ตอนที่ 5 ลูบหัวสาว
หลังจากนั้นก็กินข้าวกันอย่างสงบสุข
“ไปเถอะ” หลังกินเสร็จฟู่อวิ๋นเซินก็ลุกขึ้น สีหน้าเอื่อยเฉื่อย “เด็กน้อย ฉันจะเป็นคนดีให้ถึงที่สุด ส่งเธอกลับบ้าน”
ขณะที่เนี่ยเฉากำลังอยากถามว่าแล้วเขาทำไง กลับถูกตอกกลับด้วยสายตา “...”
ก็ได้ เขากลับเอง
อืม…เพื่อนมันหมดความหมายเวลาอยู่ต่อหน้าสาว
เนี่ยเฉาเดินตามหลังอย่างเศร้าๆ
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดอยู่สักพัก “ไม่รบกวนแล้วดีกว่า ไปๆ มาๆ กลายเป็นฉันติดค้างเข้าแล้ว”
ฟู่อวิ๋นเซินคนคนนี้ นอกจากข้อมูลภายนอกอย่าง อายุ ชื่อ เรื่องสำคัญอื่นๆ เธอกลับทำนายออกมาไม่ได้ อาจเป็นเพราะความสามารถของเธอยังไม่ฟื้นคืน ก็มีความเป็นไปได้...
พยายามอยู่ให้ห่างๆ ไว้จะดีกว่า
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินหยิบกุญแจรถ พอได้ยินคำพูดนี้ก็หัวเราะ “เธอติดค้างอะไร เธอช่วยเตือนเนี่ยเฉา พวกเราก็แลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรมไม่ใช่เหรอ”
เขานิ่งไปเล็กน้อย ยกมุมปาก “เอาแบบนี้ ถ้าเธอรู้สึกว่าติดค้างฉันจริงๆ ไม่สู้ซุบซิบ[footnoteRef:1]เมืองฮู่เฉิงให้ฉันฟังมั้ง” [1: ซุบซิบ เป็นคำเดียวกับคำว่ายันต์แปดทิศ]
อิ๋งจื่อจินมองเขา ขมวดคิ้ว “ซุบซิบเหรอ”
เธอรู้ความหมายของคำว่าซุบซิบ มันหมายถึงเรื่องสนุก ข่าวลือ คนละเรื่องกับยันต์แปดทิศ
เห็นทียังมีเรื่องใหม่ๆ ของศตวรรษยี่สิบเอ็ดที่เธอยังต้องเรียนรู้อีกมาก
“นี่เพิ่งกลับมาไม่ใช่เหรอ” มือของฟู่อวิ๋นเซินวางที่ประตูรถ “เป็นไง ช่วยคลายความอยากรู้อยากเห็นของฉันหน่อยเป็นไง”
เขายกมือทำท่าเชิญ
แววตาของอิ๋งจื่อจินชะงัก
ตอนที่มาโลกมนุษย์ครั้งแรก เธออยู่ที่ยุโรปสามร้อยปี ระหว่างนั้นท่องยุโรปด้วยสถานะที่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้ถึงรู้ขนมธรรมเนียมมารยาทต่างๆ ของทุกราชวงศ์ในยุโรป
การผายมือแบบนี้มีต้นกำเนิดมาจากราชวงศ์ประเทศวาย แต่ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่สิบหกได้ถูกเลิกใช้
“ถ้าเธอยังไม่ขึ้นรถ อีกเดี๋ยวอาเขยของเธอก็จะออกมาแล้วนะ” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมอง “เธอก็เห็นว่าฉันไม่มีอำนาจ เกิดเขาจับพวกเราสองคนไปด้วยกันจะทำไง”
คำพูดนี้ทำให้เด็กสาวตัดสินใจเลือกได้ เข้าไปนั่งตรงตำแหน่งข้างคนขับ
ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว “เจียงมั่วหย่วนมีอิทธิพลขนาดนั้นเลยเหรอ”
อิ๋งจื่อจินตอบ “ก็แค่น่ารำคาญ”
ฟู่อวิ๋นเซินอึ้งไปเล็กน้อยนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะเบาๆ
แสงไฟสาดส่องผ่านผมดำสลวยของชายหนุ่มวูบไหวไปมา ฉาบดวงตาของเขาให้เป็นสีทองอ่อน
ริมฝีปากสีแดงกับผิวพรรณที่ขาวโดยกำเนิดตัดกันอย่างเห็นได้ชัด มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างไม่เสื่อมคลาย
เขาปิดหน้าต่างรถ “ได้ยินว่าเจียงมั่วหย่วนเป็นคนพาเธอจากอำเภอชิงสุ่ยมาที่ฮู่เฉิงอย่างนั้นเหรอ”
“อืม” อิ๋งจื่อจินนึกย้อน “บอกว่าจะส่งฉันเรียนที่ชิงจื้อ”
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อเป็นโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งของฮู่เฉิง นักเรียนคนใดก็ตามที่มาจากห้องอัจฉริยะล้วนสามารถเข้ามหาวิทยาลัยตี้ตูได้ อีกทั้งเข้ามหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าได้กว่าเก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์ พวกผู้ปกครองถึงได้พยายามส่งลูกตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้น
อิ๋งจื่อจินมองไปนอกหน้าต่างหรี่ตาลง “ระหว่างทางฉันเกิดอุบัติเหตุ ต้องเข้าโรงพยาบาล”
อุบัติเหตุครั้งนั้นไม่ได้รุนแรงถึงชีวิต แต่ทำให้ตระกูลอิ๋งรู้การมีตัวตนของเธอ เพราะกรุ๊ปเลือดของเธอเป็นที่หาได้ยากมากเหมือนกับอิ๋งลู่เวยทุกอย่าง
เลือดประเภทนี้ถูกเรียกว่าเลือดสีทอง เป็นเลือดวิเศษอย่างแท้จริง สามารถให้เลือดได้ทุกกรุ๊ป แต่เมื่อตัวเองขาดเลือด กลับต้องใช้เลือดเหมือนกันเท่านั้น
คนที่มีกรุ๊ปเลือดสีทองบนโลกนี้มีอยู่ไม่เกินร้อยคน ต่อให้เป็นตระกูลอิ๋งก็ไม่สามารถหาแหล่งเลือดที่เพียงพอให้อิ๋งลู่เวยได้ทันเวลาตอนบาดเจ็บ
เธอเป็นคนที่เหมาะสมพอดี
นิ้วของฟู่อวิ๋นเซินชะงักเล็กน้อย “เพราะเรื่องนี้เธอถึงได้ถูกตระกูลอิ๋งรับเลี้ยงเหรอ”
อิ๋งจื่อจินเอามือเท้าศีรษะ ตอบอย่างไม่ใส่ใจเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง “คลังเลือดมีชีวิตมาถึงที่ ทำไมจะไม่เอาล่ะ”
กรุ๊ปเลือดสีทองยังมีจุดที่พิเศษ แต่ละคนสามารถถูกสูบออกไปได้ครั้งเดียว หลังสูบเสร็จร่างกายก็จะสร้างภูมิต่อต้าน
หากฝืนสูบอีกเป็นครั้งที่สองก็จะตาย แต่เธอไม่ ด้วยเหตุนี้ตระกูลอิ๋งถึงรับเลี้ยงเธอมาตลอด
ฟู่อวิ๋นเซินหันหน้ามาจ้องอยู่สองวินาที ทันใดนั้นก็เอามือลูบหัวเธอเบาๆ
เหมือนลูกแมว
อิ๋งจื่อจินค่อยๆ หันหน้าไปมองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แววตาปรากฏความอาฆาต “ทำอะไรน่ะ”
“ทำให้เธออย่าคิดมาก” ฟู่อวิ๋นเซินมองไปข้างหน้า “คาดเข็มขัดสิ จะออกรถแล้ว”
...
สามสิบนาทีต่อมารถก็ไปหยุดในพื้นที่คฤหาสน์ตรงไหล่เขา
“รีบพักผ่อนล่ะ” ฟู่อวิ๋นเซินมองตามเด็กสาวลงจากรถ “กินน้ำพุทราลำไยบ่อยๆ”
ขนตาของอิ๋งจื่อจินขยับเล็กน้อย “รู้แล้ว ขอบคุณ”
“ได้ยินเธอพูดขอบคุณมากขนาดนี้ในหนึ่งวัน หูจะตื้อหมดแล้ว” แขนเรียวยาวของชายหนุ่มพาดอยู่ตรงขอบหน้าต่างรถ ยิ้มเล็กน้อย “ถ้าอยากขอบคุณฉันจริงๆ ไว้ทำนายดวงให้ฉันสิ”
อิ๋งจื่อจินเอามือนวดศีรษะแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน พูดอย่างจนปัญญา “ได้”
ฟู่อวิ๋นเซินได้ฟัง ไม่รู้นึกถึงอะไรขึ้นมา เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก
เขาไม่ได้ออกไปทันที พูดเสริมอย่างเนือยๆ
“เอาล่ะ รีบไปพักผ่อนเถอะฟ้ามืดมากแล้ว ฉันจะมองส่งเธอ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “คุณก็เหมือนกัน” ร่ำลาเสร็จเธอก็หันตัวเดินเข้าไปในหมู่คฤหาสน์ ยังไม่ทันเดินถึงหน้าคฤหาสน์ประตูก็ถูกเปิดออก คนที่ออกมาคือพ่อบ้าน
สายตาเข้มงวด เจือไปด้วยการสำรวจ “ในที่สุดคุณหนูรองก็กลับมาได้แล้ว”
เด็กสาวยืนอยู่ที่ขั้นบันได ขนตางอนยาวมีเกล็ดหิมะเกาะอยู่ บนศีรษะก็เต็มไปด้วยหิมะ
ข้อมือของเธอเล็กและซีด เส้นเลือดชัดเจน ร่างกายผอมบางราวกับแค่ลมพัดก็ล้มลงได้
พ่อบ้านขมวดคิ้วใส่เธอ แต่ก็ไม่ลืมคำสั่งของคนในบ้าน
เขาพูดขึ้น “คุณนายบอกว่า ในเมื่อคุณหนูรองมีจิตใจที่ต่อต้านรุนแรงขนาดนี้ อีกทั้งยังหนีออกจากโรงพยาบาลตามใจชอบ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณหนูรองก็ไม่ต้องกลับบ้านแล้วครับ”
“คุณหนูรองสำนึกผิดได้เมื่อไรถึงจะเข้าบ้านได้ครับ”
“เชิญครับคุณหนูรอง” ความหมายประชดประชันเต็มที่ สีหน้าของพ่อบ้านไม่มีความใจดีแม้แต่น้อย แถมยังเจือไปด้วยความรำคาญ คุณหนูรองคนนี้รู้จักแต่สร้างความวุ่นวายได้ทั้งวัน ควรได้รับความลำบากเสียบ้าง เขาก็อยากจะดูว่า หิมะตกหนักขนาดนี้ เธอจะทนได้สักกี่น้ำ
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า ในที่สุดก็พูดขึ้น “หลบไป”
ท่าทีตอบสนองแบบนี้อยู่เหนือความคาดหมายของพ่อบ้าน เขาอดอึ้งไปไม่ได้
เขารู้ว่าคุณหนูรองมีนิสัยยังไง อ่อนแอปวกเปียก ไม่กล้าตอบโต้แม้แต่น้อย ทำไมวันนี้ถึงกล้าเถียงได้ล่ะ
พ่อบ้านคาดไม่ถึง “คุณหนูรอง อย่าเอาแต่ใจอีกเลยครับ คุณไปอ้อนคุณนายพูดจาเพราะๆ สำนึกผิด ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอครับ”