บทที่ 13 หลบหนี
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน "ข้าเก็บได้แค่สองต้นเอง"
เยียนเป่ยหงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมาอย่างอดไม่ได้ ตอนนั้นแรกที่เขาแยกทางกับเหมียวอี้ตอนอยู่ข้างในนั้น เขายังนึกว่าเหมียวอี้จะมีแผนการสกปรก ใจแคบกับเขา จึงแยกทางไปอย่างเหยียดหยาม ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าตนไปตัดสินคนดีด้วยจิตใจที่ต่ำช้า ถ้าเปลี่ยนเป็นตนเกรงว่าจะทำแบบเหมียวอี้ไม่ได้ นำโอกาสที่เสี่ยงชีวิตแลกมาได้ให้น้องชายน้องสาวต่างสายเลือดไปหมด
เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาตบไหล่เหมียวอี้ "ไอ้น้องชาย ข้าไม่รู้จะพูดอะไรกับเจ้านอกจาก ขอโทษจริงๆนะ!"
เหมียวอี้สั่นหัว "พี่เยียนจะพูดแบบนั้นทำไมเล่า ข้าเพียงจะขอคำแนะนำจากท่านหน่อย ท่านมีวิธีหนีจากการจับกุมของพวกทหารมั้ย มีวิธีช่วยให้ข้าหลุดพ้นไปได้มั้ย?"
เยียนเป่ยหงหัวเราะแล้วดึงแขนเขา " เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ ไปหาให้อะไรกินให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน"
เหมียวอี้ดึงเขาไว้ทันที เตือนว่า "มีคนกำลังจับตาดูข้าอยู่"
"พวกกระจอกไม่กี่คน จะกลัวทำไม!" เยียนเป่ยหงดึงเขาออกมาไป "กินดื่มให้อิ่มเสียก่อน เติมกำลังวังชา ตอนมืดพี่จะไปส่งเจ้าเอง!"
ทั้งสองหาร้านบะหมี่ที่เปิดชั่วคราวตอนนั้น สั่งเนื้อวัวนิดหน่อยกับกับบะหมี่สองถ้วย กิ่นอิ่ื่มจนเรอออกมา
ตอนจะออกไปไปจากร้าน เยียนเป่ยหงก็ห่ออาหารกลับไปด้วย จากนั้นก็หาบ้านห้องว่างที่ไม่มีคน เขาปลดบานประตู มาปูบนพื้นแล้วเอนตัวลงนอนหลับ
ถ่วงเวลาไปจนถึงตอนกลางคืน เพื่อให้พ้นจากการถูกจับตามอง เยียนเป่ยหงพาเหมียวอี้ปีนอ้อมข้ามกำแพงไปอย่างรวดเร็ว ไม่เดินไปตามทางปกติ ไม่นานก็หลุดพ้นจากพวกที่คอยจับตาดูได้แล้ว
คลำทางไปจนถึงฐานกำแพงที่ค่อนข้างมืด เยียนเป่ยหงสังเกตการณ์กฏการลาดตระเวนบนกำแพงเมืองดู คนที่เคยเป็นผู้บัญชาการกองทัพมาก่อนแบบเขาย่อมมีประสบการณ์
พอมีแผนการณ์ในใจแล้ว ก็ฉวยโอกาสนำตะขอแบบเรียบง่ายที่เขาเตรียมไว้โยนข้ามกำแพงไป อีกมือหนึ่งจับเชือก ใช้เท้ายันผนัง พาเหมียวอี้ปีนขึ้นมาอยู่บนกำแพงสูง จากนั้นก็ไถลลงมาอีกด้านของกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเดินไปท่ามกลางความมืดมิด พอถึงกลางป่าที่อยู่นอกเมืองประมาณเจ็ดแปดลี้แล้วจึงหยุดลง
อาศัยแสงจันทร์บนฟ้า เยียนเป่ยหงนำห่ออาหารที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ยัดใส่อ้อมแขนเหมียวอี้
"พี่เยียน นี่คือ...?" เหมียวอี้กอดห่อย่ามไว้ด้วยความสับสน
"ไอ้น้องชาย อยากจะหนีไปน่ะมันง่าย แต่ต่อไปถ้าเจ้าอยากจะกลับมาบ้านคงยากแล้วล่ะ อย่างไรซะตอนนี้เจ้าก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว บ้านหลังนั้นถ้าไม่กลับมาก็คงไม่เป็นไรหรอก ถ้าเจ้ากลับมาต้องตกอยู่ในน้ำมือของเจ้าหวงเป๋าจ่างผู้ใหญ่บ้านนั่นแน่ จากบ้านเกิดตัวเองไปเป็นเรื่องยาก ก่อนหน้านี้เมื่อก่อนข้าไม่พูดคำพวกนี้เพราะ กลัวว่าพูดออกมาแล้วเจ้าจะทุกข์ใจ ของกินพวกนี้ให้เจ้าพกไปกินระหว่างทาง ไปเถอะ ยิ่งไปไกลเท่าไรก็ยิ่งดี "
เยียนเป่ยหงหันกลับมาแล้วยื่นมือชี้ไปยังทิศทางตรงกันข้ามตามแนวภูเขา "ตะขอบนกำแพงเมืองสุดท้ายมันจะทิ้งเบาะแสเอาไว้ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด เจ้าควรเดินไปอีกทางหนึ่ง ที่ข้าทำให้ได้ก็มีเพียงเท่านี้แหละ จะดีหรือจะร้ายข้าก็กำหนดไม่ได้ สุดแล้วแต่โชคชะตาของเจ้าเอง"
"ขอบคุณมากพี่เยียน แต่ข้ามีอีกเรื่องที่อยากจะขอร้อง!"
"ว่ามาเถอะ ถ้าข้าช่วยได้ก็จะช่วย"
"น้องสาวข้าอยู่ในสำนักเซียนที่ท่านอยากจะเข้าไปวันนี้ นางชื่อลู่เสวี่ยซิน นางยังอายุน้อย ถ้าในวันข้างหน้าพี่ได้ดูแลช่วยเหลือนาง หวังว่าพี่เยียนจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้ข้าได้ "
"ลู่เสวี่ยซิน…" เยียนเป่ยหงพึมพำอยู่ไม่กี่ครั้ง พยักหน้าอย่างหนักแน่น " ข้าจะจำไว้ วันนี้ได้พบกันอีกครั้ง ข้าหวังว่าวันหลังจะมีโอกาสได้พบกันอีก ข้าจะไม่ทำกระบิดกระบวนเหมือนเด็กผู้หญิงหรอกนะ ข้าก็มีธุระของข้าที่ต้องรีบทำ ข้ากลับก่อนละ เจ้าดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน"
เขาไม่ใจเสาะยืดยาด สิ่งที่ควรพูดก็พูดแล้ว สิ่งที่ควรทำก็ทำแล้ว ตบไหล่เหมียวอี้ แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างไม่ลังเล
มองร่างเยียนเป่ยหงที่ค่อยๆ หายไปในความมืด เหมียวอี้แหงนหน้ามองไปยังเมืองกู่เฉิง สีหน้าซับซ้อนยากที่จะเข้าใจ
ตอนแรกที่เข้าไปเสี่ยงอันตรายในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เขาได้เตรียมตัวกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากโชคดีกลับมาได้แล้วกลับกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดาย จากนี้ต่อไปจำต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนหลบหนีไปเพียงลำพัง
เขาหมุนตัวไปยังทิศทางของบ้านตัวเอง เหมียวอี้คุกเข่าสะอึกสะอื้นลงตรงนั้น "พ่อลู่แม่ลู่ พ่อจางแม่จาง น้องรองสองกับน้องสามสำเร็จเป็นเซียนแล้วนะ ต่อไปก็ไม่ต้องมาลำบากกับข้าแล้ว วิญญาณของพวกท่านที่อยู่บนสวรรค์ก็ช่วยคุ้มครองพวกเขาด้วยนะ"
พูดจบก็ก้มตัวศีรษะแนบพื้นหัวลงบนพื้น แสดงความเคารพ
ลูกประคำสีเขียวเข้มที่ห้อยอยู่บนคอเขากระพริบแสงอ่อนๆ 'บัณฑิต' ที่ดีดฉินอยู่ในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งผู้นั้น ได้ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ ยังคงงดงามน่าทึ่งเหมือนเดิม เขามองดูเหมียวอี้ที่กำลังก้มหัวลงพื้นอยู่อย่างเงียบๆ
พอเหมียวอี้โขกก้มหัวแสดงความเคารพเสร็จแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตา ลุกขึ้นมาพลาง ชักมีดฆ่าหมูจากเอวมาถือไว้ในมือ เล็งหาทิศทาง จากนั้นแล้วไปตามทิศทางที่เยียนเป่ยหงแนะนำไว้อย่างรวดเร็ว
‘บัณฑิต' เงยหน้ามองพระจันทร์ ก่อนจะหายไปอย่างเงียบๆ ภายใต้แสงจันทร์...
เหมียวอี้เดินทางผ่านเทือกเขาสูงชันตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าสว่าง แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งมาไกลแค่ไหนแล้ว หลังจากที่วิ่งเข้าหาดวงอาทิตย์เพื่อออกมาจากภูเขา ก็เจอแม่น้ำใหญ่สกัดทางไว้ พอเห็นแม่น้ำ เขาก็พอจะเดาออกว่าตัวเองวิ่งมาไกลแค่ไหนแล้ว
ตัวเขาเองเหนื่อยจนเหลือทน คุกเข่าข้างแม่น้ำแล้ววักน้ำล้างหน้าเพื่อทำให้รู้สึกสดชื่น ไม่นานก็นั่งลงบนก้อนหินใหญ่บนริมหาดทรายของแม่น้ำ หยิบเสบียงที่เยียนเป่ยหงเตรียมไว้ให้ออกมา กัดไปไม่กี่คำ ก็หยิบถุงกาน้ำที่ทำจากหนังแกะออกมาจากเอว เปิดฝาแล้วกระเดือกลงไปสองสามอึก
ขณะกำลังกินอาหารอยู่ ก็คิดหาวิธีไปด้วยว่าจะข้ามน้ำยังไง แล้ววันข้างหน้าจะไปที่ไหนต่อ ทว่าเขากลับเห็นเรือแจวลำหนึ่งลอยมาตามกระแสน้ำ แต่เรียกว่าเป็นแพไม้ไผ่จะเหมาะกว่า
บนแพไม้ไผ่มีชายหนุ่มชุดขาวที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนไม่ฉูดฉาดคนหนึ่ง ใช้ลำไม้ไผ่ถ่อแพลอยมา
น้ำในแม่น้ำเป็นระลอกคลื่น แพไม้ไผ่ที่เพิ่งสร้างใหม่สีเขียวมันวาว 'บัณฑิต' ที่ยืนอยู่บนแพหันหน้ารับลมยามเช้าและแสงแดดรุ่งอรุณ แขนเสื้อปลิวไสว เป็นภาพที่งดงามเจริญหูเจริญตาเหนือความธรรมดามาก
"..." เหมียวอี้ที่กำลังกัดเคี้ยวอาหารอยู่อ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจตกใจ ทำไมเป็นเขาล่ะ? นี่มันชายหนุ่มรักสะอาดคนนั้นใน 'แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง' ไม่ใช่เหรอ?
"เหล่าไป๋ เหล่าไป๋!" เหมียวอี้กระโดดขึ้นมาโบกมือตะโกน "ทางนี้ๆ ทางนี้ ยังจำข้าได้มั้ย?"
บัณฑิตมองไปตามเสียงแล้วยิ้มบางเบาๆ ใช้ลำไม้ไพ่ยันแพเข้าฝั่ง พอแพหยุดนิ่ง มองเห็นสภาพจนตรอกของเหมียวอี้แล้วก็ยิ้มกล่าว " เป็นเจ้านี่เอง น้องชาย เราเจอกันอีกแล้วนะ ในป่าเขากันดารแบบนี้ ไม่ทราบว่าน้องชายต้องการจะไปไหน? "
เหมียวอี้ถาม "ท่านจะไปไหน?"
บัณฑิตมองกระแสน้ำที่ไหลไปแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน "แพน้อยลอยมาตามกระแสน้ำ ข้ามาตากลมชมทิวทัศน์ ไม่มีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษหรอก ไปถึงไหนก็ไปถึงนั่นแหละ พอใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า "
ความคิดนี้ อากัปกิริยานี้ ช่างเป็นคนรู้จักพอจริงๆ เหมียวอี้รู้สึกไม่ว่าเมื่อไรที่เจอเขา ท่าทางของเขาดูสุขุมเยือกเย็นตลอด แม้แต่ในที่อันตรายแบบนั้นก็ยังไม่มีท่าทีรีบร้อนลนลานฉุกละหุกเลย บนตัวสะอาดสะอ้านเรียบง่ายตลอด
เหมียวอี้ถูฝ่ามืออย่างกระดากอายเล็กน้อย "ดูเหมือนพวกเราจะไปทางเดียวกันนะ ไม่ทราบว่า..."
ความหมายที่พูดก็ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าจะขอขึ้นแพไปของท่านได้หรือไม่
บัณฑิตพยักหน้าด้วยความเข้าใจ "ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการมีเพื่อนร่วมทางแล้ว หากไม่รังเกียจแพไม้ไผ่กระจอกงอกง่อยของข้า ก็ขึ้นไปด้วยกันจะดีกว่า"
"ไม่กระจอก ไม่งอกง่อย เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นเรือไม้ไผ่สวยขนาดนี้ " เหมียวอี้กระโดดขึ้นเรืออย่างเบิกบานใจ
เขาไม่ได้พูดยกยอประจบ แพนี้ทำออกมาประณีตมากจริงๆ ตรงกลางยังมีหลังคาไม้ไผ่โค้งสำหรับกันแดดกันฝนด้วย
ลำไผ่ในมือบัณฑิตยันแพออกจากฝั่ง แพไม้ไผ่บรรทุกทั้งสองไปยังกลางแม่น้ำ ไหลตามกระแสน้ำอีกครั้ง
…………………………