webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Oriental
Pas assez d’évaluations
1039 Chs

014 ถ่ายทอดวิชาง่ายๆไม่ได้

บทที่ 14 ถ่ายทอดวิชาง่ายๆไม่ได้

ตอนนี้สบายกว่าเดินเยอะเลย เหมียวอี้ที่เดินทะลุผ่านภูเขามาทั้งคืนทรุดตัวนั่งลงบนแพไม้ไผ่ ถอนหายใจฮือกใหญ่ พบว่าขึ้นแพเดินทางในแม่น้ำลำธารนี้ ช่างได้ความรู้สึกที่ต่างไปจริงๆ

บัณฑิตยกลำไม้ไผ่ขึ้นมาเก็บไว้ มีเพียงตอนที่แพไม้ไผ่เบี่ยงออกจากทิศทาง บัณฑิตถึงจะใช้ลำไม้ไผ่แจวเพื่อปรับทิศทาง แต่ว่าแพไม้ไผ่ลำนี้เหมือนจะไหลไปตามน้ำตามลมอย่างราบรื่นมาก น้อยครั้งที่จะเบี่ยงเบนออกจากทิศทาง ดำเนินไปอย่างสบายตลอดทาง

เหมียวอี้เองก็เหนื่อยแล้ว เชยชมทิวทัศน์ภูเขาทั้งสองฝั่ง ขี้เกียจจะขยับตัวแล้ว

บัณฑิตที่ถือลำไม้ไผ่ยืนตรงปะทะลมอยู่ข้างหน้า ถามโดยไม่หันหน้ากลับมา "สมุนไพรเซียนสองต้นนั้น น้องชายเก็บมาได้รึเปล่า? "

“อืม”' เหมียวอี้ตอบ “"เก็บได้แล้ว"

บัณฑิตถาม "ในเมื่อมีสมุนไพรเซียน เหตุใดจึงไม่ไปเคาะประตูสำนักเซียน แทนที่จะมาเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่? "

"เรื่องมันยาวน่ะ" เหมียวอี้ไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก จึงเปลี่ยนข้อสนทนา ซ้ำยังถามด้วยความสงสัย "มีอยู่หนึ่งเรื่องที่ข้าคิดไม่ตกมาตลอด สมุนไพรเซียนสองต้นนั้นมันอยู่ตรงหน้าท่านชัดๆ ทำไมท่านไม่ไปเก็บ อย่าบอกนะว่าไม่ตื่นเต้นกับมันเลย?"

บัณฑิตยิ้มเบาๆ "ข้าเคยปรนนิบัติมหาเซียนท่านหนึ่ง เห็นเยอะแยะจนชินที่สำนักเซียน เบื่อตั้งนานแล้ว ไม่สนใจเรื่องการสำเร็จเป็นเซียนหรอก"

เหมียวอี้งง "เคยปรนนิบัติท่านเซียนเหรอ?"

บัณฑิตถามกลับ "เจ้าไม่เชื่อเหรอ?"

"เปล่าหรอก" เหมียวอี้ส่ายหัว รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องนำเรื่องนี้มาหลอกตน และนี่ก็อธิบายได้ว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ไม่สนใจสมุนไพรเซียน ถ้าบอกว่ากลัวเสื้อผ้าสกปรกอะรกะอไรนั่นเขาก็ไม่เชื่อหรอก

เขาพินิจพิเคราะห์บัณฑิตที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ไม่แปลกใจเลยว่าที่ชายหนุ่มคนนี้มีลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา เพราะเคยอยู่ข้างกายท่านเซียนมาก่อนนี่เอง จึงมีกลิ่นอายของเซียนติดมาด้วย

แต่ก็มีบางอย่างที่ยังสงสัยอยู่ "ในเมื่อท่านเจ้าไม่สนใจ แล้วจะเข้าไปเสี่ยงอันตรายในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งทำไม? "

บัณฑิตพูดพร้อมปะทะลม "ชีวิตคนไม่ยืนยาวเกินร้อยปี มีโอกาสหนึ่งครั้งในรอบหนึ่งพันปีก็ถือว่าโชคดีแล้ว ในเมื่อโอกาสมาถึง ถ้าไม่เข้าไปดูเสียหน่อย จะไม่เสียดายทีหลังเหรอ?"

เหมียวอี้อึ้งไป ดูจากทัศนคติการมองโลกของเขาแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมาล่องแพลำพังบนแม่น้ำในภูเขานี้ สมถะสันโดษเหมือนนกกระเรียนป่าอิสระ เหมือนเมฆที่ลอยไปลอยมา

แต่เหมียวอี้ก็รู้สึกอยู่ดีว่าการเข้าไปที่อันตรายแบบนั้นแค่เพื่อจะไปดูเฉยๆ มันดูประหลาดผิดมนุษย์ไปหน่อย ยังอดไม่ได้ที่จะลองถาม "สมุนไพรเซียนไม่ได้อยู่้ในสายตาท่าน...ท่านคงไม่ได้อยากเข้าไปในนั้นเพื่อหาของวิเศษที่หลงเหลือจากสงครามใหญ่ของเทพและมารหรอกนะ?"

"สงครามใหญ่ของเทพและมาร?" บัณฑิตถามด้วยความประหลาดใจ "อะไรคือสงครามใหญ่ของเทพและมาร ?"

เหมียวอี้ตอบอย่างงงัน "อย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้ว่า 'แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง' เป็นผลลัพธ์หลังจากเกิดสงครามใหญ่ของเทพและมารละมั้ง? หนึ่งแสนปีก่อนมีกองทัพสวรรค์หนึ่งแสนนายไล่ฆ่าจอมมารจากสวรรค์จนมาจนถึงที่นี่ แต่ช่วยไม่ได้ จอมมารนั่นร้ายกาจเกินไป กองทัพสวรรค์แสนนายก็เลยตายพร้อมกับกับจอมมารตนนั้นที่ 'แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง' ท่านไม่เคยได้ยินเหรอ?"

ผมขาวที่ย้อยเป็นจอนลงมาของบัณฑิตกำลังพลิ้วไปตามลม เขายังคงหันหลังตอบเหมียวอี้เบาๆ “'อ้อ' " เคยได้ยิน แต่เป็นเพียงเรื่องราวเมื่อแสนปีก่อน มีคนเคยเห็นหรือไงล่ะ? ไม่แน่นะความจริงอาจเป็นแบบตรงกันข้ามก็ได้ บางทีอาจจะเป็นมารหนึ่งแสนตนไล่ฆ่าคนดีหนึ่งคนก็ได้ แล้วคนดีคนนั้นก็ฆ่ามารแสนตนนั้นทั้งหมดที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง มันก็เป็นไปได้นะ"

เหมียวอี้หัวเราะ "ยังไงซะตำนานก็เป็นแบบนี้มาตลอด ทุกคนพูดแบบนี้กันทั้งนั้น "

บัณฑิตตอบ "มนุษย์ไม่รู้เรื่องอะไร แต่พูดเพ้อเจ้อ ทำไมเชื่อข่าวลือกันง่ายนักนะ น้องชาย ถ้าวันหนึ่งมีคนมาบอกว่าข้าเป็นจอมมาร เจ้าจะเชื่อมั้ย? "

เหมียวอี้หัวเราะ "ไม่เชื่อแน่นอน ท่านดูแยกตัวจากทางโลก ขนาดเรื่องสำเร็จเป็นเซียนยังไม่สนใจเลย จะไปกลายเป็นจอมมารยังไงล่ะ แต่ว่า...ท่านไม่อยากสำเร็จเป็นเซียนจริงเหรอ? ถ้าได้เป็นเซียนแล้ว จะเที่ยวชมป่าเขาลำเนาไพรได้สะดวกขึ้นไม่ใช่เหรอ?"

"ไม่อยาก! " บัณฑิตส่ายหัวตอบ "ถ้าข้าอยากเป็นเซียน ก็ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงอันตรายในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งหรอก มหาเซียนท่านนั้นที่ข้าเคยปรนนิบัติเคยถ่ายทอดวิชาเซียนให้ข้า ถ้าข้าอยากเป็นเซียน จะฝึกฝนเมื่อไรก็ได้ "

เหมียวอี้ยิ้มไม่ออกแล้ว หลังจากสีหน้าแข็งทื่อไปสักพักก็ ถามแบบอ่อนเพลียหมดแรง "ท่านมีวิชาเซียนที่เซียนท่านนั้นถ่ายทอดให้เหรอ? "

บัณฑิตพูดอย่างไม่ใส่ใจ "เจ้าสนใจเหรอ?ถ้าเจ้าต้องการ ข้าก็จะมอบให้เจ้า "

เหมียวอี้กระโดดโลดเต้นขึ้นมา กล่าวอย่างเขาตื่นเต้นดีใจ "จริงเหรอ? "

บัณฑิตหันกลับมามอง ยิ้มบางเบาๆ แล้วตอบ "จริงสิ"

เหมียวอี้ตื่นเต้นดีใจจนพูดไม่ออก ถ้ามีเรื่องดีๆ แบบนี้จริง รอให้ตัวเองได้สำเร็จเป็นเซียน ในภายหลังอาจจะได้ดูแลน้องรองสองกับน้องสามต่อไปได้

หลังจากถูมือด้วยความดีใจ เหมียวอี้ก็พูดอย่างเก้อเขิน "ข้ายังไม่เคยเห็นวิชาเซียนของท่านมาก่อนเลย ให้ข้าดูหน่อยได้มั้ย ?"

เขากลัวอีกฝ่ายจะล้อเล่นจึง อยากจะแน่ใจสักหน่อย

บัณฑิตส่ายหัว "วิชาเซียนนั่นข้าไม่เคยพกติดตัวหรอก ท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ข้าปรนณนิบัติอยู่ที่ภูเขาเซียนโพ้นทะเล หลังจากท่านเซียนใหญ่ละสังขารขึ้นสวรรค์แล้ว ข้าก็ไม่สนใจวิชาเซียนที่เขาทิ้งไว้ให้ข้า เขาทิ้งไว้ในถ้ำเทพที่ท่านเซียนใช้ฝึกตน ยังไม่เคยนำออกมา ถ้าเจ้าอยากได้ ข้าจะพาเจ้าไปเอา "

เหมียวอี้งง ถามอย่างระแวงสงสัย "มหาเซียนท่านนั้นตายแล้วเหรอ? เซียนอายุยืนเป็นอมตะไม่ใช่เหรอ? "

บัณฑิตหัวเราะ "อายุยืนเป็นอมตะเหรอ? เป็นเพียงคำร่ำลือในหมู่มนุษย์เท่านั้นแหละ ใช่ว่าเซียนทุกท่านจะเป็นอมตะหรอกนะ ก็แค่ยิ่งฝึกตนได้สูงเท่าไร ก็ยิ่งมีชีวิตยืนยาวขึ้นเท่านั้นเอง"

"ที่แท้ก็เป็นแบบนี้…"

พวกเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปตามกระแสน้ำ คุยกันไม่หยุดตลอดทาง บัณฑิตยังคงสุขุมเยือกเย็นตลอด ในขณะที่คำถามของเหมียวอี้เยอะมาก

หลังจากที่คุยกัน เหมียวอี้พบว่าอีกฝ่ายเขาสมแล้วที่เคยอยู่ข้างกายท่านเซียนมาก่อน รู้เรื่องราวของเซียนไม่น้อยเลย ทำให้เหมียวอี้ตื่นเต้นอย่างมาก ที่พบว่าตัวเองโชคดีเหมือนบุญหล่นทับ และอาจจะเป็นเพราะชายหนุ่มคนนี้ไม่สนใจจะสำเร็จเป็นเซียนด้วย เขาถึงรับปากจะมอบวิชาเซียนให้ตน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่มีเรื่องดีๆ แบบนี้หรอก...

ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตกดิน ความตื่นเต้นดีใจของเหมียวอี้ผ่านไป และความเหนื่อยล้าก็เข้ามาแทนที่ สุดท้ายก็ฝืนหามไม่ไหวแล้ว

ตั้งแต่เข้าไปผจญภัยในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เขาก็ยังไม่ได้พักผ่อนแบบจริงจังเลย เมื่อคืนเดินทางข้ามป่าเขาทั้งคืน จนถึงพระอาทิตย์ตกวันนี้ ในที่สุดเขาก็ล้มตัวลงนอน

ลำไม้ไผ่ถูกเสียบไว้ที่หัวแพ แพไหลไปข้างหน้าเองตามกระแสน้ำ ไม่ต้องให้ใครคอยบังคับควบคุม

"วิชานี้ไม่ได้ถ่ายทอดได้ง่ายๆ หากเจ้าเป็นคนเลือดเย็นไร้น้ำใจ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับวิชาอันสุดยอดของข้า ข้ายอมรอไปอีกแสนปีดีกว่า! หากเจ้าโหดเหี้ยมไร้หัวใจ ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าวันหนึ่งเจ้าจะบุกฆ่าเก้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ตำหนิด่ากลุ่มดาว คืนความเป็นธรรมให้ข้า! " บัณฑิตที่กำลังเอามือไขว้หลังแหงนมองดวงดาวอยู่ ค่อยๆ หมุนตัวกลับมา มองเหมียวอี้ที่กำลังหลับสนิทอยู่ พูดอย่างใจเย็นว่า "ดีมาก! เจ้าไม่ใช่คนที่เห็นผลประโยชน์แล้วลืมศีลธรรม หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ! "

ความที่จริงแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เขาทำลายสมุนไพรเซียนไปหนึ่งต้นแล้วเหลือไว้ให้เหมียวอี้สองต้น ตั้งแต่นั้นมาเขาก็คอยสังเกตการณ์เหมียวอี้มาตลอด

ภาพเหตุการณ์ที่เหมียวอี้สละโอกาสทั้งสองครั้งนี้ แล้วมอบให้น้องชายน้องสาวแทนโดยไม่ลังเล ที่จริงบัณฑิตได้เห็นทุกอย่างแล้ว

ถ้าเหมียวอี้ไม่ได้ผ่านการทดสอบครั้งนี้ บัณฑิตก็คงไม่นั่งแพมาปรากฏตัวที่ฝั่งแม่น้ำเพื่อพบเหมียวอี้อีกครั้งหรอก ทั้งชีวิตนี้เหมียวอี้คงไม่ได้พบเขาอีก

"น่าเสียดายที่คุณสมบัติแย่เกินไป ไม่เหมาะจะฝึกฝน ยังต้องเปลี่ยนร่างกายและจิตวิญญาณใหม่!"

บัณฑิตพึมพำเบาๆ ยื่นมือหนึ่งออกมาแล้วแบออก ลูกประคำสีเขียวเข้มบนคอเหมียวอี้กระพริบแสงอ่อนๆ สมุนไพรเซียน 'ซิงหัว' ต้นหนึ่งที่สูงกว่าสิบนิ้วพุ่งออกมา หล่นอยู่บนฝ่ามือของบัณฑิต

ประกายดาวระยิบระยับลอยอยู่รอบๆ กิ่งใบหยกกิ่งสีทับทิมที่มีเก้าใบเก้ากิ่ง

ไม่เหมือนกับสองต้นที่เหมียวอี้เคยเก็บมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่แค่ลำต้นใหญ่กว่าหนึ่งเท่า ที่กิ่งทั้งเก้ายังก็มีผลที่เหมือนกับอัญมณีสีแดงอยู่ด้วย เป็นผลไม้สีแดงผลึกใสแวววาวเก้าลูกที่แฝงมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซ่อนอยู่

…………………………