ตอนที่ 4 เอาอะไรไปสู้อิ๋งลู่เวย
พอได้ฟังคำอธิบาย บรรดาลูกค้าถึงกระจ่าง พวกเขาต่างเข้าใจ รีบพูดขึ้น “ไม่เป็นไรๆ เชิญท่านเจียงตามสบาย”
ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงมั่วหย่วนอยู่ด้วย แม้แต่ที่นั่งในร้านฮั่นเก๋อพวกเขาก็จองไม่ได้
หลังจากเลขาแสดงความขอโทษอีกครั้งก็ตามเจียงมั่วหย่วนไป
ร้านฮั่นเก๋อในเวลานี้ไม่มีลูกค้าคนอื่นแล้ว เหล่าบริกรต่างคอยบริการอยู่ข้างๆ
ผู้จัดการย่อมเห็นเหตุการณ์นี้ เขาขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะเข้าไปห้าม ทันใดนั้นก็มีสีหน้าตกใจ พยักหน้าเงียบๆ แล้วถอยกลับไป
ฟู่อวิ๋นเซินละสายตากลับมาถาม “กินอีกหน่อยไหม”
เด็กสาวปฏิเสธอย่างไร้อารมณ์ “ไม่กิน”
“อย่าดื้อสิ ไม่กินมันจะไม่ดีต่อร่างกายนะ”
“ไม่กิน”
เนี่ยเฉา “...”
วันนี้คุณชายเจ็ดอาการหนักจริงๆ
ยังจะบังคับกึ่งล่อหลอกให้เธอกินตับหมูอีกเหรอ
พอเห็นเด็กสาวยืนกรานปฏิเสธ ฟู่อวิ๋นเซินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลากเสียงยาวขึ้น “ไม่กินจริงเหรอ”
อิ๋งจื่อจินดันจานไปไกลๆ “ไม่ชอบกินเครื่องใน”
ตับหมูพวกนี้ค่อนข้างพิเศษจริงๆ หลังจากที่เธอกินหมดหนึ่งจานสิบสองชิ้นก็รู้สึกว่าร่างกายผลิตเลือดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นที่ได้ผลดีกว่าเธอฟื้นฟูตัวเองเสียอีก
แต่เธอทำใจยอมรับพวกเครื่องในไม่ได้จริงๆ นี่ถึงขีดจำกัดของเธอแล้ว
“งั้นก็ห่อกลับแล้วกัน” ฟู่อวิ๋นเซินเคาะโต๊ะ ริมฝีปากผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แช่ตู้เย็นไว้ พรุ่งนี้เช้าเอามาอุ่นกิน”
“พรวด” เนี่ยเฉาพ่นน้ำ “คุณชายเจ็ดไม่กลัวถูกลูกพี่อัดเหรอ”
“หืม?” พอได้ยินคำพูดนี้ฟู่อวิ๋นเซินก็เงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เด็กน้อย ฉันใจดีกับเธอขนาดนี้ เธออัดฉันลงเหรอ”
อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเขา ดวงตาราวกับเต็มไปด้วยสายฝนโปรยปราย เธอค่อยๆ พูดขึ้น “ใช่ ทำไม่ลง”
ฟู่อวิ๋นเซินหรี่ตา “หืม?”
เนี่ยเฉาตกใจ
เขาดูผิดไปเหรอ เดิมทีคิดว่าเด็กสาวคนนี้จะเก็บอารมณ์เก่ง ใครจะรู้ว่ายังกล้าโต้กลับคุณชายเจ็ดด้วย สุดยอดเลย
และทันใดนั้นเองม่านก็ได้ถูกแหวกออก แรงเหวี่ยงที่มากเกินไปทำให้กระดิ่งที่แขวนไว้ถูกกระชากจนตกพื้นดังกรุ๊งกริ๊ง
“ใครน่ะ มารบกวนท่านเนี่ยได้...” เนี่ยเฉาหันไป วินาทีที่เห็นผู้ชายในชุดสูทสีดำ คำพูดที่เหลือก็ค้างไปทันที ไอออกมาอย่างแรง
โวะ เจียงมั่วหย่วนเหรอ
นี่มันเวรกรรมอะไรเนี่ย
เขาหันไปมองอิ๋งจื่อจินทันที แต่กลับเห็นเธอยกชามน้ำพุทราลำไยขึ้นมากินราวกับไม่เห็นคนที่เข้ามา
เธอทำตัวสบายๆ เอาแขนวางไว้บนโต๊ะ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่มีมาดของคุณหนูผู้ดี แต่กลับมีความงามชั้นสูงที่ทำให้คนไม่อาจมองข้ามได้ คล้ายเจ้าหญิงยุโรปยุคกลางที่เดินออกมาจากภาพสีน้ำมัน
เจียงมั่วหย่วนก้มมองเด็กสาวด้วยท่าทางเชิดหยิ่ง น้ำเสียงเคร่งขรึม “เธอหนีออกมาจากโรงพยาบาล ออกมาก็เพื่อคลุกคลีกับคนพวกนี้ที่นี่เหรอ”
คำพูดเดียวก็ทำให้เนี่ยเฉาโมโหแล้ว แต่เขาอดทนไว้
เขาน่ะไม่เป็นไร แต่เขาจะทำให้น้องคนนี้เดือดร้อนไม่ได้
“อิ๋งจื่อจิน ฉันไม่มีเวลามานั่งสั่งสอนเธอนะ” เจียงมั่วหย่วนดูนาฬิกาข้อมือ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาสุดขีด “เธอเองก็ไม่ได้มีค่ามากพอให้ฉันเสียเวลาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นฉันไม่มีทางสนว่าเธอจะทำลายตัวเองหรือเปล่า ฉันแค่อยากบอกเธอว่า...”
เขาหยุดเล็กน้อย ดวงตาฉายแววเข้มงวดแบบที่เวลาเจรจาธุรกิจเท่านั้นถึงจะมี “อย่าทำให้ลู่เวยเป็นห่วง สุขภาพของลู่เวยไม่ดี เธอกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ไปอธิบายกับลู่เวย”
เลขาพูดเสริมอย่างอ้อมๆ “หวังว่าคุณหนูรองจะเข้าใจ อย่าตื๊อท่านสาม ท่านสามยุ่งมาก ท่านสามไม่มีเวลาเล่นกับคุณหนูนะคะ”
คุณหนูรองคนนี้คิดว่าตัวเองแซ่อิ๋งก็คิดจะทำตัวเทียบชั้นคุณหนูลู่เวยได้งั้นเหรอ
ก็แค่ลูกเลี้ยง เอาอะไรไปสู้คุณหนูไฮโซอันดับหนึ่งของฮู่เฉิง
ทันใดนั้นเด็กสาวก็เงยหน้าขึ้น
ใบหน้างดงามจนน่าตะลึง
ความคลุมเครือในดวงตาหงส์หายไปฉับพลัน เมื่อเมฆหมอกจางหายก็กลายเป็นความเย็นชา เจือไปด้วยประกายอ่อนๆ อันงดงาม
“น่าสนใจดีนะคะ ฉันหนีมาถึงนี่แล้ว คุณอาเจียงยังจะตามมาสั่งสอนฉัน” อิ๋งจื่อจินเท้าศอก สีหน้าเรียบเฉย “ตกลงใครตื๊อใครกันแน่”
น้ำเสียงนี้ไม่หวาดกลัวนอบน้อมเหมือนแต่ก่อน กลับเย็นชาจนเสียดแทงหัวใจ
เจียงมั่วหย่วนสีหน้าเปลี่ยน
เลขาเองก็ตกใจ แทบไม่อยากเชื่อ
ปกติคุณหนูรองคนนี้ไม่มีทางพูดกับท่านสามแบบนี้
ทันใดนั้นฟู่อวิ๋นเซินก็หัวเราะออกมา
เขาเงยหน้าเล็กน้อย กวาดตามองคนที่ยืนอยู่ ดวงตาดอกท้อโค้งมน ล้ำลึกมีมนต์สะกด พูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง “ก็งั้นๆ แหละ ไม่สู้คุณหนูลองมองฉันดีกว่า”
น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย แต่จุดประสงค์ต้องการปกป้องชัดเจน
เจียงมั่วหย่วนขมวดคิ้ว
ฟู่อวิ๋นเซินเป็นคุณชายเสเพลไม่ผิดแน่ ทว่าเขากลับเป็นคนโปรดของผู้เฒ่าฟู่
ตระกูลเจียงยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อเทียบกับตระกูลฟู่ก็ยังห่างชั้นอยู่บ้างนิดหน่อย
“เจียงมั่วหย่วน ฉันไม่สนหรอกนะว่าวันนี้นายเป็นบ้าอะไรขึ้นมา” นิ้วเรียวของฟู่อวิ๋นเซินเคาะโต๊ะเบาๆ ยิ้มมุมปาก “ฉันกินข้าวอยู่ อย่ามาทำให้หมดอารมณ์”
มีบริกรเข้ามาทันที “คุณเจียง สวัสดีครับ โต๊ะที่คุณจองไว้อยู่ทางนี้ครับ ขอความกรุณาอย่ารบกวนแขกท่านอื่น ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกขึ้นบัญชีดำของร้านฮั่นเก๋อ ห้ามเข้ามาอีกต่อไปครับ”
การเย้ยหยันแบบไร้เสียงเป็นการกระทำที่รุนแรงที่สุด
เจียงมั่วหย่วนเม้มริมฝีปากแน่น กรามก็ขบแน่นตามไปด้วย สีหน้าแย่มากทีเดียว
ร้านฮั่นเก๋อไม่ไว้หน้าแม้แต่ตระกูลใหญ่ในเมืองตี้ตู แล้วนับประสาอะไรกับตระกูลเจียง
นี่เป็นครั้งแรก เขาไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป
เลขารีบสับเท้ารัวๆ ตามไปติดๆ
บรรยากาศรอบตัวกลับสู่ความเงียบสงบ เสียงน้ำไหลริน ปะปนกับเสียงเครื่องดนตรีโบราณประเภทสาย ไพเราะเสนาะหู
เนี่ยเฉารู้สึกเหมือนตัวเองได้ดูละครฉากใหญ่ หันไปหันมาด้วยความตื่นเต้น
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองเขา “ปีศาจงูสิงร่างเหรอ”
“ผุยๆๆ” เนี่ยเฉารีบวางมาดให้สุภาพทันที “ก็ฉันสะใจไงล่ะ นายกับลูกพี่เข้าขากันดีมากเลยนะ”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่สนใจอีก เขาพูดอย่างเนือยๆ “ถนนคนเดิน ดิสนีย์แลนด์ โอเชียนอควาเรียม เหมาะสมทุกที่”
อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้ว
“พอเหอะคุณชายเจ็ด ที่นายแนะนำเชยๆ ทั้งนั้น” เนี่ยเฉาหมดคำจะพูด “คุณหนูอิ๋ง ผมจะบอกให้ที่หนึ่ง รับรองว่ามีไม่กี่คนที่เคยได้ยิน”
เขาทำท่ามีลับลมคมใน “คุณรู้จักทางไปหอออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ไหม”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “รู้จัก”
“ที่นั่นมีตลาดนัดใต้ดิน สนุกมากเลยนะ มีส่องอัญมณี มีทำนายดวง ทั้งยังมีของโบราณแปลกๆ หายากด้วย” เนี่ยเฉาพูดด้วยความตื่นเต้น “คราวก่อนมีคนจ่ายเงินไม่กี่สิบหยวนซื้อแจกันลายครามน้ำเต้าคู่ไปหนึ่งอันได้กำไรมหาศาลเลยนะ”
“ทำนายดวงเหรอ” อิ๋งจื่อจินเงี่ยหูฟัง “ทำนายยังไง”
“อ๋า ก็แค่ใช้ไพ่ทาโรต์ เอาเป็นว่าผมไม่เชื่อหรอก” เนี่ยเฉาส่ายมือ “ถ้าลูกพี่อยากไปเที่ยวนะ เดี๋ยวผมพา...”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกขัดจังหวะ
“เนี่ยเฉา” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้มเล็กน้อย ฟังจากน้ำเสียงไม่ออกว่าอารมณ์ไหน “พูดเพ้อเจ้ออะไรน่ะ”
“ใช่ๆๆ เพ้อเจ้อ!” เนี่ยเฉาฉุกคิดขึ้นมาได้ “ผมพูดเพ้อเจ้อทั้งนั้น ลูกพี่ห้ามไปเด็ดขาดนะ”
ถูกต้อง ตลาดนัดใต้ดินวุ่นวายมาก หลังเที่ยงคืนถึงจะเปิด คุณชายอย่างพวกเขาไปไม่มีปัญหา แต่บรรดาคุณหนูห้ามไป
เกิดลือออกไปชื่อเสียงของน้องคนนี้จะยิ่งไม่ดี เขาได้กลายเป็นคนบาปแน่
อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง ไม่ถามอีก
ไพ่ทาโรต์ เธอลืมไปเลยว่าเธอเคยเล่นมัน
เพียงแต่โลกยุคนี้ยังมีไพ่ทาโรต์ที่แท้จริงอยู่อีกเหรอ