webnovel

ข้ากลายเป็นสาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม

องค์หญิงอวี้หลัน องค์หญิงน้อยผู้แสนอาภัพ แห่งแคว้นโหย่ว ในวัยเพียงแปดชันษา พระองค์ต้องเผชิญชะตากรรมที่แสนเศร้าและเจ็บปวด ทั้งการกลั่นแกล้ง ใส่ความให้ร้ายของเหล่าคนรอบกาย เพื่อหวังจะยึดครองตำแหน่งองค์หญิงสุดที่รักจากท่านอ๋องใหญ่บิดาของนาง ซึ่งเป็นถึงองค์ รัชทายาทของแคว้นโหยว ความโชคร้ายไม่จบสิ้น มีคนร้ายได้ลอบวางยาพิษลงในสระน้ำส่วนตัวขององค์หญิงน้อย ทำให้นางต้องจบชีวิตลงในชั่วพริบตาที่สูดดมกลิ่นหอมพิษ ซึ่งโชยขึ้นมากับไอน้ำ ก่อนที่จะสิ้นใจตายพระนางได้อธิษฐานว่า ถ้าหากได้เกิดใหม่ ตนก็ปรารถนาเกิดเป็นคนธรรมดา แม้จะไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ไม่มีชีวิตที่สบาย ไม่ร่ำรวยเงินทองอย่างที่เคยเป็น ก็ยินดีเช่นนั้น และแล้ว องค์หญิงน้อยก็ได้สิ้นพระทัยลงต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ตลอดช่วงชีวิตที่มีมา องค์หญิงน้อยพบว่าไม่เคยมีใครสักคนที่รักนางจริงแม้แต่คนเดียว แต่พระนางคิดผิด... สิบปีผ่านไป องค์หญิงผู้แสนอาภัพ ได้มีชีวิตใหม่ในนาม ฟ่งหลันหลั่น หญิงสาวชาวยุทธ์ทั่วไป แม้ฝีมือด้านวิทยายุทธ์จะไม่เก่งกาจมากนัก แต่นางนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและคุณธรรมหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ด้วยนิสัยรักความยุติธรรมมากเกินไป นางจึงมักเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่หลายครั้ง จนมีครั้งหนึ่ง ฟ่งหลันหลั่นได้เกิดพลาดพลั้งเสียทีให้กับศัตรูที่ตามมาแก้แค้น หนึ่งในคนพวกนั้นได้ใช้อาวุธลับ ซัดใส่นางเองจนนางถูกพิษชนิดหนึ่งเข้า และทำให้สูญเสียวรยุทธ์ไปชั่วคราว พอรู้สึกตัวอีกที ฟ่งหลันหลั่นก็ได้กลายมาเป็นสาวใช้คนใหม่ของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหย่ว แม่ทัพใหญ่ของจวนนี้คือ หลงอี้หลิง ผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงเลื่องลือเกรียงไกรด้านการรบ นามของเขานั้นเป็นที่โจษจันและเกรงกลัวของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก หลงอี้หลิง ได้ใช้พลังหยินในตัวของเขา ช่วยขับพิษในกายให้ฟ่ง-หลันหลั่น และได้เผลอเปิดจุดลมปราณที่เคยถูกสกัดไว้ให้นางด้วย ทำให้ความทรงจำที่เคยหายไปกลับคืนมา องค์หญิงอวี้หลันทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของตนได้ทั้งหมด ว่าตนไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นเพราะพระองค์พยายามลบความทรงจำที่เจ็บปวดเลวร้ายนั้นให้หายไป เมื่อองค์หญิงน้อยอวี้หลันจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ จึงอยากที่จะเอาคืนทุกคนที่เคยทำร้ายนาง แต่ด้วยต้องแลกความทรงจำให้กลับมา ด้วยการที่ต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปโดยถาวร ทำให้ต้องตกเป็นหน้าที่ของหลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่ผู้คลั่งรักต้องออกโรง ช่วยแก้แค้นแทนและทวงคืนความยุติธรรมให้กับสาวใช้ของตน เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไง หลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหยว จะช่วยฟ่งหลันหลั่นหรือองค์อวี้หลัน แก้แค้นและทวงความยุติธรรมได้หรือไม่ ต้องมาติดตามไปพร้อม ๆ กัน

Anastazia23_Boss · Histoire
Pas assez d’évaluations
91 Chs

ตอนที่ ๖๘ ปริศนาและความลับการตายขององค์หญิงอวี้หลัน ๑.๒

ห้องหนังสือ ภายในจวนเยี่ยอ๋อง

 "ถึงเจ้าจะไม่ยอมตอบคำถาม ข้าก็พอเดาถูก คงเป็นคนแซ่ฟ่งที่เป็นผู้ช่วยเจ้าเอาไว้ คนผู้นั้นไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่ก็เป็นพวกที่ชอบหาเรื่องอันตรายใส่ตัวไม่เปลี่ยนเลยสินะ"

 เสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันของเยี่ยอ๋องก็ดังขึ้น จากนั้นก็กล่าวต่อ

 "บิดาของเจ้านี่ช่างโชคดีจริง ๆ ขนาดตายไปแล้ว ยังคงมีคนที่ภักดีต่อเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ต่างจากข้า...ที่ไม่สามารถไว้ใจคนข้างกายได้เลยสักคน แถมตั้งแต่เกิดเหตุการณ์คืนนั้น ข้าก็ไม่เคยนอนหลับตาสนิทได้เลยสักคืน"

 เยี่ยอ๋องกล่าวจบ เขาก็เผยสีหน้าเศร้า ดูอมทุกข์ เหมือนรู้สึกผิดกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป

 แต่ฟ่งหลันหลั่นไม่มีทางหลงกลคนผู้นี้อีกแล้ว

 "เลิกตีหน้าเศร้าเสแสร้งว่าตนเองรู้สึกผิดกับการกระทำอันไร้ซึ่งความเป็นคนของท่านเสียที ข้ายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน อยากจะสำรอกอาหารที่กินไปออกมาเสียเดี๋ยวนี้เลย คนที่สั่งฆ่าได้แม้กระทั่งพี่น้องและหลานตัวเอง เพียงเพราะความโลภ ความลุ่มหลงมัวเมาและอยากครอบครองอำนาจที่มิใช่ของตน"

 เยี่ยอ๋องรู้สึกโกรธกับถ้อยคำถากถางและต่อว่าของสตรีน้อยตรงหน้า แต่เขาก็พยายามระงับอารมณ์โกรธเอาไว้ ในขณะนี้อ๋องผู้นี้เกิดรู้สึกแปลกใจว่าเวลาผ่านไปเกือบสองก้านธูปแล้ว กลับไร้วี่แววของบ่าวไพร่ ทั้ง ๆ เขาได้เตรียมกำลังคนดักซุ่มไว้ทั่วจวนเพื่อจับตัวผู้บุกรุก จึงได้คิดหาวิธีประวิงเวลาจนกว่าคนของเขาจะบุกเข้ามาช่วยเหลือ

 "ไม่เจอกันหลายปี เด็กน้อยผู้แสนน่ารักและอ่อนหวานคนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว ดูสิ! ถ้าน้องอวี้มาเห็นเจ้าในตอนนี้ เขาจะรู้สึกเสียใจมากแค่ไหนกัน เพราะธิดาน้อยของเขากลายเป็นคนไร้ซึ่งมารยาท แถมยืนต่อว่าต่อขานญาติผู้ใหญ่อย่างไม่ให้เกียรติ มิหนำซ้ำตอนนี้ถึงขนาดลงตัวลงไปเป็นสาวใช้ของนายทหารผู้หนึ่ง"

 คำกล่าวนี้ของเยี่ยอ๋องยิ่งทำให้ฟ่งหลันหลั่นโกรธแค้นเขามากขึ้นเป็นทวีคูณ และเพราะใครกันล่ะ ชีวิตของนางถึงได้ตกต่ำและเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหวเยี่ยงนี้

 "หุบปากอันโสโครกของท่านซะ! ท่านไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยนามของบิดาข้า และข้าจะทำตัวเยี่ยงไร มันก็ไม่เกี่ยวอันใดกับท่าน คนเราจะสูงหรือต่ำมันอยู่ที่การกระทำและจิตใจ ไม่ใช่ฐานะหรือชนชั้น"

 ฟ่งหลันหลั่นตวาดเสียงดังใส่เขากลับไปอย่างเดือดดาล แต่เยี่ยอ๋องกลับหัวเราะสวนกลับมาอย่างเย้ยหยันเช่นเคย

 ฮ่าฮ่าฮ่า....

 จากนั้นเยี่ยอ๋องเริ่มกล่าวถึงความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนให้พระตำหนักของธิดาน้อยขององค์ชายรัชทายาท 

 "มาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะยอมบอกความจริงทั้งหมดเพื่อทำบุญละกัน....เกี่ยวกับเบื้องหลังปริศนาและความลับการตายของเจ้าให้ฟังดีไหม ว่าข้านั้นได้วางแผนการไว้เช่นไร"

 ใบหน้าของเขาเริ่มบูดเบี้ยว แววตาและน้ำเสียงเหมือนคนจิตหลุด

 ฟ่งหลันหลั่นยิ่งได้ฟังเช่นนั้น ไฟโทสะในกายก็พลุ่งพล่านเดือดดาลหนักขึ้น นางกำหมัดแน่น พยายามข่มใจตัวเองไว้และอดทนยืนฟังเขาโดยไม่โต้แย้ง เพราะนางเองก็ต้องการรู้ความจริงในเรื่องนี้เช่นกัน 

 เยี่ยอ๋องเห็นว่าสตรีน้อยกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาจะพูด เขาจึงเริ่มพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมา เหมือนกำลังปลดปล่อยความลับที่มันอัดแน่นในใจมาเนิ่นนาน

 "ข้าเป็นคนสั่งให้นางกำนัลส่วนตัวของเจ้า โรยผงปลิดวิญญาณลงบนสระอาบน้ำส่วนตัวนั่น

 และยังสั่งให้พวกเขาผสมมันลงไปในเครื่องดื่มและอาหารของเจ้าใน ทุก ๆ วัน วันละนิด ผงนั้น ไร้สี ไร้กลิ่นและไร้รส ดังนั้นไม่มีทางที่ใครจะจับผิดสังเกตได้ และสุดท้ายร่างกายของเด็กน้อยก็ไม่อาจจะทนรับพิษต่อไปได้อีก"

 เขาหยุดพักหายใจช่วงหนึ่งและสังเกตปฏิกิริยาของสตรีน้อยตรงหน้าไปพร้อมกัน จากนั้นก็กล่าวต่อ 

 "จนในที่สุด...วันนั้น ในขณะที่กำลังเตรียมตัวลงแช่น้ำ เจ้าก็ได้กระอักเลือดออกมาจำนวนมาก และสิ้นใจตายตรงข้างสระน้ำของตน ต่อหน้าธารกำนัล เหล่าคนที่เจ้าคิดว่าพวกเขานั้นจงรักภักดีมาตลอด รวมไปถึงการตายของบิดาเจ้า ก็เป็นฝีมือของข้าเช่นกัน"

 เยี่ยอ๋องหยุดพูดและมองหน้าฟ่งหลันหลั่น ซึ่งตอนนี้นางกำลังยืนตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น เขาจึงกล่าวเสริมต่อเพื่อหวังยั่วยุโทสะของฝ่ายตรงข้าม

 "...ว่าแต่การถูกคนที่ตัวเองไว้ใจทรยศหักหลัง มันรู้สึกยังไงกันล่ะ เจ็บปวดมากใช่ไหม..."

 ฮ่าฮ่าฮ่า

 เยี่ยอ๋องหัวเราะอย่างเย้ยหยันอีกครั้ง แต่แววตาของเขากลับซ่อนความเศร้าและเจ็บปวดไว้ข้างในลึก ๆ นั้น

 ตอนนี้ฟ่งหลันหลั่นไม่สามารถทนฝืนฟังเขาพล่ามได้อีกต่อไปแล้ว ความอาฆาตเคียดแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอกมันพุ่งออกมาผ่านทางถ้อยคำที่นางกำลังแผดเสียงดังตอกใส่หน้าเขาอย่างเดือดดาล 

 "คนแบบท่าน! มันเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก ท่านไม่มีวันได้ตายดีแน่!"

 ระหว่างที่กล่าว นางก็ได้พ่นลมออกมาทางปลายจมูกเล็กน้อยและกล่าวต่อ

 เฮอะ! 

 "คิดหรือว่าข้าจะไม่รู้เท่าทันเรื่องที่ท่านไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และขอพระราชพิธีสมรสจากพระองค์เพื่อให้บุตรสาวได้แต่งงานกับหลงอี้หลิง นั่นคงไม่ใช่เพราะว่าท่านรักนางและอยากเห็นนางมีความสุขอย่างแน่นอน"

 ความรู้สึกอันแสนเจ็บปวดทรมานรวดร้าวประดุจหนึ่งเข็มเล็ก ๆ นับพันนับหมื่นเล่มพุ่งเข้ามาทิ่มแทงกลางใจอยู่ตลอดเวลา ความทรงจำของเหตุการณ์อันโหดร้ายมันยังฝังใจอยู่ตลอดเวลาราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

 ต่อให้ตายไป นางก็ไม่มีวันจะลืมเหตุการณ์และความรู้สึกเลวร้ายนั้นไปได้ ยิ่งได้ยินเยี่ยอ๋องสารภาพผิดออกมา มันก็ไม่ต่างกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมนั้นได้เกิดขึ้นวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในจิตใจองค์หญิงแสนอาภัพผู้นี้

 เยี่ยอ๋องได้ฟังเช่นนั้น เขาก็เปลี่ยนสีหน้าและหันมาแสยะยิ้มให้กับฟ่งหลันหลั่นอย่างพึงพอใจ และเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

 "หึ! ถ้าไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้น แล้วเจ้าคิดว่าข้าทำไปเพราะอะไรกันล่ะ" 

 ฟ่งหลันหลั่นจ้องหน้าเยี่ยอ๋องและถลึงตาใส่เขาอย่างเดือดดาลอีกครั้ง 

 "นั่นเป็นแผนการของท่านเพื่อต้องการใช้อำนาจทางการทหารของหลงอี้หลิง ในการก่อการกบฏและแย่งชิงบัลลังก์จากฮ่องเต้ต่างหากล่ะ ทว่าต่อให้ไปตายแล้วเกิดใหม่ ท่านก็ยังเป็นคนที่ไร้ซึ่งบุญวาสนาอยู่ดี คนเลวทรามเช่นท่านไม่มีบารมีคู่ควรพอต่อบัลลังก์มังกรทองนั่น...มีเพียงโอรสของสวรรค์เท่านั้นถึงจะเป็นผู้มีสิทธิ์ถูกเลือก"

 ถ้อยคำนี้ของสตรีน้อยมันช่างตอกย้ำความจริงทิ่มแทงใจและความรู้สึกของเยี่ยอ๋องได้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นเมื่อสิบปีก่อน...หรือตอนนี้ เขาก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันที่ต้องการ 

 เพราะเหตุอันใดกันงั้นหรือ เขาเป็นโอรสของฮองเฮาแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้รับตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท และแม้กระทั่งหลังจากอ๋องอวี้ องค์รัชทายาทรุ่นก่อนสิ้นพระชนม์ไปก่อนจะได้ขึ้นครองราชย์ ตัวเขาก็ยังไม่ได้รับสิทธิ์นั้นต่อ แต่พวกเหล่าขุนนางชั้นสูงกลับไปนำโอรสของสนมเอกขึ้นครองบัลลังก์นั้นแทน 

 เขาทำอันใดผิดกันหรือเขาไม่คู่ควรต่อบัลลังก์ตั่งทองนั้นตรงไหน...มันคือคำถามที่คอยกัดกินความรู้สึกและหัวใจของเยี่ยอ๋องมาอย่างยาวนาน 

 ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังปะทะคารมโต้เถียงกันอยู่อย่างเชือดเฉือน เสียงฝีเท้าจำนวนมากมายวิ่งกรูกันดังขึ้นมาจากทางด้านนอกห้องหนังสือ

 ตึง ตึง ตึง...

 สตรีน้อยเอียงคอเล็กน้อยและเงี่ยหูฟังเสียงจากทางด้านนอก เพื่อจะประเมินกำลังคนที่กำลังวิ่งกรูมาทางตำแหน่งห้องที่นางกำลังยืนอยู่

 'ไม่ได้การละ หากไม่รีบลงมือตอนนี้ มีหวังเราอาจจะถูกคนของเยี่ยอ๋องเข้ามาจับคุมตัวไว้แน่'

 พอคิดได้เช่นนั้น นางก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าหาคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตวัดปลายมีดในมือใส่เขา เพื่อหวังข่มขู่ให้เขากลัว

 และมันก็ได้ผล เยี่ยอ๋องตกใจที่จู่ ๆ นางก็พุ่งเข้าหาตัวเขาพร้อมกับหันคมมีดสั้นเข้าตรงมายังลำคอของตัวเอง เจ้าตัวจึงรีบเอี้ยวตัวไปทางด้านข้าง มือใหญ่หนาคว้าโถใบใหญ่ที่ตั้งวางอยู่และเหวี่ยงมันเข้าใส่ศัตรูอย่างรวดเร็ว หวังปัดป้องตัวเองให้พ้นภัย แต่เขาดันลืมไปว่ามือข้างนั้นได้ถือบางอย่างเอาไว้ก่อนหน้านี้

 แม้ตอนนี้ฟ่งหลันหลั่นจะไร้ซึ่งวรยุทธ์ แต่ว่าประสาทสัมผัสการรับรู้ทั้งห้าของนางยังคงใช้การได้ดี จึงทำให้นางมองเห็นการเคลื่อนไหวของเขาและอ่านความคิดนั้นออก และพาตัวเองหลบพ้นโถใบใหญ่ที่ถูกเหวี่ยงใส่ นาทีต่อมา หางตาของนางก็พลันเหลือบมองไปเห็นกระปุกสีขาวใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งหลุดออกจากมือของเยี่ยอ๋องและหล่นไปยังพื้นตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง

 ประจวบเหมาะกับตอนนั้น บ่าวรับใช้หลายคนของเยี่ยอ๋องก็ได้พังประตูและวิ่งกรูกันเข้ามาในห้องหนังสือพอดี

 เยี่ยอ๋องได้หันไปด่าทอลูกน้องที่มาช่วยเขาช้าและรีบออกคำสั่งให้บ่าวไพร่จับตัวฟ่งหลันหลั่นทันที

 "พวกเจ้ามัวชักช้าทำบ้าอะไรกันอยู่ ป่านนี้ถึงเพิ่งโผล่หัวกันมาช่วยข้าได้"

 บ่าวไพร่ถูกเยี่ยอ๋องต่อว่าด่าทอ ก็เกิดหวาดกลัวว่าจะถูกลงโทษจนพากันยืนตัวสั่นเกร็ง ไม่ขยับเขยื้อน 

 เยี่ยอ๋องยิ่งเห็นเช่นนั้นยิ่งโกรธจัดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม จึงได้ตวาดอย่างเกรี้ยวกราดใส่ลูกน้องอีกครั้ง

 "ยืนเซ่ออะไรกันอยู่ รีบจับตัวนางไว้เดี๋ยวนี้!"

 บ่าวรับใช้สะดุ้งโหยงตกใจและรีบขานรับขึ้นอย่างพร้อมเพรียง 

 "ขะ ขอรับนายท่าน!" จากนั้นพวกเขาก็พากันวิ่งกรูกันเข้าไปหาสตรีน้อยเพื่อหวังจับตัวนางตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

 ฟ่งหลันหลั่นไม่ใช่สตรีผู้อ่อนหวานเรียบร้อย มีหรือนางจะยืนรอเฉย ๆ ให้คนเข้ามาจับตัวได้ง่าย ๆ เพื่อเห็นว่าสถานการณ์ของตนเริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นางก็ไม่รอช้า พุ่งตัวไปหยิบกระปุกสีขาวใบเล็กบนพื้น ก่อนที่นางจะกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างด้านข้าง และหายลับไปท่ามกลางราตรีอันมืดมิดอย่างรวดเร็ว

 เยี่ยอ๋องยืนมองตามหลังและกำหมัดทั้งสองไว้แน่น สีหน้าแดงเถือก เส้นเลือดใหญ่สีเขียวปูดขึ้นมาบนขมับทั้งสองข้าง เขากัดฟันของตัวเองดังกรอด ๆ จากนั้นก็หันขวับไปมองตาขวางยังเหล่าบ่าวไพร่ที่แสนไม่ได้เรื่องของตน

 "เลี้ยงเสียข้าวสุกสิ้นดี!"

 เหล่าบ่าวไพร่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น พวกเขาก็ยืนตัวสั่นเทาเพราะกำลังหวาดกลัวถึงสิ่งที่จะต้องเผชิญหลังจากนี้

 "พ่อบ้านใหญ่อยู่ที่ไหน! มาเอาตัวคนพวกนี้ไปตัดหัวทิ้งให้หมด รวมทั้งลูกเมียของพวกมันก็อย่าให้เหลือรอดชีวิตสักคน!"

 น้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดและเดือดดาลของเยี่ยอ๋องได้ออกคำสั่งประหัตประหารชีวิตของผู้อื่นอย่างง่ายดายราวกับพวกเขาเป็นผักปลา แววตาของเขานั้นไร้ซึ่งความเมตตาปรานี ไม่มีแม้แต่พระเดชพระคุณต่อคนของตน ความโลภที่ต้องการครอบครองในอำนาจ ทำให้เขากลายเป็นคนไร้หัวใจไปแล้ว

 เหล่าบ่าวไพร่ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนถึงกลับเข่าอ่อนจนหมดแรง ทั้งหมดนั่งทรุดลงบนพื้น วินาทีต่อมาเสียงร้องวิงวอนขอความเมตตาจากผู้เป็นนาย 

 "ฮือ...นายท่านอ๋องพวกข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้ากับลูกเมียด้วย"

 "ท่านอ๋องโปรดเมตตาด้วย ฮือ ฮือ..."

 แต่ก็ดูเหมือนเสียงอ้อนวอนขอความเมตตาเหล่านั้นจะไร้ผล เยี่ยอ๋องเดินสะบัดตัวออกไปจากห้องหนังสือด้วยอารมณ์ที่บันดาลไปด้วยความโกรธไม่ต่างจากเปลวไฟที่กำลังแผดเผาทุกสิ่งที่รอบตัว

 และนาทีต่อมา พ่อบ้านใหญ่ก็ได้วิ่งเข้ามาพร้อมกับเหล่าทหารจำนวนหนึ่งเหมือนรู้งาน 

 พวกเขาได้ลากตัวบ่าวไพร่ทั้งหมดที่อยู่ในห้องนั้นออกไปลงโทษตามคำสั่งของเยี่ยอ๋องทันที

 ด้านฟ่งหลันหลั่น หลังจากที่หนีรอดออกมาจากเยี่ยอ๋องและคนของเขาได้ นางก็เจอเรื่องซวยเข้าอีกแล้ว เพราะทันทีที่นางกระโดดลงจากกำแพงของจวนเยี่ยอ๋อง และฝ่าเท้าทั้งสองข้างแตะลงบนพื้น ก็ได้มีกลุ่มคนชุดดำจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาจู่โจม

 เมื่อสตรีน้อยปัดป้องตนเองจนหลบพ้นคมดาบและการจู่โจมที่ไม่ทันตั้งตัวนั้นได้ นางก็หันไปเผชิญหน้ากับพวกเขาและชี้ปลายมีดสั้นพร้อมกับตะคอกถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะนางมั่นใจว่ากลุ่มคนพวกนี้ไม่ใช่คนของเยี่ยอ๋องอย่างแน่นอน 

 "พวกแกเป็นใครกัน ใครส่งพวกแกมา!"

 ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบคำถาม แต่พวกเขาได้พุ่งเข้าจู่โจมนางพร้อมกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ทำให้สตรีที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ไม่มีโอกาสที่จะชนะในการโจมตีครั้งนี้ของศัตรูได้

 ตุบตับ! ตุบตับ! เสียงชกต่อยตบตีดังขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง และจังหวะหนึ่ง หนึ่งในคนชุดดำผู้หนึ่งก็เข้าโจมตีนางจากทางด้านหลัง โดยใช้สันมือฟาดลงที่ท้ายทอยของฟ่งหลันหลั่น 

 ผลัก! จนเจ้าตัวสลบไปทันที

 นาทีต่อมา พวกเขาก็มองหน้าและส่งสัญญาณให้กัน ก่อนจะพาตัวฟ่งหลันหลั่นออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

....

เซียงไค 盛開