webnovel

ข้ากลายเป็นสาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม

องค์หญิงอวี้หลัน องค์หญิงน้อยผู้แสนอาภัพ แห่งแคว้นโหย่ว ในวัยเพียงแปดชันษา พระองค์ต้องเผชิญชะตากรรมที่แสนเศร้าและเจ็บปวด ทั้งการกลั่นแกล้ง ใส่ความให้ร้ายของเหล่าคนรอบกาย เพื่อหวังจะยึดครองตำแหน่งองค์หญิงสุดที่รักจากท่านอ๋องใหญ่บิดาของนาง ซึ่งเป็นถึงองค์ รัชทายาทของแคว้นโหยว ความโชคร้ายไม่จบสิ้น มีคนร้ายได้ลอบวางยาพิษลงในสระน้ำส่วนตัวขององค์หญิงน้อย ทำให้นางต้องจบชีวิตลงในชั่วพริบตาที่สูดดมกลิ่นหอมพิษ ซึ่งโชยขึ้นมากับไอน้ำ ก่อนที่จะสิ้นใจตายพระนางได้อธิษฐานว่า ถ้าหากได้เกิดใหม่ ตนก็ปรารถนาเกิดเป็นคนธรรมดา แม้จะไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ไม่มีชีวิตที่สบาย ไม่ร่ำรวยเงินทองอย่างที่เคยเป็น ก็ยินดีเช่นนั้น และแล้ว องค์หญิงน้อยก็ได้สิ้นพระทัยลงต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ตลอดช่วงชีวิตที่มีมา องค์หญิงน้อยพบว่าไม่เคยมีใครสักคนที่รักนางจริงแม้แต่คนเดียว แต่พระนางคิดผิด... สิบปีผ่านไป องค์หญิงผู้แสนอาภัพ ได้มีชีวิตใหม่ในนาม ฟ่งหลันหลั่น หญิงสาวชาวยุทธ์ทั่วไป แม้ฝีมือด้านวิทยายุทธ์จะไม่เก่งกาจมากนัก แต่นางนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและคุณธรรมหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ด้วยนิสัยรักความยุติธรรมมากเกินไป นางจึงมักเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่หลายครั้ง จนมีครั้งหนึ่ง ฟ่งหลันหลั่นได้เกิดพลาดพลั้งเสียทีให้กับศัตรูที่ตามมาแก้แค้น หนึ่งในคนพวกนั้นได้ใช้อาวุธลับ ซัดใส่นางเองจนนางถูกพิษชนิดหนึ่งเข้า และทำให้สูญเสียวรยุทธ์ไปชั่วคราว พอรู้สึกตัวอีกที ฟ่งหลันหลั่นก็ได้กลายมาเป็นสาวใช้คนใหม่ของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหย่ว แม่ทัพใหญ่ของจวนนี้คือ หลงอี้หลิง ผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงเลื่องลือเกรียงไกรด้านการรบ นามของเขานั้นเป็นที่โจษจันและเกรงกลัวของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก หลงอี้หลิง ได้ใช้พลังหยินในตัวของเขา ช่วยขับพิษในกายให้ฟ่ง-หลันหลั่น และได้เผลอเปิดจุดลมปราณที่เคยถูกสกัดไว้ให้นางด้วย ทำให้ความทรงจำที่เคยหายไปกลับคืนมา องค์หญิงอวี้หลันทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของตนได้ทั้งหมด ว่าตนไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นเพราะพระองค์พยายามลบความทรงจำที่เจ็บปวดเลวร้ายนั้นให้หายไป เมื่อองค์หญิงน้อยอวี้หลันจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ จึงอยากที่จะเอาคืนทุกคนที่เคยทำร้ายนาง แต่ด้วยต้องแลกความทรงจำให้กลับมา ด้วยการที่ต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปโดยถาวร ทำให้ต้องตกเป็นหน้าที่ของหลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่ผู้คลั่งรักต้องออกโรง ช่วยแก้แค้นแทนและทวงคืนความยุติธรรมให้กับสาวใช้ของตน เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไง หลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหยว จะช่วยฟ่งหลันหลั่นหรือองค์อวี้หลัน แก้แค้นและทวงความยุติธรรมได้หรือไม่ ต้องมาติดตามไปพร้อม ๆ กัน

Anastazia23_Boss · Histoire
Pas assez d’évaluations
91 Chs

ตอนที่ ๓๕ การแสดงออกที่เปลี่ยนไปของหลงอี้หลิง

  บนท้องถนนหลักใจกลางเมืองหลวงเต็มไปด้วยผู้คนที่พาครอบครัว คนรัก ญาติสนิทมิตรสหาย ออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลกันอย่างคับคั่งหนาแน่น

  ฟ่งหลันหลั่นรู้สึกตื่นตากับค่ำคืนอันสวยงามนี้เป็นยิ่งนัก ตลอดเส้นทางที่พวกเขาเดินผ่าน โคมไฟสวยงามรูปลักษณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปสัตว์ หรือบ้านเรือน หรือรูปแบบอื่น ๆ ล้วนถูกแขวนอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน และตามแผงร้านค้ามากมายบนถนนขนาบสองข้างทาง ก็เต็มไปด้วยสินค้าเหล่านี้

  พ่อค้าขายของเล่นปาหี่และพ่อค้าขายพุทราเชื่อมเดินสวนกันไปมาขวักไขว่ ทุกคนต่างส่งเสียงเรียกร้องลูกเร่งทำยอดขายกันอย่างขยันขันแข็งเพราะวันเทศกาลจะเป็นวันที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่พวกเขา

  ร้านหาบเร่ขนมหวาน บะหมี่ร้อน เองก็ไม่แพ้กัน พวกเขาขยันเร่งค้าขายในช่วงโอกาสสำคัญเช่นนี้แม่จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่มีเวลาให้หยุดพัก เพราะต้องทำงานหาเงินเลี้ยงปากท้องตนเองและครอบครัว

  แม้แต่เหล่าขอทานคนเร่ร่อนก็พลอยได้อิ่มท้องไปด้วยจากเทศกาลนี้ เพราะยังมีคนใจบุญมีจิตเมตตาแบ่งปันอาหารให้คนยากไร้เช่นกัน

  ฟ่งหลันหลั่นวิ่งไปดูแผงนั้นทีแผงนี้ทีอย่างตื่นเต้นดีใจ ราวกับเด็กน้อยผู้ซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองให้ออกนอกเรือนครั้งแรกกระนั้นแหละ

  หลงอี้หลิงเดินตามหลังสตรีน้อยต้อย ๆ สายตาจับจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา โดยมีจางเก่อและเข่อลั่ว ยืนทิ้งระยะห่างเล็กน้อยอยู่ทางด้านหลังของพวกเขา

  ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง เคร่งเครียดและดุดัน บัดนี้ได้เผยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนออกมาบนดวงหน้าอันหล่อเหลาอย่างไม่รู้ตัว

  อาภรณ์สีครามกับผ้าพันคอเฟอร์ขนมิงค์ฟูฟ่องสีกรมท่าที่ห่อหุ้มให้ความอบอุ่นแก่ลำคอของแม่ทัพหนุ่ม ดูขับผิวพรรณและใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาให้ดูเด่นและสะดุดตามากยิ่งขึ้น

  ทหารนายกองคนสนิททั้งสองของแม่ทัพหนุ่มเห็นสีหน้าของนายน้อยเต็มไปด้วยความสุขซึ่งพวกเขาแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มนี้จากผู้เป็นนายมานานมากแล้ว ทั้งคู่จึงมีความคิดเห็นตรงกันว่าไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ ดังนั้นจึงพากันเดินแยกตัวไปตรวจตราความสงบเรียบร้อยของงาน

  ช่วงเวลานี้ฟ่งหลันหลั่นมีความสุขมาก ด้วยความตื่นเต้นและความ สนอกสนใจกับสิ่งใหม่ ๆ แปลกตาตรงหน้าที่ไม่เคยพบเจอ ทำให้นางลืมตัว เผลอดึงแขนหลงอี้หลิงให้เดินตามติดตัวเองไปตลอดเส้นทางที่มีการจัดงานเทศกาล

  สตรีน้อยชวนแม่ทัพหนุ่มพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน หลงอี้หลิงก็ยิ้มตอบรับให้นางอย่างอ่อนโยน สายตาอบอวลไปด้วยความรู้สึกดี ๆ ซึ่งแสดงออกมาโดยไม่ตัว จนทั้งคู่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงกลางสะพานโค้งแห่งหนึ่ง

  ซึ่งด้านล่างเป็นคลองเส้นเล็ก ๆ ที่มีแม่น้ำไหลผ่านและมีเรือนำพานักท่องเที่ยวไปลอยประทีปอยู่กลางสายน้ำสองสามลำ

  หางตาของฟ่งหลันหลั่นเหลือบมองไปเห็นชายชราขอทานคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ตรงหัวสะพานของอีกฝั่ง ภาพความทรงจำเกี่ยวกับตาเฒ่าฟ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว รอยยิ้มสุขใจบนดวงหน้างามก็จางหายไป พลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าหมองเกิดขึ้นมาแทนที่

  หลงอี้หลิงสังเกตเห็นได้ถึงความผิดปกตินั้น จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใย

  "มีอะไรหรือเปล่า"

  "เปล่า แค่พอเห็นชายชราขอทานผู้นั้น มันทำให้ข้าอดคิดถึงตาเฒ่าที่จากไปของข้าไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้ดวงวิญญาณของเขาเป็นยังไงบ้าง จะสุขสบายดีหรือจะลำบากเหมือนตอนที่มีชีวิตอยู่กับข้า"

  สตรีน้อยตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเศร้า พลางละสายตาจากชายชราขอทาน ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าซึ่งราตรีนี้พระจันทร์เต็มดวงเปล่งประกายทอแสงสีทองอร่ามงามตายิ่งนัก

  แม่ทัพหนุ่มไม่สามารถย้อนกลับไปช่วยหรือแก้ไขอดีตที่ผ่านมาของสตรีผู้นี้ได้ และไม่รู้ว่านางกับตาเฒ่าผู้นั้นได้ผ่านเรื่องราวอันใดร่วมกันมาบ้าง แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้คือทั้งสองคนรักและผูกพันกันมาก ทว่าเขามีบางสิ่งบางอย่างที่ติดใจอยู่และยังหาคำตอบเกี่ยวกับอดีตของสองคนนี้

  "การเกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกหนีพ้น อย่าได้ทำหน้าเศร้าเช่นนั้นไปเลย ข้ามั่นใจว่าท่านตาของเจ้า คงกำลังเฝ้ามองเจ้าอยู่ จากที่ไหนสักแห่งหรืออาจจะบนท้องนภาอันกว้างใหญ่นั้นแน่นอน" น้ำเสียงเขาเรื่อยเฉื่อยหากแต่นุ่มนวลเสนาะหู

  ฟ่งหลันหลั่นรู้ดีว่าแม่ทัพหนุ่มกำลังพยายามปลอบใจ และมันก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะถ้อยคำของเขาก็ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ คนเดียวบนโลกใบนี้อีกต่อไป

  สตรีน้อยหันกลับมาจ้องหน้าสบตากับแม่ทัพหนุ่มอีกครั้ง นางโปรยยิ้มหวานให้เขาเล็กน้อย และพลางตอบด้วยน้ำเสียง

  "ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ปลอบใจ ข้ารู้ดีว่ามันคือสัจธรรมของชีวิต แต่เขาก็ไม่น่าจากข้าไปเร็วขนาดนั้น ร่ำลากันสักคำก็ยังไม่มี แถมเขายังไม่ได้ดื่มเหล้ามงคลของข้า เช่นนี้แล้วหากข้าออกเรือน ใครกันที่จะส่งตัวข้าเข้าห้องหอ...หรือว่าท่านแม่ทัพจะเป็นผู้ทำหน้าที่นั้นแทนตาเฒ่าของข้า"

  น้ำเสียงอ่อนนุ่มเกือบเข้าขั้นปะเหลาะเอาใจแกมหยอกล้อของสตรีน้อย เพื่อหวังจะเปลี่ยนบรรยากาศชวนหดหู่ใจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะนางไม่ชอบทำตัวอ่อนแอให้ผู้ใดเห็นได้ง่าย ๆ นั่นเอง

  แต่คนที่คิดจริงจังกลับดูเหมือนจะเป็นหลงอี้หลิง เขารีบปฏิเสธเสียงแข็งอย่างขึงขังทันควัน เพราะหน้าที่นี้เขามิยอมตอบรับอย่างแน่นอน

  "ข้ามิใช่ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายไหน คงทำหน้าที่นั้นแทนท่านตาของเจ้าไม่ได้หรอก และหากเจ้าลืมไป ข้าจะย้ำอีกครั้ง เจ้าคือคนของข้า! ดังนั้นเรื่องที่จะให้ส่งตัวเจ้าเข้าร่วมหอโหมโรงกับบุรุษอื่น เจ้าเลิกคิดไปได้เลย"

  ฟ่งหลันหลั่นได้ฟังคำกล่าวด้วยท่าทีจริงจังนั้นของแม่ทัพหนุ่ม ทำให้นางรู้สึกขบขัน

  ปุ ปุ๊ด

  พลันรีบยกสองมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง แต่ก็สุดจะกลั้น จึงหัวเราะร่าเสียงดังออกมา

  "ฮะฮ่าฮ่า!...นี่ท่านคิดจริงจังไปถึงไหนเนี่ย ไม่ต้องใส่ใจหรอก ข้าก็แค่พูดล้อเล่นเท่านั้นเอง"

  ถึงจะบอกแม่ทัพหนุ่มออกไปเช่นนั้น แต่ดวงหน้างามกลับแดงก่ำระเรื่อขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน จนร้อนผ่าวไปทั่วไปหน้าของตน นางจึงเอื้อมมือไปตบไหล่ของอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนรู้สึกที่มีอยู่ในขณะนี้

  "ผู้ใดล้อเล่นกับเจ้ากัน ข้ากล่าวสิ่งใดออกไปก็หมายความตามคำกล่าวนั้น ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้"

  น้ำเสียงแฝงยืนกรานห้ามโต้แย้งใด ๆ ใบหน้าของเขาในตอนนี้ เดาอารมณ์ไม่ออกเลยว่ากำลังรู้สึกเช่นไรอยู่

  สตรีน้อยหุบรอยยิ้มสดใสลงเล็กน้อย ดวงตากลมโตยังคงมองหน้าแม่ทัพหนุ่ม

  "ฟังนะ! ข้าเพิ่งจะเลยวัยปักปิ่นมาได้ไม่นาน แม้ใคร ๆ จะบอกว่าถึงเวลาต้องออกเรือนแล้ว แต่ข้าเป็นพวกรักอิสระ และยังมีเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่องที่จะต้องทำให้สำเร็จ ตอนนี้ข้าไม่มีความคิดที่จะเอาชีวิตของตัวเองไปผูกมัดกับผู้ใด อีกอย่างวัน ๆ ข้าก็เจอแต่หน้าท่านกับเหล่าทหารของท่าน แล้วบุรุษที่ไหนจะมาชอบพอหรือมาสู่ขอข้าได้กันเล่า"

  ในจังหวะที่ฟ่งหลันหลั่นกำลังกล่าวประโยคนั้นออกมา ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้งนาง จู่ ๆ เสียงเรียกอย่างคุ้นหูจากบุรุษผู้หนึ่งก็ทักทายดังขึ้นมาจากตรงด้านหน้าหัวสะพาน เยื้อง ๆ จากจุดที่ชายชราขอทานนั่งอยู่

  "แม่นางฟ่ง ทางนี้!"

  ฟ่งหลันหลั่นกับแม่ทัพหนุ่มหันไปมองตามเสียงอย่างแปลกใจ ใครกันส่งเสียงทักทายนางอย่างสนิทสนมเช่นนี้

  "หยวนจูวเย่งั้นหรือ"

  แม่ทัพหนุ่มกล่าวชื่อของบุรุษผู้นั้นขึ้นอย่างลอย ๆ สีหน้าดูไม่สบอารมณ์

  "คุณชายหยวน" สตรีน้อยส่งยิ้มและโบกมือหย็อย ๆ ตอบอย่างเป็นมิตร

  บัณฑิตหนุ่มรูปงามเห็นสตรีน้อยส่งเสียงทักทายตอบรับ เขาก็รีบก้าวเท้ายาวฉับ ๆ เดินตรงดิ่งมาหานางทันที

  หยวนจูวเย่โปรยเสน่ห์ยิ้มหวานให้กับสตรีน้อยและกล่าวร่ายยาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล วาจาอ่อนหวาน

  "โชคดีจังที่เจอแม่นางฟ่งที่นี่ ก่อนหน้านี้ข้าไปหาท่านที่จวนแม่ทัพ กะว่าจะชวนออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลโคมไฟด้วยกัน แต่ทหารยามบอกว่าท่านพักผ่อนไปเรียบร้อยแล้ว"

  สายตาที่เขามองอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำหัวใจที่ได้เจอกับนางอีกครั้งในค่ำคืนนี้ และก็ไม่ลืมที่จะหันไปกล่าวทักทายแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งเจ้าตัวกำลังยืนทำหน้าตาขมึงทึงอยู่ข้างกายสาวใช้

  "ท่านแม่ทัพ" หยวนจูวเย่พยักหน้าทักทายแม่ทัพหนุ่ม แบบไม่เป็นพิธีการตามมารยาท

  หลงอี้หลิงเองก็พยักหน้าตอบรับตามมารยาท ตอนนี้ไม่ใช่เวลาราชการดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดยึดถือกฎปฏิบัตินัก

  หยวนจูวเย่เห็นสีหน้าบึ้งตึงนั้นของอีกฝ่าย ทำให้เขาอดที่จะยั่วโมโหบุรุษผู้นี้ไม่ได้

  "ช่างน่าประหลาดใจนัก ที่ได้เห็นท่านแม่ทัพหลงมาเดินเที่ยวงานเทศกาลแบบนี้ด้วย เพราะทุกปีท่านมักจะไปยืนประจำตำแหน่งอยู่ตรงหอบังคับการตรวจตราเมืองเพราะคอยดูแลความสงบเรียบร้อย ดูทว่าปีนี้เมืองหลวงคงจะมีเรื่องให้น่าสนใจเป็นอย่างแน่นอน จริงไหมท่าน"

  ที่จริงแล้วหยวนจูวเย่เป็นบัณฑิตหนุ่มที่มากความสามารถผู้หนึ่งแห่งเมืองหลวง และหากเข้ารับราชการเป็นขุนนางในราชสำนัก เขาก็คงจะมีตำแหน่งที่สูงไม่ใช่น้อย แถมรูปลักษณ์ก็งดงามไม่แพ้หลงอี้หลิง ทั้งสองจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน และยิ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งคู่กำลังชื่นชมในบุปผาแรกแย้มดอกเดียวกันเสียแล้ว

 

  "มิใช่เรื่องแปลกอันใด คนของข้าอยู่ที่ใด ข้าย่อมอยู่ที่นั่นเป็นเรื่องธรรมดา" วาจานี้แฝงน้ำเสียงหึงหวงจนออกนอกหน้า

  คำตอบราบเรียบแต่โจ่งแจ้งชัดเจน แฝงซึ่งความหนักแน่นจริงจังในถ้อยคำนี้ของหลงอี้หลิง ทำให้คนฟังอดเข้าใจและคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

 

  'มารความสุขเสียจริง'

  อาการหึงหวงของแม่ทัพหนุ่มได้ถูกแสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างไม่รู้ตัว

  ฟ่งหลันหลั่นเห็นบุรุษรูปงามทั้งสองตรงหน้าตน กำลังยืนจ้องหน้าและเขม่นสายตาขึงขังใส่กันราวกับเสือพบสิงห์ ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะทะเลาะกันและอาจพานทำให้เสียบรรยากาศค่ำคืนนี้ไป

  นางจึงรีบคิดหาวิธีตัดบทสนทนาของทั้งคู่ ด้วยการเดินไปคั่นกลางระหว่างพวกเขา และผลักหน้าอกทั้งสองคนพร้อมกันเบา ๆ เพื่อแยกออกจากกัน

  "เอาละ ๆ พวกท่านเลิกจ้องหน้ากันอย่างกับเสือปะทะสิงห์ได้แล้ว นี่ถ้าแม่นางมู่ อยู่ที่นี่ด้วย ข้าก็คงจะรู้สึกดีกว่านี้"

  จังหวะนั้นเองฟ่งหลันหลั่นก็เหลือบมองไปเห็นมู่เซียวหลานพร้อมกับสาวใช้คนสนิทกำลังเดินอยู่ริมคลองของอีกฟากฝั่งพอดี ราวกับนัดแนะกันไว้ก่อนช่างเหมาะเจาะมาก

  "โย่! แม่นางมู่ทางนี้"

  สตรีน้อยชูมือโบกไหว ๆ ไปมาและส่งเสียงร้องเรียกสตรีผู้โฉมงามให้เดินมารวมกลุ่มกับพวกตน

  เมื่อมู่เซียวหลานได้เดินมารวมกลุ่ม ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวทักทายผู้ใด สาวใช้คนสนิทของนางก็พูดทักทายฟ่งหลันหลั่นขึ้นด้วยความดีใจ

  "แม่นางฟ่ง บังเอิญจังที่พวกเราได้เจอท่านที่นี่ ไม่เช่นนั้นนายหญิงของข้าคงจะต้องเดินเที่ยวงานเทศกาลอย่างเงียบเหงาคนเดียวเป็นแน่"

  มู่เซียวหลานหันไปมองสาวใช้และปรามนางด้วยสายตาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับหาทั้งสามคน นางได้ย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้เกียรติต่อบุรุษทั้งสอง และกล่าวทักทายอย่างมีมารยาท วาจาอ่อนหวานและถ่อมตน

  "หากว่าเข้ามารบกวนเวลาของคุณชายทั้งสอง ต้องขออภัย"

  บุรุษหนุ่มทั้งสองพยักหน้าตอบรับตามมารยาท แต่ไม่มีกล่าวสิ่งใดกลับ มู่เซียวหลานก็หันไปทักทายพูดคุยกับฟ่งหลันหลั่น ซึ่งเจ้าตัวกำลังยืนยิ้มแป้นและแสดงสีหน้าโล่งใจเป็นพิเศษ แถมยังยกมือขึ้นมาป้องปากแอบกระซิบนินทาคนอย่างซึ่งหน้า

  "แม่นางมู่ ท่านมาช่วยข้าได้ทันเวลาพอดีเลย มิเช่นนั้นตรงนี้คงมีคนเปิดศึกใหญ่ปะทะปะมือกันเป็นแน่"

  มู่เซียวหลานทำหน้าตางงและสงสัย นางไม่เข้าใจในคำกล่าวนั้นของฟ่งหลันหลั่น แต่พอเบนสายตาไปทางบุรุษทั้งสอง และเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของพวกเขา นางจึงคาดเดาสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้ทันที พลันเผยรอยยิ้มขบขันให้กับสตรีน้อยตรงหน้า

  "เนื้อหอมเสียจริง ถ้าคนเมืองจิ่วมาเห็นเจ้าตอนนี้ พวกเขาคงแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าลิงน้อยแห่งเมืองจิ่ว จะมีบุรุษรูปงามถึงสองคนประกบข้างกายมิยอมห่างเยี่ยงนี้"

  ฟ่งหลันหลั่นถูกมู่เซียวหลานแซวหนักต่อหน้าบุรุษทั้งสอง แถมพวกเขายังหัวเราะชอบใจอีก ทำให้สตรีน้อยขวยเขินจนเสียอาการ

  เพื่อแก้ไขสถานการณ์นางจึงได้ถือโอกาสนั้นชวนทุกคนไปปล่อยโคมไฟด้วยกัน เพราะพวกเขาล้วนแต่เป็นสหายที่นางได้พานพบหลังจากที่สูญเสียตาเฒ่าฝูไปนั่นเอง

.....

เซียงไค 盛開