์สามารถขอพรต่อเทพสวรรค์ได้ดั่งใจ แม้ว่าเขาคือไท่เซียนอี้ตี้จวิน แต่บัดนี้เขามาจุติเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแล้ว เช่นนี้เขาจะขอพรต่อเทพสวรรค์ดั่งมนุษย์ธรรมดาได้บ้างหรือไม่ ถ้าหากเขาถือโอกาสนี้ขอพรต่อเทพสวรรค์ได้แม้เพียงข้อเดียว ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวที่มีภายในใจของเขานั้นมิใช่ต้องการให้นางถูกปลดผนึกจิตเทพสำเร็จแต่อย่างใด เพียงแต่ปรารถนาให้เยว่ซินสามารถผ่านลิขิตชะตาแห่งเทพบรรพกาลด้วยหัวใจดวงเดิมที่ไม่เปลี่ยนไปก็เพียงพอ...
ในยามสายของวัน แสงแดดไม่แรงเท่าแรงลมหนาวพัดในวสันตฤดู ไท่จื่อได้มาเดินตรวจตราคอกม้าด้วยตัวเองกับเฉิงอี้ ยอดอาชาฝีเท้าดี ยกก้าวปราดเปรียว และเต็มไปด้วยพละกำลังนับสามร้อยตัวยืนเรียงรายอยู่ในคอกม้าประจำจวนแม่ทัพใหญ่ ที่นี่จัดสร้างคอกม้าไว้อย่างเป็นระเบียบและมีการจัดการที่ดี โดยแบ่งเป็น คอกม้าพ่อพันธุ์ คอกม้าศึก คอกม้าพิธีการ คอกม้าสื่อสาร คอกม้าล่าสัตว์ และคอกม้าใช้งานทั่วไป นักเลี้ยงม้าที่ประจำการอยู่ที่นี่ได้ติดตามเฉิงอี้มาจากเมืองหลวง พวกเขาจึงรู้ใจม้าเหล่านี้มาก ซึ่งเป็นม้าชั้นยอดที่เฉิงอี้คัดมาเป็นอย่างดีแล้ว
"มิรู้ว่าท่านพ่อของข้าคิดถูกต้องแล้วหรือไม่ ที่ให้แม่ทัพฝีมือดีอย่างเจ้าย้ายมาที่นี่ นอกจากฝีมือการต่อสู้ของเจ้าแล้ว แม้แต่ม้ายังดูหน่วยก้านดีกว่าม้าของแม่ทัพที่เมืองหลวงเสียอีก"
"หากไท่จื่อจะลองขี่ ทรงเลือกได้เลยพ่ะย่ะค่ะ ม้าศึกพวกนี้เชื่องดีแล้ว"
"ไม่ล่ะ อีกสามวันข้าจะออกไปล่าสัตว์ ไว้ถึงวันนั้นเดี๋ยวข้าก็ได้ขี่ม้าเลี้ยงของเจ้าจนหนำใจแล้ว"
"เช่นนั้น ข้าจะให้อาอู๋ช่วยคัดม้าล่าสัตว์ชั้นดีไว้ให้"
"เจ้าเป็นสหายที่รู้ใจข้าที่สุดแล้ว เฉิงอี้"
ระหว่างที่ไท่จื่อกำลังเดินชมเหล่ายอดอาชาชั้นดีของเฉิงอี้อยู่นั้น หลิวหลิวก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาโดยมิลืมย่อคำนับไท่จื่อก่อนจะหันมาทางเฉิงอี้ด้วยท่าทีกระวนกระวาย
"ท่านแม่ทัพเฉิง เยว่ซินแย่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อเช้านางไข้ขึ้นแล้วฝืนไปทำครัว บัดนี้นางตัวร้อนมาก นางไข้ขึ้นจนเป็นลมอยู่ในครัวแล้วเจ้าค่ะ"
หลินหลินยังไม่ทันพูดจบประโยคดี เฉิงอี้ก็รีบพุ่งตัววิ่ง ตรงไปยังห้องครัวอย่างใจร้อน โดยมีอาลิ่ววิ่งตามออกไป เหลือเพียงอาอู๋ที่รู้หน้าว่าต้องติดตามคอยอารักขาไท่จื่ออยู่ที่นี่เสียก่อน
เมื่อมาถึงห้องครัว พบเยว่ซินสลบไร้สตินอนหนุนอยู่บนตักของแม่ครัวใหญ่ที่คอยนั่งพัดให้นาง ข้างกันมีเจ้าเสี่ยวเข่ออ้ายนั่งเฝ้ามองเยว่ซินอยู่ไม่ห่าง เฉิงอี้เข้าไปอุ้มนางเพื่อพากลับไปยังห้องพัก โดยมีหลินหลินที่วิ่งตามมาไปคอยเปิดประตูให้
ด้านไท่จื่อกับอาอู๋ที่เพิ่งตามหลังมาถึงห้องเยว่ซิน เห็นว่าเฉิงอี้อุ้มนางลงนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว ไท่จื่อจึงสั่งให้อาอู๋ไปตามหมอหลวงในทันที
"ซือฝุ" เยว่ซินที่เริ่มรู้สึกตัวเอ่ยเรียกเมื่อนางลืมตามาเห็นใบหน้าของเฉิงอี้นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ
"เจ้ารู้สึกตัวแล้วหรือ" เฉิงอี้อังหลังมือที่หน้าผากของนาง รู้สึกได้ว่าตัวนางมีไอร้อนเพราะพิษไข้สูงอยู่ทีเดียว
"ซือฝุ ข้าไม่ได้ตั้งใจนะเจ้าคะ" เยว่ซินเอ่ยอย่างสำนึกผิด ที่ทำให้เฉิงอี้และทุกคนต้องกังวลเพราะนางเสียแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าเริ่มมีไข้คล้ายจะไม่สบายในตอนเช้า แต่นางก็ยังอยากจะไปทำอาหารที่ห้องครัวอยู่ดี
"เจ้ารู้ว่าตัวเองมีไข้ เหตุใดจึงยังดื้อรั้นไปทำครัวอีกเล่า" เฉิงอี้เอ่ยน้ำเสียงกดต่ำเล็กน้อยอย่างตำหนิด้วยความเป็นห่วง
"ซือฝุ ช่วงเวลาที่ข้าจะได้อยู่กับท่านนั้นเหลืออีกไม่กี่วันแล้ว เช่นนั้นข้าจึงอยากทำอาหารให้ท่าน ก่อนที่จะต้องกลับบ้านไปหาท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ" แม้ในใจจะนึกตำหนิในความดื้อรั้นของนาง อยากจะดุนางให้รู้ความขึ้นมาเสียหน่อย แต่เมื่อได้ยินเหตุผลของนางเช่นนี้ เฉิงอี้พลันใจอ่อนลืมคำที่เขาอยากจะดุนางเสียหมด
"แต่เจ้าไม่ควรฝืนเมื่อเจ้าป่วยเช่นนี้" มือเรียวยาวใช้นิ้วชี้แตะเบาๆ ที่ปลายจมูกของเยว่ซิน พลางเอ่ยแกล้งตำหนิอย่างนึกมันเขี้ยวยิ่งนัก
"หมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ" เสียงของหลินหลินดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน เฉิงอี้จึงต้องลุกถอยออกมาเพื่อหลีกทางให้หมอหลวงเข้ามาตรวจอาการของเยว่ซิน
บัดนี้ทุกคนทำได้เพียงมารออยู่ด้านนอก ทั้งไท่จื่อ เฉิงอี้ อาอู๋ อาลิ่ว และเสี่ยวเข่ออ้าย ส่วนหลินหลินนั้นอยู่ด้านในเป็นเพื่อนเยว่ซิน เผื่อหมอหลวงต้องการให้คอยช่วยเหลืออันใด
"แม่นางเยว่ซินป่วยเช่นนี้ นางจะหายป่วยทันที่จะออกไปล่าสัตว์กับข้าหรือไม่" ระหว่างที่ยืนรอหมอหลวงทำการตรวจรักษาเยว่ซิน ไท่จื่อเองก็ยังรออยู่กับเฉิงอี้ด้วย
"ไท่จื่อจะให้เยว่ซินไปเข้าป่าด้วยหรือ" เฉิงอี้ถามอย่างแปลกใจ เพราะในขบวนเสด็จที่มาจากเมืองหลวงนั้น มีทั้งสาวใช้และนางห้องเครื่องสำหรับคอยเตรียมสำรับระหว่างเดินทางติดตามมาด้วยแล้ว เหตุใดจึงจะต้องให้เยว่ซินร่วมขบวนไปล่าสัตว์อีกเล่า
"เจ้าคิดเห็นเช่นไร เฉิงอี้" เฉิงอี้นิ่งคิดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แม้จะไม่แน่ใจในความคิดของไท่จื่อ แต่การที่จะให้เยว่ซินไปร่วมขบวนล่าสัตว์ด้วยก็ไม่ได้เป็นเรื่องหนักหนาแต่อย่างใด เพียงแต่มีเหตุผลหนึ่งที่เขาต้องแจ้งให้ไท่จื่อทราบ
"อันที่จริง ข้าได้รับปากกับแม่นางลี่จิ่น มารดาของเยว่ซินไว้ว่าจะพานางกลับบ้านเมื่อเสร็จงานเลี้ยงแล้ว" ในเมื่องานเลี้ยงจบลงแล้ว เขาต้องพานางไปส่งที่บ้านตามสัญญา แต่ทว่านางมาล้มป่วยเช่นนี้ คงต้องรอให้นางหายดีก่อนจึงค่อยนัดวันออกเดินทาง
"ข้านึกเยว่ซินเป็นแม่ครัวประจำจวนของเจ้าเสียอีก"
"นางเพียงมาช่วยงานแค่ชั่วคราวเท่านั้น"
"ถ้าเช่นนั้น หากข้าขอให้นางไปร่วมขบวนล่าสัตว์กับข้าก่อน แล้วระหว่างทางขากลับ เราค่อยแวะส่งนางกลับบ้าน เช่นนี้เจ้าว่าดีหรือไม่"
"ไท่จื่อรอปรึกษาท่านหมอหลวงก่อนเถิด" เฉิงอี้เห็นว่าหมอหลวงเดินออกมาจากห้องพอดี จึงได้บอกไท่จื่อเช่นนั้น ก่อนจะหันไปสนใจหมอหลวงที่กำลังจะบอกเล่าอาการของเยว่ซินหลังการตรวจรักษา
"ท่านหมอหลวง แม่นางเยว่ซินเป็นเช่นไรบ้าง อาการหนักมากหรือไม่"
"ทูลไท่จื่อ แม่นางเยว่ซินเพียงร่างกายอ่อนล้า คาดว่านางคงจะทำงานหนักในช่วงงานเลี้ยง ทั้งตื่นเช้าและยังนอนดึก การพักผ่อนน้อยทำให้ร่างกายของแม่นางเยว่ซินอ่อนแอจนเป็นไข้ ข้าได้สั่งยาไว้กับแม่นางหลินหลินเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"เช่นนั้น นางจะหายภายในสามวันได้หรือไม่"
"ทูลไท่จื่อ อาการป่วยของนางไม่หนักเกินไป เพียงแค่ให้พักผ่อนงดทำงานหนักสักสองวันและกินยาตรงเวลา ภายในสามวันอาการของนางน่าจะดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ" เมื่อได้ยินคำยืนยันจากหมอหลวง ทุกคนจึงเบาใจขึ้นแล้ว
"ขอบใจเจ้ามากท่านหมอหลวง" ไท่จื่อเอ่ย หมอหลวงจึงคำนับแล้วขอตัวกลับออกไป
"เมื่อเยว่ซินไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว เช่นนั้นให้หลินหลินคอยอยู่ดูแลนางเถิด ข้าไปส่งท่านเองไท่จื่อ อาอู๋ อาลิ่ว เจ้ามีงานอันใดก็ไปทำเถิด" เฉิงอี้หันมาสั่งองครักษ์ฝาแฝดทั้งสองก่อนจะเดินตามไท่จื่อออกไป
"เฉิงอี้ ข้ามีคำถามอยากถามเจ้า"
"เชิญไท่จื่อ"
"ข้าอยากรู้ว่าแม่นางเยว่ซิน นางมีคนรักแล้วหรือไม่" ระหว่างทางที่เดินกลับกันมาเพียงลำพัง ไท่จื่อจึงกล้าเอ่ยถามคำถามส่วนตัวนี้ต่อเฉิงอี้ผู้เป็นสหายสนิท
"..." เฉิงอี้ได้ยินคำถามนี้ถึงกับนิ่งไป สีหน้าเรียบนิ่งของเขากำลังปกปิดความคิดมากมายที่แล่นเข้ามาให้นึกทบทวน ทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าเยว่ซินคือด่านเคราะห์ครั้งสุดท้ายแห่งเทพบรรพกาล นางคือด่านเคราะห์รักของเขา ในเมื่อเป็นลิขิตชะตา ผู้ที่คู่ควรจะเป็นคนรักของนางในภพชาตินี้ควรจะเป็นเขาถูกต้องแล้วหรือไม่ เพียงแต่ว่า...เขาจะตอบคำถามนี้ต่อไท่จื่อเช่นไรดี
"เฉิงอี้ เหตุใดเจ้าจึงเงียบไป"
"ไท่จื่อถามข้าเช่นนี้ ท่านสนใจนางแล้วใช่หรือไม่" เพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นเช่นไร มิสู้ถามความในใจของไท่จื่อให้รู้แน่ชัดเสียก่อนน่าจะดีกว่า
"เห็นแก่ที่เจ้าเป็นสหายรักของข้า ข้าจะยอมรับกับเจ้าตามตรงว่าข้าชอบแม่นางเยว่ซิน เพียงข้าได้เห็นหน้านางครั้งแรก นางงดงามราวกับเทพธิดาสวรรค์ ทั้งยังทำอาหารฝีมือเยี่ยม สตรีที่เพียบพร้อมเช่นนี้ฮองเฮาท่านแม่ของข้าต้องโปรดนางมากแน่" เมื่อได้ยินประโยคเอ่ยชื่นชมเยว่ซินของไท่จื่อ ใบหน้านิ่งเมื่อครู่ของเฉิงอี้จึงปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก พลางนึกอย่างขบขันอยู่ในใจว่า...จะมิให้เยว่ซินงดงามราวกับเทพธิดาสวรรค์ได้เช่นไร ในเมื่อนางคือเทพธิดาน้อยแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
"แต่นางเป็นเพียงสตรีชาวบ้านธรรมดา หาใช่สตรีในตระกูลระดับชั้นขุนนาง หากท่านเลือกนางเช่นนี้ นางจะไม่ถูกเหล่าขุนนางในวังหลวงตำหนิใช่หรือไม่"
"เจ้าอยู่กับข้ามาตั้งแต่เด็ก เคยเห็นผู้ใดกล้าขัดใจข้า โอรสเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้ด้วยหรือ อีกอย่างก่อนข้าจะเดินทางมาที่นี่ ข้าได้รับปากกับท่านแม่ไว้ว่าหากข้ากลับจากเมืองเฉียวเซียน ท่านแม่จะจัดงานดูตัวให้ข้า ถึงเวลานั้นข้าจะต้องเลือกสตรีสักนางเพื่อมาแต่งงานด้วยอยู่ดี เวลานี้นับว่าข้าช่างโชคดียิ่งนัก ที่ข้าได้มาพบกับแม่นางเยว่ซิน ข้าอยากให้นางเป็นหวงไท่จื่อเฟยของข้า (*ตำแหน่งองค์หญิงพระชายาเอกในองค์รัชทายาท)"
หวงไท่จื่อเฟยเช่นนั้นหรือ หากเยว่ซินได้แต่งงานกับไท่จื่อจริงๆ แล้วลิขิตชะตาแห่งเทพบรรพกาลที่กำหนดให้เขาเป็นคู่รักของนางจะดำเนินต่อไปได้เช่นไร...